ทำความรู้จักกับร่างพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ???? (ฉบับมหาคณิสสร) ที่โดนลืมไว้ในสภาฯ

ได้ข่าวว่าจะมีการปฎิรูปคณะสงฆ์ไทยจาก สปช. เนื่องจากบอกว่าคณะสงฆ์ปกครองกันเองมีแต่ปัญหา และ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กับ พรบ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่อาจจะแก้ปัญหาของการคณะสงฆ์ได้เนื่องจากเก่าและล้าหลัง แต่จริงๆ แล้ว ยังมี พรบ.คณะสงฆ์ อีกฉบับที่ใหม่กว่า แต่ตกค้างอยู่ในขั้นพระราชกฤษฏีกา มานานหลายปีดีดัก พรบ.ฉบับที่ว่า เรียกกันว่า เป็น พรบ.ฉบับมหาคณิสสร

ลองมาทำความรู้จักกับ ร่างพรบ.ฉบับนี้กันซักหน่อยดีกว่า ฉบับมหาคณิสสรนี้อาจจะทันสมัยและอาจจะไม่จำเป็นต้องให้ สปช.มายุ่งเรื่องศาสนาให้เหนื่อยเล่นเพราะแค่ลำพังปฎิรูปสังคมก็เหนื่อยพอแรงกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเคยตรัสกับพระอานนท์เอาไว้ว่า

" โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา. (ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘)
แปลว่า : ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป"

คิดว่าการที่ สปช.จะมาก้าวก่ายเรื่องของคณะสงฆ์โดยที่ไม่นำพาพระดำรัสของพระบรมศาสดาก็ตรัสไว้ชัดแล้วว่า พระองค์มอบหมายให้ยึดเอาธรรมและวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ คงจะไม่น่าถูกต้องซักเท่าไหร่ เพราะยังไงเสีย ประเทศไทยก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ถ้าจะบอกว่ามาปฎิรูปคณะสงฆ์แต่ไม่ฟังพระบรมศาสดาที่เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธก็คงจะแปร่งๆ แปลกๆ ไม่น้อย
================================================================================

ร่าง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. .....
ภูมิพลอดุลยเดช ปร.

ให้ไว้ ณ วันที่ .. เดือน..... พ.ศ. ....
เป็นปีที่ .... ในรัชกาลปัจจุบัน



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ พระราชบัญญัตินี้ มีบทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 และมาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้



มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.....”

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิก พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้

“คณะสงฆ์” หมายความว่า บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร

“คณะสงฆ์อื่น” หมายความว่า บรรพชิตจีนนิกาย หรือ อนัมนิกาย

“นิคหกรรม” หมายความว่า การดำเนินการตามพระธรรมวินัยเพื่อลงโทษแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย

“พระราชาคณะ” หมายความว่า พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งและสถาปนาให้มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ

“สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์” หมายความว่า สมเด็จพระราชาคณะที่ได้รับสถาปนาก่อนสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่น ถ้าได้รับสถาปนาในวันเดียวกันให้ถือรูปที่ได้รับสถาปนาในลำดับก่อน

มาตรา 5 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสถาปนาและถอดถอนสมณศักดิ์ ของพระภิกษุในคณะสงฆ์

มาตรา 6 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมและมหาคณิสสร เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้



หมวด 1
สมเด็จพระสังฆราช

มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง

ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช

ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช”

มาตรา 8 สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาคณิสสร

มาตรา 9 ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงลาออกจากตำแหน่ง หรือพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดให้ออกจากตำแหน่ง พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสมเด็จพระสังฆราชหรือตำแหน่งอื่นใด ตามพระราชอัธยาศัยก็ได้

มาตรา 10 ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ปฏิบัติหน้าที่แทน

ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสาม หรือสมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ให้นายกรัฐมนตรี ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ตามมาตรานี้ ในราชกิจจานุเบกษา


มาตรา 11 สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

1. สิ้นพระชนม์
2. ทรงพ้นจากความเป็นพระภิกษุ
3. ทรงลาออก
4. ทรงพระกรุณาโปรดให้ออก



หมวด 2
มหาเถรสมาคม

มาตรา 12 มหาเถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งอีกจำนวนไม่เกิน 13 รูป พระภิกษุผู้ที่จะได้รับบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม ต้องเป็นพระสังฆาธิการตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป

มาตรา 13 ให้เลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม

มาตรา 14 กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง อยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

มาตรา 15 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 14  กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง พ้นจากตำแหน่งเมื่อ

1. มรณภาพ
2. พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
3. ลาออก
4. สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก

ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ สมเด็จพระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งตามความในวรรคก่อนอยู่ในตำแหน่งตามความในวาระของผู้ซึ่งตนแทน

มาตรา 16 การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตามมาตรา 12 และการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 15 ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช

มาตรา 17 มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. ถวายคำแนะนำต่อสมเด็จพระสังฆราชในการบัญชาการคณะสงฆ์
2. ให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนการปกครองคณะสงฆ์ตามที่มหาคณิสสรเสนอ
3. ให้ความเห็นชอบในการตรากฎมหาคณิสสร ข้อบังคับ ระเบียบ ของมหาคณิสสร ตามที่มหาคณิสสรเสนอ
4. พิจารณารายนามพระสังฆาธิการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล ทรงสถาปนาสมณศักดิ์ ให้ความเห็นชอบรายนามพระสังฆาธิการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล ทรงตั้งหรือเลื่อนสมณศักดิ์ ตามที่มหาคณิสสรเสนอ
5. ให้คำแนะนำในการแต่งตั้งเลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

มาตรา 18 ในกรณีที่ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมไม่อาจมาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม และมิได้มอบหมายให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ซึ่งอยู่ในที่ประชุมเป้นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน

มาตรา 19 การประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมต้องมีกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการโดยการแต่งตั้ง รวมกันมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม

ระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคม ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของมหาเถรสมาคม

มาตรา 20 ในกรณีที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามมาตรา 15 วรรคสอง ให้ถือว่ามหาเถรสมาคมมีกรรมการเท่าจำนวนที่เหลืออยู่ในขณะนั้น



หมวด 3
มหาคณิสสร

มาตรา 21 สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะพระราชาคณะเป็นคณะกรรมการมหาคณิสสร โดยคำแนะนำของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยประธานกรรมการรูปหนึ่ง รองประธานกรรมการ 2 รูป และกรรมการรวมไม่เกิน 21 รูป

พระภิกษุผู้ที่จะได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาคณิสสร ต้องเป็นพระสังฆาธิการตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป

มาตรา 22 ให้เลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาคณิสสรโดยตำแหน่ง และสำนักเลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นสำนักเลขาธิการมหาคณิสสร

มาตรา 23 กรรมการมหาคณิสสรอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

มาตรา 24 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 23  กรรมการมหาคณิสสร พ้นจากตำแหน่งเมื่อ

1. มรณภาพ
2. พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
3. ลาออก
4. สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก
ในกรณีที่กรรมการมหาคณิสสรพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ สมเด็จพระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามความในวรรคก่อนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน

มาตรา 25 การแต่งตั้งกรรมการมหาคณิสสรตามมาตรา 21 และการให้กรรมการมหาคณิสสรพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 24 ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช

มาตรา 26 มหาเถรคณิสสรมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
2. ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
3. ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์
4. รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
5. วินิจฉัยอุทธรณ์ของพระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้รับนิคคหกรรมถึงขั้นให้สละสมณเพศ วางหลักเกณฑ์ในการดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง
6. กำหนดกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
7. ให้คำแนะนำในการแต่งตั้งเลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
8. ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

เพื่อการนี้ ให้มหาคณิสสรมีอำนาจออกข้อบังคับ วางระเบียบ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม หรือออกคำสั่ง มีมติ ออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัย ใช้บังคับได้ และจะมอบให้ภิกษุรูปใด หรือคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา 30 เป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่งก็ได้

เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาคณิสสรจะตรากฎมหาคณิสสร โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เพื่อกำหนดนโยบายหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ก็ได้

พระภิกษุสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่ง ถึงขั้นให้สละสมณเพศ ต้องสึกภายใน 3 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่