สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
สำหรับการปิดบัตรในที่นี้ คือ การยกเลิกบัตร หรือ ยกเลิกวงเงินบัตรครับผม ไม่ได้หมายถึงการเคลียร์ยอดหนี้ครับผม
แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่าในอีกอย่างน้อย 1 เดือนข้างหน้าคุณจะยื่นขอสินเชื่อบ้านคุณก็มีเวลาเตรียมตัว สำหรับกรณีนี้ คุณแค่เคลียร์บัตรหรือชำระหนี้ให้หมดก่อนครับ แต่อย่าเพิ่งใช้ จนกว่าจะกู้บ้านได้ เพราะการอัพเดทสถานะไป NCB นั้นจะใช้เวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ครับในการอัพเดทข้อมูล
ถ้าคุณเคลียร์ยอดบัตรแล้วยื่นเลย เวลาแบงก์คีย์งานเข้าระบบเพื่อเช็ค NCB สถานะตอนนั้นมันจะเป็นสถานะที่คุณมียอดใช้วงเงินไปแล้วครับ ซึ่งจะทำให้แบงก์เห็นภาระของคุณ และ คิดเป็นภาระทันทีครับ ถึงแม้จะแนบใบเสร็จที่ชำระเงินเพื่อเคลียร์ยอดบัตรแบงก์ก็ไม่สามารถพิจารณาให้ครับ เพราะว่ามุมมองฝั่งทาธนาคามองว่าตราบใดที่ยังมีบัตร คุณก็สามารถกดเงิน หรือ สามารถใช้ได้ตลอดเวลาครับ ซึ่งพนักงานบางท่านก็อาจจะแนะนำให้ไปปิดบัตร หรือ ยกเลิกบัตรครับ เพื่อลดภาระครับผม
"ภาระนั้น สำคัญไฉน ภาระมีผลต่อการกู้ของคุณครับ อาจจะทำให้คุณกู้ไม่ได้ หรือ ไม่ได้วงเงินตามที่คุณต้องการครับ เพราะ การเพิ่มรายได้นั้นยากครับ ถ้าไม่หาคนกู้ร่วม แต่การลดภาระนั้นทำได้ง่าย แต่มันทำให้เราเสียเงินในการปิดบัตร "
เพื่อให้เห็นภาพนะครับจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับผม
กรณียื่นกู้ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งให้สัดส่วนภาระต่อรายได้ไม่เกิน 60%
ผู้กู้เป็นพนักงานมีเงินเดือน เดือนละ 20,000 บาท อายุ 30 ปี
ต้องการขอวงเงิน 1,000,000 บาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ผ่อนเดือนละ 7,000 บาท
แต่มีภาระ
ผ่อนรถยนต์เดือนละ 4,000 บาท
ใช้วงเงินบัตรธนาคาร A ไป 20,000 บาท
ใช้วงเงินบัตรธนาคาร B ไป 10,000 บาท
การคิดภาระต่อเดือน สำหรับบัตรเครดิต และ บัตรกดเงินสด จะคิดเป็นภาระต่อเดือน 10% ตามยอดชำระขั้นต่ำ
ภาระต่อเดือนจะเป็นดังนี้ครับ
รถยนต์ 4,000 บาท
บัตร A ยอด 21,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 2,100 บาท
บัตร B ยอด 9,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 900 บาท
ดังนั้นภาระต่อเดือนรวม 4,000 + 2,100 + 900 = 7,000 บาทต่อเดือน
เมื่อนำมาคำนวณสัดส่วนภาระและรายได้จะได้ดังนี้ครับ
ภาระทั้งหมด / รายได้ x 100 = ( ภาระที่มีอยู่ + ภาระผ่อนบ้านในครั้งนี้) / รายได้ x 100
= ( 7,000 + 7,000 ) / 20,000 x 100 = 70% แต่แบงก์นี้ให้สัดส่วนภาระได้ไม่เกิน 60% จึงไม่สามารถขอวงเงินนี้ได้
วิธีแก้ก็มี 1.เพิ่มรายได้ครับ ผู้กู้อาจจะมีธุรกิจส่วนตัว หรือ งานเสริม ถ้ามีเอกสารรับรองก็สามารถนำมาคิดรายได้เพิ่มให้ครับ
2.หาคนกู้ร่วมครับ เพื่อเพิ่มรายได้รวมให้สัดส่วนภาระมันลดลง แต่ระวังคนกู้ร่วมก็มีภาระเยอะนะครับ^o^
3.การยกเลิกบัตร หรือ ยกเลิกวงเงินบัตรครับ เพื่อลดภาระออกครับ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนภาระลดลงได้เช่นกัน
4.การลดวงเงินลงเพื่อให้ค่างวดผ่อนบ้านลดลง มีผลทำให้สัดส่วนภาระลดลงเช่นกันครับ
จากกรณีด้านบน คือ สัดส่วนภาระต่อรายได้อยู่ที่ 70% นะครับ จะทำยังไงให้ภาระไม่เกิน 60%
ตรงนี้ก็คือการปิดบัตร(ภาระบางตัวครับ)
ปิดบัตรธนาคาร A ยอด 21,000 บาท เป็นภาระต่อเดือน 2,100 บาท (แนบหนังสือยืนยันการยกเลิกวงเงินจากธนาคารA)
จะทำภาระเหลือ
รถยนต์ 4,000 บาทต่อเดือน
บัตรเครดิต B ยอด 9,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 900 บาท
คำนวณสัดส่วนใหม่
( 4,900 + 7,000 ) / 20,000 x 100 = 59.5% ซึ่งผ่านเกณฑ์ของธนาคารที่ให้สัดส่วนภาระไม่เกิน 60% จึงสามารถขอวงเงิน 1,000,000 บาทได้
สำหรับการยกเลิกบัตรจริงๆ ผมว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายดีกว่านะครับ เพราะ คุณต้องเสียเงินในการการยกเลิกบัตร ซึ่งบางรายยอดไม่ใช่น้อยๆครับ และมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะกู้ผ่าน 100% ครับ และ ทำให้สูญเสียโอกาสเมื่อคุณต้องการใช้เงินฉุกเฉินครับ
อีกทางก็คือหาธนาคารที่ให้สัดส่วนในการผ่อนชำระเยอะๆครับผม แต่ละธนาคารก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปครับ เพราะ ผู้กู้แต่ละรายคุณสมบัติไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ อยู่ที่ว่าจะเข้ากับหลักเกณฑ์แบงก์ไหนครับผม
อาจจะยาวไปหน่อยต้องขออภัยด้วยครับผม
แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่าในอีกอย่างน้อย 1 เดือนข้างหน้าคุณจะยื่นขอสินเชื่อบ้านคุณก็มีเวลาเตรียมตัว สำหรับกรณีนี้ คุณแค่เคลียร์บัตรหรือชำระหนี้ให้หมดก่อนครับ แต่อย่าเพิ่งใช้ จนกว่าจะกู้บ้านได้ เพราะการอัพเดทสถานะไป NCB นั้นจะใช้เวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ครับในการอัพเดทข้อมูล
ถ้าคุณเคลียร์ยอดบัตรแล้วยื่นเลย เวลาแบงก์คีย์งานเข้าระบบเพื่อเช็ค NCB สถานะตอนนั้นมันจะเป็นสถานะที่คุณมียอดใช้วงเงินไปแล้วครับ ซึ่งจะทำให้แบงก์เห็นภาระของคุณ และ คิดเป็นภาระทันทีครับ ถึงแม้จะแนบใบเสร็จที่ชำระเงินเพื่อเคลียร์ยอดบัตรแบงก์ก็ไม่สามารถพิจารณาให้ครับ เพราะว่ามุมมองฝั่งทาธนาคามองว่าตราบใดที่ยังมีบัตร คุณก็สามารถกดเงิน หรือ สามารถใช้ได้ตลอดเวลาครับ ซึ่งพนักงานบางท่านก็อาจจะแนะนำให้ไปปิดบัตร หรือ ยกเลิกบัตรครับ เพื่อลดภาระครับผม
"ภาระนั้น สำคัญไฉน ภาระมีผลต่อการกู้ของคุณครับ อาจจะทำให้คุณกู้ไม่ได้ หรือ ไม่ได้วงเงินตามที่คุณต้องการครับ เพราะ การเพิ่มรายได้นั้นยากครับ ถ้าไม่หาคนกู้ร่วม แต่การลดภาระนั้นทำได้ง่าย แต่มันทำให้เราเสียเงินในการปิดบัตร "
เพื่อให้เห็นภาพนะครับจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับผม
กรณียื่นกู้ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งให้สัดส่วนภาระต่อรายได้ไม่เกิน 60%
ผู้กู้เป็นพนักงานมีเงินเดือน เดือนละ 20,000 บาท อายุ 30 ปี
ต้องการขอวงเงิน 1,000,000 บาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ผ่อนเดือนละ 7,000 บาท
แต่มีภาระ
ผ่อนรถยนต์เดือนละ 4,000 บาท
ใช้วงเงินบัตรธนาคาร A ไป 20,000 บาท
ใช้วงเงินบัตรธนาคาร B ไป 10,000 บาท
การคิดภาระต่อเดือน สำหรับบัตรเครดิต และ บัตรกดเงินสด จะคิดเป็นภาระต่อเดือน 10% ตามยอดชำระขั้นต่ำ
ภาระต่อเดือนจะเป็นดังนี้ครับ
รถยนต์ 4,000 บาท
บัตร A ยอด 21,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 2,100 บาท
บัตร B ยอด 9,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 900 บาท
ดังนั้นภาระต่อเดือนรวม 4,000 + 2,100 + 900 = 7,000 บาทต่อเดือน
เมื่อนำมาคำนวณสัดส่วนภาระและรายได้จะได้ดังนี้ครับ
ภาระทั้งหมด / รายได้ x 100 = ( ภาระที่มีอยู่ + ภาระผ่อนบ้านในครั้งนี้) / รายได้ x 100
= ( 7,000 + 7,000 ) / 20,000 x 100 = 70% แต่แบงก์นี้ให้สัดส่วนภาระได้ไม่เกิน 60% จึงไม่สามารถขอวงเงินนี้ได้
วิธีแก้ก็มี 1.เพิ่มรายได้ครับ ผู้กู้อาจจะมีธุรกิจส่วนตัว หรือ งานเสริม ถ้ามีเอกสารรับรองก็สามารถนำมาคิดรายได้เพิ่มให้ครับ
2.หาคนกู้ร่วมครับ เพื่อเพิ่มรายได้รวมให้สัดส่วนภาระมันลดลง แต่ระวังคนกู้ร่วมก็มีภาระเยอะนะครับ^o^
3.การยกเลิกบัตร หรือ ยกเลิกวงเงินบัตรครับ เพื่อลดภาระออกครับ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนภาระลดลงได้เช่นกัน
4.การลดวงเงินลงเพื่อให้ค่างวดผ่อนบ้านลดลง มีผลทำให้สัดส่วนภาระลดลงเช่นกันครับ
จากกรณีด้านบน คือ สัดส่วนภาระต่อรายได้อยู่ที่ 70% นะครับ จะทำยังไงให้ภาระไม่เกิน 60%
ตรงนี้ก็คือการปิดบัตร(ภาระบางตัวครับ)
ปิดบัตรธนาคาร A ยอด 21,000 บาท เป็นภาระต่อเดือน 2,100 บาท (แนบหนังสือยืนยันการยกเลิกวงเงินจากธนาคารA)
จะทำภาระเหลือ
รถยนต์ 4,000 บาทต่อเดือน
บัตรเครดิต B ยอด 9,000 บาท คิดเป็นภาระต่อเดือน 900 บาท
คำนวณสัดส่วนใหม่
( 4,900 + 7,000 ) / 20,000 x 100 = 59.5% ซึ่งผ่านเกณฑ์ของธนาคารที่ให้สัดส่วนภาระไม่เกิน 60% จึงสามารถขอวงเงิน 1,000,000 บาทได้
สำหรับการยกเลิกบัตรจริงๆ ผมว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายดีกว่านะครับ เพราะ คุณต้องเสียเงินในการการยกเลิกบัตร ซึ่งบางรายยอดไม่ใช่น้อยๆครับ และมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะกู้ผ่าน 100% ครับ และ ทำให้สูญเสียโอกาสเมื่อคุณต้องการใช้เงินฉุกเฉินครับ
อีกทางก็คือหาธนาคารที่ให้สัดส่วนในการผ่อนชำระเยอะๆครับผม แต่ละธนาคารก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปครับ เพราะ ผู้กู้แต่ละรายคุณสมบัติไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ อยู่ที่ว่าจะเข้ากับหลักเกณฑ์แบงก์ไหนครับผม
อาจจะยาวไปหน่อยต้องขออภัยด้วยครับผม
แสดงความคิดเห็น
สงสัยค่ะว่า ขอสินเชื่อบ้าน ทำไมต้องปิดบัตรเครดิตคะ