ผู้ปฏิบัติหน้าที่ “สังฆราช”
(ปัญญาริณี)
“สังฆราช” หรือราชาแห่งสงฆ์ หมายถึง “
ตําแหน่งพระมหาเถระผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสังฆมณฑล” (ราชบัณฑิตยสถาน, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) ในประเทศไทยน่าจะมีตำแหน่ง “สังฆราช” มาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแล้ว ดังความในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า “
พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร” (กรมศิลปากร, สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๓) ซึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีสังฆราชมาแล้ว ๑๙ พระองค์ โดยสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันคือ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร
เนื่องด้วยสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน มีพระอาการประชวรและประทับรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๕ ดังความตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ ว่า “.
..สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการประชวรหลายระบบและเสด็จเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นปีพ.ศ.๒๕๔๕...” (ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๘) รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรจึงอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่งตั้ง “คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช” ซึ่งยังไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยให้เหตุผลดังความในประกาศฉบับเดียวกันว่า
รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นรัตตัญญูมหาเถระเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทยอย่างสูง แม้แต่ชาวต่างประเทศและศาสนิกอื่นก็ยกย่องว่าทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่างของผู้รอบรู้ด้านปริยัติและปฏิบัติ เป็นปราชญ์ของพระศาสนาและของชาติ แต่โดยที่พระสุขภาพทรุดโทรมลงตามพระวัสสายุกาล สมควรจัดให้ประทับพักผ่อนเพื่อรับการถวายดูแลรักษาโดยคณะแพทย์อย่างเต็มที่และต่อเนื่องไม่มีภาระงานใดๆ มารบกวนจนก่อให้เกิดความตรากตรำหรือความกังวลพระทัย อีกทั้งเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการบริหารพระศาสนามิให้ต้องสะดุด เพราะขาดผู้รับผิดชอบวินิจฉัย สั่งการหรือบังคับบัญชา ประการสำคัญคือเพื่อเป็นการรักษาพระเกียรติยศ มิให้มีผู้อ้างพระสุขภาพหรือพระอาการประชวรกระทำการใดอันอาจก่อความเสียหายหรือแอบอ้างนำพระบัญชา พระลิขิตหรือพระนามไปแสวงหาประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น
(ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๙)
โดยรัฐบาลได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ที่ว่า “
ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราช จะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน” (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) ซึ่งในกรณีนี้สมเด็จพระญาณสังวรฯ ประชวร และไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ระบุในมาตรา ๑๐ วรรคสี่ว่า “
ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาบังคับใช้โดยอนุโลม” โดยวรรคหนึ่งระบุว่า “
ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช” (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) ซึ่งในขณะนั้น (พ.ศ.๒๕๔๗) สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นผู้มีสิทธิตามความดังกล่าว แต่เนื่องจากในขณะนั้นเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีอายุ ๙๖ ปีแล้ว อีกทั้งอาพาธ จึงจำเป็นต้องอาศัยความในมาตรา ๑๐ วรรคสอง ซึ่งระบุว่า "
ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เลือกสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) แต่รัฐบาลยังให้เหตุผลอีกว่า “
เพื่อช่วยในการกลั่นกรองงานและรักษาความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์” (ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๓๐) จึงแต่งตั้งเป็น "คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"
แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ไม่ได้ระบุมาก่อนว่า ให้มี "คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" เพียงระบุให้สมเด็จพระราชาคณะ"รูปหนึ่ง"ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ เพื่อให้มีคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังความในมาตรา ๑๐ วรรคห้า ว่า
ในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชทรงเห็นเป็นการสมควรสำหรับกรณีที่มีเหตุตามวรรคสาม หรือกรรมการ มหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เห็นเป็นการสมควรสำหรับกรณีที่มีเหตุตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสี่ อาจพิจารณาเลือกสมเด็จพระราชาคณะหลายรูปที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อให้เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หรือแทนการดำเนินการตามวรรคสอง วรรคสาม หรือวรรคสี่ แล้วแต่กรณีได้ และจะให้มีผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยก็ได้
(พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓)
ซึ่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช คณะที่ได้แต่งตั้งในครั้งนั้นคัดเลือกจากสมเด็จพระราชาคณะ ทั้งฝ่ายมหานิกาย และธรรมยุติ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ซึ่งมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุด ทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ ได้มรณภาพ จึงต้องมีการคัดเลือกประธานคณะฯ รูปใหม่ ซึ่งนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการคัดเลือกว่ามี ๓ แนวทาง คือ
๑.ให้มีการตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่ แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ก่อน เพื่อให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชครบองค์ประชุม ๘ รูป แล้วจึงดำเนินการเลือก ประธานคณะฯ
๒.ให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ฯ ทั้ง ๗ รูปที่เหลือ ประชุมอย่างเป็นทางการ เพื่อเลือกประธานคณะฯ
๓.ให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง ๗ รูปที่เหลือ ประชุมเป็นการภายใน เพื่อเลือกประธานคณะฯ
(ชงมหาเถรฯ3วิธีตั้งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖, จาก
http://www.dailynews.co.th/education/225394)
หากพิจารณาตามหลักการคัดเลือกซึ่งเคยปฏิบัติมาก่อน ดังกล่าวข้างต้นแล้ว สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุดก็คงจะได้ ทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ สืบต่อไป
อนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้นำเสนอวาระการแต่งตั้งประธานคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อดำรงตำแหน่งแทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุด และพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะรายงานให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำหนังสือกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
(ทีมข่าวการศึกษา, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖, จากhttp://www.thairath.co.th/content/edu/364695)
รายการอ้างอิง
หนังสือ
กรมศิลปากร, สำนักหอสมุดแห่งชาติ. (๒๕๔๗). ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ จารึกพ่อขุนรามคำแหง.
กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ.
ราชกิจจานุเบกษา
ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (๒๕๔๗, ๑๔ มกราคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๑
ตอน พิเศษ ๓ ง, น.๒๘-๓๐.
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕. (๒๕๔๗, ๑๗ กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๑
ตอนพิเศษ ๓๔ ก, น.๓
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ชงมหาเถรฯ3วิธีตั้งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช, (สิงหาคม๒๕๕๖). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖,
จาก
http://www.dailynews.co.th/education/225394
ทีมข่าวการศึกษา,หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์. ตั้ง ‘สมเด็จวัดปากน้ำ’ เป็นปธ.คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช.
สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๙สิงหาคม๒๕๕๖, จากhttp://www.thairath.co.th/content/edu/364695
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๒). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖,
จาก
http://rirs3.royin.go.th/word1/word-1-a0.asp
ผู้ปฏิบัติหน้าที่ "สังฆราช"
(ปัญญาริณี)
“สังฆราช” หรือราชาแห่งสงฆ์ หมายถึง “ตําแหน่งพระมหาเถระผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสังฆมณฑล” (ราชบัณฑิตยสถาน, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) ในประเทศไทยน่าจะมีตำแหน่ง “สังฆราช” มาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแล้ว ดังความในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร” (กรมศิลปากร, สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๓) ซึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีสังฆราชมาแล้ว ๑๙ พระองค์ โดยสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันคือ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร
เนื่องด้วยสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน มีพระอาการประชวรและประทับรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๕ ดังความตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ ว่า “...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการประชวรหลายระบบและเสด็จเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นปีพ.ศ.๒๕๔๕...” (ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๘) รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรจึงอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่งตั้ง “คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช” ซึ่งยังไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยให้เหตุผลดังความในประกาศฉบับเดียวกันว่า
รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นรัตตัญญูมหาเถระเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทยอย่างสูง แม้แต่ชาวต่างประเทศและศาสนิกอื่นก็ยกย่องว่าทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่างของผู้รอบรู้ด้านปริยัติและปฏิบัติ เป็นปราชญ์ของพระศาสนาและของชาติ แต่โดยที่พระสุขภาพทรุดโทรมลงตามพระวัสสายุกาล สมควรจัดให้ประทับพักผ่อนเพื่อรับการถวายดูแลรักษาโดยคณะแพทย์อย่างเต็มที่และต่อเนื่องไม่มีภาระงานใดๆ มารบกวนจนก่อให้เกิดความตรากตรำหรือความกังวลพระทัย อีกทั้งเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการบริหารพระศาสนามิให้ต้องสะดุด เพราะขาดผู้รับผิดชอบวินิจฉัย สั่งการหรือบังคับบัญชา ประการสำคัญคือเพื่อเป็นการรักษาพระเกียรติยศ มิให้มีผู้อ้างพระสุขภาพหรือพระอาการประชวรกระทำการใดอันอาจก่อความเสียหายหรือแอบอ้างนำพระบัญชา พระลิขิตหรือพระนามไปแสวงหาประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น
(ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๒๙)
โดยรัฐบาลได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ที่ว่า “ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราช จะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน” (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) ซึ่งในกรณีนี้สมเด็จพระญาณสังวรฯ ประชวร และไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ระบุในมาตรา ๑๐ วรรคสี่ว่า “ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาบังคับใช้โดยอนุโลม” โดยวรรคหนึ่งระบุว่า “ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช” (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) ซึ่งในขณะนั้น (พ.ศ.๒๕๔๗) สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นผู้มีสิทธิตามความดังกล่าว แต่เนื่องจากในขณะนั้นเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีอายุ ๙๖ ปีแล้ว อีกทั้งอาพาธ จึงจำเป็นต้องอาศัยความในมาตรา ๑๐ วรรคสอง ซึ่งระบุว่า "ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เลือกสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓) แต่รัฐบาลยังให้เหตุผลอีกว่า “เพื่อช่วยในการกลั่นกรองงานและรักษาความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์” (ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗, น.๓๐) จึงแต่งตั้งเป็น "คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"
แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ไม่ได้ระบุมาก่อนว่า ให้มี "คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" เพียงระบุให้สมเด็จพระราชาคณะ"รูปหนึ่ง"ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ เพื่อให้มีคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังความในมาตรา ๑๐ วรรคห้า ว่า
ในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชทรงเห็นเป็นการสมควรสำหรับกรณีที่มีเหตุตามวรรคสาม หรือกรรมการ มหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เห็นเป็นการสมควรสำหรับกรณีที่มีเหตุตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสี่ อาจพิจารณาเลือกสมเด็จพระราชาคณะหลายรูปที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อให้เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หรือแทนการดำเนินการตามวรรคสอง วรรคสาม หรือวรรคสี่ แล้วแต่กรณีได้ และจะให้มีผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยก็ได้
(พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕, ๒๕๔๗, น.๓)
ซึ่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช คณะที่ได้แต่งตั้งในครั้งนั้นคัดเลือกจากสมเด็จพระราชาคณะ ทั้งฝ่ายมหานิกาย และธรรมยุติ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ซึ่งมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุด ทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ ได้มรณภาพ จึงต้องมีการคัดเลือกประธานคณะฯ รูปใหม่ ซึ่งนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการคัดเลือกว่ามี ๓ แนวทาง คือ
๑.ให้มีการตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่ แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ก่อน เพื่อให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชครบองค์ประชุม ๘ รูป แล้วจึงดำเนินการเลือก ประธานคณะฯ
๒.ให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ฯ ทั้ง ๗ รูปที่เหลือ ประชุมอย่างเป็นทางการ เพื่อเลือกประธานคณะฯ
๓.ให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง ๗ รูปที่เหลือ ประชุมเป็นการภายใน เพื่อเลือกประธานคณะฯ
(ชงมหาเถรฯ3วิธีตั้งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖, จาก http://www.dailynews.co.th/education/225394)
หากพิจารณาตามหลักการคัดเลือกซึ่งเคยปฏิบัติมาก่อน ดังกล่าวข้างต้นแล้ว สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุดก็คงจะได้ ทำหน้าที่เป็นประธานคณะฯ สืบต่อไป
อนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้นำเสนอวาระการแต่งตั้งประธานคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อดำรงตำแหน่งแทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากมีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุด และพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะรายงานให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำหนังสือกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
(ทีมข่าวการศึกษา, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖, จากhttp://www.thairath.co.th/content/edu/364695)
รายการอ้างอิง
หนังสือ
กรมศิลปากร, สำนักหอสมุดแห่งชาติ. (๒๕๔๗). ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ จารึกพ่อขุนรามคำแหง.
กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ.
ราชกิจจานุเบกษา
ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (๒๕๔๗, ๑๔ มกราคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๑
ตอน พิเศษ ๓ ง, น.๒๘-๓๐.
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕. (๒๕๔๗, ๑๗ กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๑
ตอนพิเศษ ๓๔ ก, น.๓
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ชงมหาเถรฯ3วิธีตั้งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช, (สิงหาคม๒๕๕๖). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖,
จาก http://www.dailynews.co.th/education/225394
ทีมข่าวการศึกษา,หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์. ตั้ง ‘สมเด็จวัดปากน้ำ’ เป็นปธ.คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช.
สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๙สิงหาคม๒๕๕๖, จากhttp://www.thairath.co.th/content/edu/364695
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๒). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖,
จาก http://rirs3.royin.go.th/word1/word-1-a0.asp