เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่ง ยกเลิกการทำนายอัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนปีนี้ในด้านเศร้าหมองแล้ว โดยวันเดียวกันนี้ เครดิตสวิสปรับเพิ่มประมาณการเติบโตเศรษฐกิจจีนปีนี้ขึ้นเป็น 7.6 เปอร์เซ็นต์ จาก 7.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ประเมินไว้เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการปรับลดลงมาจากการประเมินก่อนหน้านี้ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บาร์เคลย์สระบุเช่นกันว่าอัตราการเติบโตในไตรมาสนี้จะเร่งความเร็วขึ้นจากเมื่อไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ ดอยช์แบงก์เป็นแห่งแรกตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 เพิ่มจาก 7.6 เป็น 7.7 เปอร์เซ็นต์
การปรับเพิ่มประมาณการจนถึงตอนนี้ยังคงอยู่ในระดับพอประมาณ แม้ว่าหากพิจารณาแล้ว เพิ่งจะเพียงแค่ช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมานี่เอง ที่บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หลายแห่ง เร่งรีบที่จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจีนก่อนหน้าการเปิดเผยตัวเลข ไตรมาส 2 ที่คาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่าจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัว
การมองภาพในแง่บวกส่วนใหญ่เป็นการจุดประกายมาจากสัญญาณหลายๆ อย่างของกิจกรรมภาคการผลิตที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ เป็นการบวกเพิ่มไปยังข้อมูลที่แข็งแกร่งจำนวนมาก เช่นเดียวกับข้อบ่งชี้ถึงความเต็มใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลจีนที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวอย่างรุนแรง
"เราเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว" ตง เถา นักเศรษฐศาสตร์ของเครดิตสวิสระบุไว้ในบันทึกที่ส่งถึงลูกค้าในวันเดียวกัน "แรงเหวี่ยงขาขึ้นอาจจะไม่แข็งแกร่ง แต่การมีเสถียรภาพถือว่าเป็นข่าวดี หากดูจากภาพรวมตลาดจีนที่เอื่อยเฉื่อย"
อย่างไรก็ตาม เครดิตสวิส เตือนว่า "ประเด็นที่เป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจ" นั่นคือการลงทุนภาคเอกชน "ยังคงหายไป" และอาจจะยังเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจีนจะมีการปฏิรูปโครงสร้างอย่างจริงจัง
ความเชื่อมั่นต่อจีนที่เพิ่มขึ้นยังอาจจะมาจากการที่ประเทศเศรษฐกิจใหม่ขนาดเล็กกว่าในเอเชียอย่างอินโดนีเซีย ต้องรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกเทขายหุ้นอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและมีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง โดยดัชนีจาการ์ตาคอมโพสิตของอินโดนีเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วร่วงลง 9 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 วัน หลังจากที่มีการประกาศถึงการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ขณะเดียวกับที่อินเดียเองกำลังพยายามหยุดยั้งการร่วงลงเป็นประวัติการณ์ของค่าเงินรูปี
ขณะที่จีนแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรเทขาย โดยได้รับการปกป้องจากข้อมูลอื่นที่แข็งแกร่ง และธรรมชาติของตลาดที่ค่อนข้างปิด โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของจีนร่วงลงเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลง 8.7 เปอร์เซ็นต์ และตลาดหุ้นไทยร่วงลง 7.4 เปอร์เซ็นต์
ข่าวดีมาแล้ว นักวิเคราะห์เชื่อ ศก.จีนกลับสู่ขาขึ้นในไตรมาส 2
ทั้งนี้ ดอยช์แบงก์เป็นแห่งแรกตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 เพิ่มจาก 7.6 เป็น 7.7 เปอร์เซ็นต์
การปรับเพิ่มประมาณการจนถึงตอนนี้ยังคงอยู่ในระดับพอประมาณ แม้ว่าหากพิจารณาแล้ว เพิ่งจะเพียงแค่ช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมานี่เอง ที่บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หลายแห่ง เร่งรีบที่จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจีนก่อนหน้าการเปิดเผยตัวเลข ไตรมาส 2 ที่คาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่าจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัว
การมองภาพในแง่บวกส่วนใหญ่เป็นการจุดประกายมาจากสัญญาณหลายๆ อย่างของกิจกรรมภาคการผลิตที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ เป็นการบวกเพิ่มไปยังข้อมูลที่แข็งแกร่งจำนวนมาก เช่นเดียวกับข้อบ่งชี้ถึงความเต็มใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลจีนที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวอย่างรุนแรง
"เราเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว" ตง เถา นักเศรษฐศาสตร์ของเครดิตสวิสระบุไว้ในบันทึกที่ส่งถึงลูกค้าในวันเดียวกัน "แรงเหวี่ยงขาขึ้นอาจจะไม่แข็งแกร่ง แต่การมีเสถียรภาพถือว่าเป็นข่าวดี หากดูจากภาพรวมตลาดจีนที่เอื่อยเฉื่อย"
อย่างไรก็ตาม เครดิตสวิส เตือนว่า "ประเด็นที่เป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจ" นั่นคือการลงทุนภาคเอกชน "ยังคงหายไป" และอาจจะยังเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจีนจะมีการปฏิรูปโครงสร้างอย่างจริงจัง
ความเชื่อมั่นต่อจีนที่เพิ่มขึ้นยังอาจจะมาจากการที่ประเทศเศรษฐกิจใหม่ขนาดเล็กกว่าในเอเชียอย่างอินโดนีเซีย ต้องรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกเทขายหุ้นอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและมีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง โดยดัชนีจาการ์ตาคอมโพสิตของอินโดนีเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วร่วงลง 9 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 วัน หลังจากที่มีการประกาศถึงการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ขณะเดียวกับที่อินเดียเองกำลังพยายามหยุดยั้งการร่วงลงเป็นประวัติการณ์ของค่าเงินรูปี
ขณะที่จีนแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรเทขาย โดยได้รับการปกป้องจากข้อมูลอื่นที่แข็งแกร่ง และธรรมชาติของตลาดที่ค่อนข้างปิด โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของจีนร่วงลงเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลง 8.7 เปอร์เซ็นต์ และตลาดหุ้นไทยร่วงลง 7.4 เปอร์เซ็นต์