[CR] ]Brazil "สวยแปลกตา และมีอะไรมากกว่าฟุตบอล" ตอนที่ 4 Chapada Diamantina, Bahia

ต่อจากตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30879647
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30884086
และตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/30891970

เนื่องจากเราอยู่ในริโอเกือบ 2 อาทิตย์ และไม่ได้ตะบี้ตะบันเที่ยว เลยมีเรื่องราวแบบไม่ค่อยปะติดปะต่อ เลยขอข้ามไปก่อนและค่อยกลับมาเขียนทีหลังนะคะ
ขอไปที่รัฐ Bahia เลย เป็นรัฐที่ มีชายฝั่งติดทะเลยาวมาก แต่ที่เราจะไปเนี่ยชื่อว่า Chapada Diamantina เป็นส่วนที่ไม่ได้ติดทะเลเลย ซึ่งเราจะเริ่มต้นจากเมือง Salvador ที่เป็นเมืองหลวงของรัฐนี้นะคะ

เพราะทริปบราซิลนี้เป็นทริปที่ไม่ได้วางแผนอะไรล่วงหน้าเท่าไหร่ ดังนั้นทุกที่ที่ไปก็จะตัดสินใจก่อนกันแค่ไม่นาน จะไป Chapada Diamantina ซึ่งเป็น National Park ต้องไปที่เมือง Lencois ที่ห่างจากเมืองSalvador ไปทางทิศตะวันตก นั่งรถบัสข้ามเมืองของที่นี่ประมาณ 6 ชั่วโมง รถข้ามเมืองไปเลนซอยส์นี้มีบริษัทเดียวคือ Rapido Federal ค่าตั๋วเที่ยวละ 39.10 R$ วันนึงจะมีรถไปเมืองนี้ประมาณ 4 เที่ยว เรามาแต่เช้าเพื่อจะมาซื้อตั๋วขึ้นรถตอน 7 โมงเช้า แต่ก็แห้วค่ะ ตั๋วเต็มเลยต้องรอเที่ยวถัดไปตอน บ่ายโมงตรง ทั้งเรากะเพื่อนก็เซ็งไปตามๆกัน เพราะมากันตั้งแต่หกโมงเช้า นั่งแกร่วที่สถานีขนส่งซัลวาดอร์จน10โมงเช้า ก็ไปเดินใน แหล่งช็อปปิ้งฝั่งตรงกันข้าม จะไปเมืองเลนซอยส์ สามารถนั่งเครื่องไปได้ แต่ค่อนข้างแพง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว สนามบินเล็ก เป็นสายการบินที่บินเฉพาะเส้นทางสั้นๆนี้เท่านั้น แนะนำให้นั่งรถกลางคืน จะออกจาก Salvador 5ทุ่มกว่าๆ มาถึงเลนซอยส์ประมาณตี5กว่าๆ แต่เราออก 11 โมงก่อนเที่ยงก็มาถึงราวๆ5โมงกว่าเกือบ 6โมงเย็น นั่งรสบัสตอนกลางวัน เค้าจะจอดแวะพักให้เข้าห้องน้ำ หาอะไรกินเล่น ตามทางอยู่บ่อยๆ มาถึงเมือง Lencois ก็เดินไปที่ Hostel Chapada ซึ่งอยู่ภายในตัวเมือง เดินขึ้นเนินไปประมาณ 2 แยกถนนแล้วเลี้ยวซ้าย เราไม่ได้จองห้องพักไว้ก่อน แต่เพื่อนที่ซัลวาดอร์เค้าแนะนำให้ไปที่นี่ ไปถึงโชคดี มีห้องว่างพอดี เป็นห้อง 4 คนมีห้องน้ำในตัว แต่เรานอนกันแค่ 2 เตียง บรรยากาศสบายสวยงามร่มรื่น ติดต่อซื้อทัวร์กับทางโฮสเทลเลย แล้วก็ออกไปกินพิซซ่ากับไคปิรินย่า แล้วไปดื่มต่ออีกนิดหน่อยที่ผับใกล้ที่พัก เมืองนี้เล็กมาก เดินถึงกันได้หมด เดินไม่นานก็ทั่วเมือง คนที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมความงามของ Chapada Diamantina ถ้าพูดถึงที่นี่ คนบราซิลรู้จักกันหมด แต่ก็มีไม่มากที่เคยไปแล้ว  นักท่องเที่ยวแถบเอเชียไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ คนที่มาบราซิลก็จะไปแค่ ริโอ กับน้ำตกอิกัวซู่ แต่ถ้าใครมีโอกาสมา ที่นี่เป็นที่นึงเลยที่ประทับใจมาก ที่เค้าเรียกว่า Chapada Diamantinaแปลว่าที่ราบสูงเพชร เพราะบริเวณนี้แต่ก่อนเป็นเมืองที่เป็นแหล่งค้นหาเพชร มีเหมืองเพชรที่มีชื่อเสียง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

วันรุ่งขึ้น รถจะมารอรับหน้าที่พักประมาณ 8.30 วันนี้เป็นDay Trip ยอดฮิต ที่ทุกคนต้องไม่พลาดถ้ามาที่นี่ คือ
1.Paco do Diabo
2.Gruta da Lapa Doce
3.Gruta da Pratinha & Gruta Azul
4.Morro do Pai Inacio

ทริปนี้ค่าทัวร์ 100 R$ เป็นเฉพาะค่ารถกับค่าไกด์เท่านั้น ค่าเข้าสถานที่ต่างๆกับค่าอาหารต้องจ่ายต่างหากอีก รถที่พาไปก็เป็นรถเก๋งซีดานธรรมดา มีเรากับเพื่อนและก็แม่ลูกชาวเนเธอร์แลนด์ที่จะต้องไปด้วยกันทั้งวัน กับไกด์ที่รวบทำหน้าที่เป็นคนขับรถด้วยอีก 1 คน ขับรถออกจากเมือง Lencois ไปไม่ถึง 10 นาที ก็จะถึงทางเข้า Paco dop Diabo เป็นทางเดินไปน้ำตกที่มีแอ่งน้ำด้านล่างที่เรียกว่า Devil's Pool ดำทะมึนอยู่ ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที เช้านี้อากาศอึมครึม รู้สึกค่อนข้างเย็น ระหว่างทางก็จะเป็นแบบนี้

คนมาก็เพื่อชมน้ำตก พร้อมกับแอ่งน้ำด้านล่าง ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำเพิ่มเติม(ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วย) คือ Ziplining เป็นการโหนสลิงลงมาจากด้านบนของน้ำตกลงสู่ Devil's Pool ด้านล่าง กับ Rapellingโรยตัวจากด้านบนของผา แต่สูงแค่ 20กว่าเมตรเท่านั้น แต่เป็นการโรยตัวลงมาตรงสระน้ำเลย ทั้ง 2 กิจกรรมยังไงก็ต้องเปียก เห็นฝรั่งหนุ่มคนนึงเดินใส่กกน.ตัวเดียวเพื่อไปทำกิจกรรมZiplining เห็นแล้ว เหวออออ ไม่อายกันเลยเหรอ คือมันไม่ใช่ชุดว่ายน้ำนะคะ แต่เป็นกกน.ผ้าฝ้ายแบบบาง เพื่อนเราก็ชี้ให้ดู โอ้ มายก๊อดดด ตอนนี้ลมแรงอากาศหนาวเกินจะลงน้ำกันได้ เลยไม่มีใครสนใจ


ที่นี่ก็สวยดีแต่ก็คล้ายเมืองไทยเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เดินกลับทางเดิมแอบผิดหวังนิดๆเพราะมีแต่คนบอกว่า Chapada Diamantina สวยมาก พวกเราต้องเดินกลับกันทางเดิม ก่อนจะถึงจุดเริ่มเดินฝนก็ตกลงมา วิ่งขึ้นเขากันแบบไม่รู้เหนื่อยเพราะหนาวมาก

หลังจากนี้ก็ออกเดินทางไปที่ Gruta da Lapa Doce ซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่งต้องเสียค่าบำรุง 15R$ โดยไกด์ของพวกเราจะไม่ได้เข้าถ้ำไปด้วย ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่เป็นไกด์พาเข้าชมถ้ำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆละประมาณ 10 คน พวกเราต้องรอมาให้เจ้าหน้าที่เค้าจัดกลุ่มเข้าชม เค้าจะเว้นระยะแต่ละกลุ่ม ให้มีเวลาเพียงพอในการชมถ้ำ ไม่ให้เข้าไปแล้วไปออกันอยู่ที่เดียว  มีไกด์ไป2คน และทุกคนจะได้รับไฟฉายคนละอันไว้ใช้ส่องดูทางกับหินงอกหินย้อย เพราะถ้ำในนี้จะมืดมาก และไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างแต่อย่างใด ด้านหน้าก็จะเจอต้นไม้รูปร่างประหลาดต้นนี้ เห็นว่าอายุมากแล้ว เนื่องจากไกด์จะพูดเป็นภาษาโปรตุเกตุตลอด เราเลยต้องรอให้เพื่อนเราคอยแปลให้เราฟัง รายละเอียดก็จะเก็บได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ เอารูปไปดูแทนละกัน ^^

จากปากถ้ำมองออกมาด้านนอก

ถ้ำนี้เป็นภ้ำที่เดินทะลุได้ และมีโถงถ้ำค่อนข้างใหญ่ อากาศหายใจสะดวกไม่มีปัญหา

ภายในถ้ำ เค้าจะมีเชือกกั้นไว้ให้เป็นทางเดิน และล้อมหินงอกบางช่วงไว้ไม่ให้คนที่เข้าไปจับหรือเหยียบเอา พื้นถ้ำก็จะเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ก่อนเข้าไปไกด์บอกว่าไม่ให้เดินแยกไปเอง และอย่าส่งเสียงดัง คือเค้าต้องการให้คนที่เข้าไปซึมซับความเป็นธรรมชาติให้เต็มที่ บางช่วงไกด์จะให้ทุกคนนั่งลง แล้วปิดไฟฉายกันหมด นั่งเงียบๆ ไอ้เราก็อยากนั่งเงียบๆน่ะแหละ เจ้ากรรมพุงเราดังส่งเสียงร้องกรอกแกร๊ก ตามประสาคนที่เคยทานข้าวเป็นเวลา พอผิดเวลาหน่อยก็เลยร้องครวญครางจนคนข้างๆต้องกลั้นหัวเราะ
บรรยากาศในถ้ำ พอผ่านหินงอกหินย้อย ทุกคนก็พยายามจินตนาการ บอกกันว่าเหมือนอะไรบ้าง แต่ละคนจินตนาการเลิศล้ำ

และแล้วก็ถึงทางออก


ออกมาไม่รอช้ารีบแจ้งไกด์เราว่าหิวมาก ให้ไปทานข้าวเที่ยงกันเลย เพราะมันก็เกือบบ่าย 2 แล้ว ไกด์ก็พาพวกเราไปนั่งกินอาหารแบบที่มีมากมายในบราซิลคือ เป็นอาหารที่เตรียมไว้แล้วให้ตัก คล้ายๆบุฟเฟต์ตักแล้วก็เอามาชั่งน้ำหนักโดยเครื่องชั่งเค้าจะหักน้ำหนักของจานเอาไว้แล้ว ปกติราคาของอาหารลักษณะนี้จะอยู่ที่ 25-45 R$ต่อกิโลกรัม อาหารส่วนใหญ่ก็จะมี ข้าง ถั่วต้ม มันฝรั่ง สลัดผัก ชีส เนื้อวัว เนื้อไก่ มันผงที่เรียกว่า ฟาโรฟาที่จะกินควบคู่กับบาร์บีคิว และก็ผัดผักต่างๆ เนื่องจาก จขกท หิวจนตาลาย ไปถึงก็ซัดโฮก กินจนหมดเกลี้ยง ไม่ได้ถ่ายรูปไว้แต่อย่างใด กินเสร็จก็เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เดินป่าชมเขาก็ไม่มีห้องน้ำเยอะเท่าไหร่ หญิงสาวอย่างเราก็ไม่เหมือนชายหนุ่มที่สามารถไปยิงกระต่ายข้างต้นไม้ได้ตลอด ยิ่งสาวเอเชียอย่างเรายิ่งเหนียมอายจะให้มาปลดทุกข์กลางป่าคงไม่ไหวถ้าไม่วิกฤติจริงๆ
ต่อจากนี้เราก็นั่งรถมาซักพักเพื่อมาที่ Gruta da Pratinha (Gruta แปลว่าถ้ำ) ที่นี่ต้องเสียค่าบำรุงอีกคนละ 20 R$ เป็นถ้าที่มีบ่อน้ำในถ้ำซึ่งเป็นน้ำจากใต้ดิน โดยที่ด้านนอกถ้ำจะติดกับแม่น้ำ

ที่นี่จะมีกิจกรรมให้เลือกซื้ออีก 2 อย่างคือ ลอยตัวเข้าไปในถ้ำ กับ Ziplining ซึ่งเด็กน้อยชาวเนเธอร์แลนด์ สมาชิกร่วมทริปเลือกกิจกรรมนี้ ในราคา 15R$ จะห้อยจากด้านบน ไปสุดด้านล่างตรงอีกฝั่งของแม่น้ำ กับอีกกิจกรรมคือ ลอยตัวเข้าไปในถ้ำ ซึ่งบริเวณหน้าปากถ้ำ จนอีกประมาณ 50 เมตร เค้าจะไม่ให้คนว่ายน้ำเข้ามา เพราะคนที่ว่ายน้ำจะเข้ามาเหยียบพืชใต้น้ำบริเวณนั้นตายได้ เราก็เลือกลอยตัวเข้าถ้ำซึ่งเสียค่าไกด์และอุปกรณ์ 20 R$ ที่เห็นในรูปจะเป็นด้านหน้าบริเวณที่เตรียมตัว ใส่ชูชีพ เตรียมหน้ากาก สน็อคเกิล ไฟฉาย ซึ่งพอเดินลงไปในน้ำมีปลาตัวเล็กๆมาตอดเต็มไปหมด จั๊กจี้มากเลย คล้ายๆกับสปาปลาในเมืองไทยเลย คนที่ไม่ทำกิจกรรมพวกนี้ก็จะไปว่ายน้ำ แช่น้ำเล่นที่แม่น้ำกัน


เข้าไปด้านในมองไปในน้ำก็มีปลาตัวใหญ่ๆไม่กี่ตัวว่ายอยู่ ไม่มีอะไรมาก แต่น้ำใสสุดๆ ส่วนใหญ่เราจะลอยตัวมองข้างบนถ้ำมากกว่า  หินจะเป็นริ้วๆเหมือนคตไม้สักแต่เป็นสีขาวๆเทาๆ บรรยากาศในถ้ำ

ตรงนี้เป็นตรงทางใกล้ๆกับทางออกจากถ้ำ

วนออกมาอีกทาง เค้าก็ให้ลอยตัวเล่นดำผิวน้ำดูบริเวณรอบๆ น้ำใสมาก ใต้น้ำมีพืชพรรณ ปลามากมาย เราเอากล้องกันน้ำไปเลยถ่ายมาได้นิดหน่อย ^^


ดำดูจนจุใจ ก็ต้องคืนอุปกรณ์ แล้วเดินอ้อมไปจุดที่เพื่อนเราว่ายน้ำเล่นที่แม่น้ำ จริงๆมันต่อกับถ้ำนั่นแหละ แต่เค้ามีที่กั้นไว้ไม่ให้คนว่ายผ่านเข้ามา เราก็ว่ายออกไปไม่ได้เหมือนกัน

จากตรงแม่น้ำ เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปที่ Gruta Azul ซึ่งเป็นถ้ำที่จะเห็นเป็นสีฟ้าสด แต่จะเห็นเฉพาะช่วงเวลาประมาณ บ่าย 2 ถึง 3โมงครึ่งเท่านั้น ที่แสงจะอยู่ในตำแหน่งที่ส่องมาในถ้ำ ที่นี่ไม่ให้ลงไปว่ายน้ำ ให้ดูถ่ายรูปเฉยๆ พวกเรา 4 คนเดินมาดูเป็นช่วงแสงสุดท้ายที่จะเห็นสีฟ้าในถ้ำของวันนั้นเลย


ต่อจากนี้พวกเราก็จะไปต่อกันที่ Morro do Pai Inacio เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินกัน จุดนี้เป็นจุดชมวิวยอดฮิต ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปตรงนี้ วิวเป็นภูเขาที่ด้านบนเป็นที่ราบ ภูเขาที่นี่ด้านข้างๆจะตัดลงมาเป็นคล้ายๆหน้าผา ดูสวยแปลกจากภูเขาในเมืองไทย คล้ายๆกับเป็นแคนยอน ไกด์ขับรถมาถึงเนินเขาที่เป็นจุดที่ปีนขึ้นไปบนยอด ก่อนอื่นเสียค่าบำรุงคนละ 5R$ สถานที่ท่องเที่ยวในเขตนี้จะมีเล่มให้คนลงทะเบียนก่อนทุกครั้ง จะให้เขียนชื่อนามสกุล และบอกว่ามาจากไหน จากที่ดูๆนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวบราซิลเอง  มีจากอเมริกาบ้าง ยุโรปบ้าง เอเชียก็จะมีญี่ปุ่นเยอะกว่าเพื่อน มีที่นึงเราเข้าไปถามว่ามีคนไทยมาบ้างมั้ย เค้าว่า มีแต่ไม่ใช่ปีนี้ นานๆจะโผล่มาคน
ทางเดินขึ้นก็เป็นหินๆซ้อนกันเหมือนเป็นบันได เดินไม่ยากเท่าไหร่


ขึ้นมาก็จะเจอวิวประมาณนี้


ด้านบนก็จะมีแอ่งน้ำเล็กๆ ต้องเดินระวังหน่อย ในรูปเป็นสมาชิกในทริป แต่เหมือนเคยเบลอหน้าไว้หน่อย


รอดูวพระอาทิตย์ตกดิน


บนเขาจะมีต้นไม้ไม่เหมือนข้างล่าง บางช่วงจะมีกระบองเพชรด้วยเยอะแยะ ที่นี่เรียกว่า Morro do Pai Inacio แปลว่า ภูเขาของพ่อ Inacio มีตำนานเรื่องเล่าของทาสชายผิวดำที่เป็นหัวหน้าทาสที่ชื่อ Inacio  รูปร่างกำยำ หล่อเหลา เป็นที่กล่าวขานว่าเป็นพ่อพันธุ์ที่ดี สาวๆคนไหนเห็น Inacio ก็จะตกหลุมรักเสมอ เป็นตำนานรักระหว่าง Inacio กับ Sinha ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นเมียหรือลูกสาวของผู้พันเจ้าของเหมือง  ต่อตอนหน้านะคะ
ชื่อสินค้า:   Chapada Diamantina
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่