9 ก.พ. 2556 "ดร.โกร่ง" เคยออกมาเตือนว่ฟองสบู่แตกปลายปีนี้!รุนแรงกว่าปี′40 จี้ธปท.เร่งลดดอกเบี้ย สกัด"ฮอตมันนี่"ทะลักเข้

เตือนภัยจาก"ดร.โกร่ง" เงินร้อน-ฟองสบู่แตก !! "ผมพูดกับประชาชน ในฐานะประธานบอร์ด ธปท."
วันที่ 09 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 12:00:02 น (ผมคิดว่า ดร.แกแม่นจริง ๆ ครับ)

ที่มา มติชน - นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน" ถึงนโยบายการดำเนินงานของ ธปท. ภายหลังจากที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหนังสือถึง ธปท.ให้ร่วมกันพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่อาจส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจไทย

เงินร้อนคืออะไร และสร้างปัญหากับไทยแค่ไหน

เงินร้อน คือเงินทุนที่ไหลไปไหลมาระหว่างประเทศ ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินทุนมี 2 อย่าง 1.เงินต่างประเทศที่เข้ามาบ้านเราเพื่อลงทุนโรงงาน เครื่องจักร เป็นการลงทุนโดยตรง เป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่เราต้องการ 2.เงินต่างประเทศที่เข้าลงทุนในตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดตราสารทางการเงิน หรือแม้แต่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้ว แล้วปั่นราคาให้สูงขึ้น อย่างนี้เรียกว่า เงินร้อน หรือ hot money

ถามว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันก็เหมือนกับน้ำ น้ำย่อมไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ เงินไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังที่ผลตอบแทนสูง เมื่ออเมริกาปั๊มเงินดอลลาร์เข้ามาในตลาดโลกมากมาย ยุโรปก็พิมพ์เงินเข้ามา ล่าสุดนี่ญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน มาสั่งแบงก์ชาติญี่ปุ่นให้เพิ่มปริมาณเงิน เพราะฉะนั้น ปริมาณเงินในโลกก็เอ่อท่วมขึ้นมา มันก็ไปหาที่ที่ผลตอบแทนสูงกว่า ผลตอบแทนในอเมริกา ในยุโรป ในญี่ปุ่นต่ำ สิงคโปร์ก็ต่ำ ฮ่องกงก็ต่ำ เหลือแต่ไทยที่พื้นฐานเศรษฐกิจดีเท่ากับสิงคโปร์ เท่ากันกับประเทศอื่น แต่ผลตอบแทนดีกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่า มันก็หลั่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ อีกหน่อยก็จะไปตลาดอสังหาริมทรัพย์ เงินร้อนนี่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนะ เรียกว่า unproductive มีแต่อันตราย เพราะมีอำนาจในการทำลายล้าง สร้างความเสียหายยับเยินได้เยอะ ถ้าเข้ามาแล้วอยู่ตลอดกัลปาวสานก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าเข้ามาแล้วปั่นหุ้น ปั่นตลาดตราสารหนี้ ปั่นราคาที่ดิน คอนโดฯต่างๆ พอถึงจุดหนึ่งเททิ้งขายเอาเงินออกไป ทุกอย่างก็หล่นฮวบลงมา นักลงทุนก็เสียหาย ดีไม่ดีลามไปถึงธนาคารพาณิชย์อีก ถ้าดูแลกันไม่ดี เพราะฉะนั้น นี่เป็นสิ่งที่น่าวิตก

เหมือนกับปี 2540 หากปล่อยเอาไว้

ขณะนี้ผมว่าอาการมันคล้ายๆ กับปี 2538 ซึ่งมันจะเกิดเหตุการณ์หนึ่ง คือ เมื่อเราตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ มันก็ไปโผล่ที่ราคาสินทรัพย์ทางการเงิน หรือที่เรียกว่า Asset bubble เป็นฟองสบู่ เพราะเมื่อหุ้นขึ้น ตราสารหนี้ขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ขึ้น เกิดตลาดฟองสบู่ เศรษฐกิจจริงๆ ไม่โต สาเหตุที่ไม่โตเพราะมันทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ทำให้การส่งออกไม่ขยายตัว ไม่ขยายตัวเลยเกือบจะ 0 หรือจะติดลบด้วยซ้ำไป

อย่างตอนนั้น ดัชนีหุ้นขึ้นสูงสุดเมื่อปี 2537 แล้วสูงต่อมาถึงปี 2538 พอปี 2539 ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว สายเสียแล้ว ทำให้ฟองสบู่แตกปี 2540 เพราะว่าเริ่มถูกโจมตีตั้งแต่วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2540 แล้วก็ไปพังตอน 2 กรกฎาคม 2540

ขณะนี้เริ่มก่ออาการแล้ว ดังนั้น เราต้องตระหนัก ที่ผมบอกว่าเงินมันเหมือนน้ำ น้ำไหลจากที่สูงมาที่ต่ำ เงินไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไปที่ให้ผลตอบแทนสูง สมมุติว่าบ้านเรานี่มันต่ำ แล้วน้ำอยู่ที่สูง เราไม่อยากให้มันไหลลงมา เราก็ต้องยกบ้านเราให้สูง ถึงจะทำเขื่อนทำอะไรกั้นไว้ มันก็หาทางแทรกซึมพังเขื่อนลงมาได้

ปัญหาตอนนี้คือวิธีการจัดการกับเงินร้อนยังไม่เป็นเอกภาพ มีความเห็นแตกต่างกันไป

ความเห็นของผมคือ เมื่อเงินไหลเข้ามาเพื่อหาผลตอบแทนที่สูง เราก็ลดอัตราผลตอบแทนให้ต่ำลง มันก็จะไม่เข้ามาหรือไหลเข้ามาเบาบางลง

แต่ถ้าความเห็นเป็นอีกทาง จะยิ่งอันตราย เพราะหากไปมุ่งมาตรการที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น การจำกัดสินเชื่อ หรือออกกฎหมายเก็บภาษี หรืออะไรที่ขัดขวางกลไกตลาด ในตลาดเก็งกำไรเนี่ย เราคาดการณ์พฤติกรรมของนักเก็งกำไรไม่ได้ สมมุติว่าเราทำอย่างนี้ เรานึกว่าจะเป็นอย่างนี้ อย่างเช่นเมื่อตอน ธปท.ใส่มาตรการให้คนที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามา ต้องสำรอง 30% ปรากฏว่า ทำให้ตลาดหุ้นพังเลย วันเดียวมาร์เก็ตแคป (มูลค่าตลาดรวม) สูญไป 8 แสนล้านบาท ดัชนีตกวันเดียว 100 จุด ตำราเศรษฐศาสตร์ทุกอันไม่เคยมีใครกล้าเขียนทฤษฎีว่าด้วยพฤติกรรมของนักเก็งกำไร

เราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว เงินร้อนไหลเข้ามาเก็งกำไรในภาคที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิต ทำไมเราไม่สรุปบทเรียน วิธีง่ายมันมีอยู่แค่นี้ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น ประเทศมหาอำนาจเขาใช้ดอกเบี้ยต่ำ ค่าเงินอ่อน ไทยเราแข็งแรงกว่าเขาหรือ เราถึงใช้ค่าเงินแข็ง ดอกเบี้ยสูง

นโยบาย inflation targeting ของ ธปท. ที่อาจารย์วิพากษ์ว่า การแทรกแซงเท่ากับเป็นการเติมเงินเฟ้อให้กับตลาดคืออะไร

แบงก์ชาติเขามีสูตร คือก่อนสิ้นปีจะไปขอทำสัญญากับรัฐมนตรีคลังว่า ถ้าดอกเบี้ยต่ำกว่า 2% เขาจึงจะลดดอก 1-2% แล้วหากเกินกว่านี้ เขาจะขอขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่เขาใช้เรียกว่า core inflation คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค ยกเว้นหมวดพลังงานและหมวดอาหาร โดยใน CPI -Consumer Price Index มีหมวดพลังงานและหมวดอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์ที่สูงอยู่ในดัชนี ก็ยก 2 ตัวนี้ออก แล้วตั้งเป้าว่า ถ้าสองหมวดนี้ต่ำกว่า 2% จะลดดอกเบี้ย และถ้าตัวนี้เกิน 3% จึงจะขึ้นดอกเบี้ย

ขณะนี้สถานการณ์ไม่มีทางที่ทั้ง 2 หมวดนี้จะต่ำกว่า 2% ทางแบงก์ชาติเขาจึงมีแต่จะขึ้นดอกเบี้ย แต่รัฐมนตรีกิตติรัตน์ไม่ยอม เหมือนกับญี่ปุ่นตอนนี้ที่นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ บอกจะทำเงินเฟ้อให้ได้ 2%

ที่นี้เมื่อเงินเฟ้ออยู่ในกรอบนี้ ต่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจยังไง แบงก์ชาติเขาก็ไม่สนใจ ต่อให้ดอลลาร์ไหลเข้ามา ทำให้บาทอ่อนหรือแข็ง เขาก็ไม่สน เพราะมีสูตรเอาไว้อย่างนี้แล้ว และเมื่อดอกเบี้ยเขย่งกันอย่างนี้ เป็นเหตุให้ดอลลาร์ไหลเข้ามา ตั้งแต่เงินบาทเทียบดอลลาร์ที่ 40 จนมาถึง 30 บาทต่อดอลลาร์ ก็หลายปีแล้ว แต่แบงก์ชาติก็ไม่ยืนยันในหลักการของตัวเอง

พอดอลลาร์ไหลเข้ามาทำเงินบาทแข็งค่า แบงก์ชาติก็เอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์เก็บไว้ในรูปเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทำให้เงินบาทล้นตลาด แบงก์ชาติก็ออกพันธบัตรมาดูดซับ ในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3% แล้วแบงก์ชาติก็ได้เงินดอลลาร์ไปใส่ทุนสำรอง ดอลลาร์ที่เขาได้ไปก็นำไปซื้อพันธบัตรอเมริกัน ซึ่งมีดอกเบี้ยแค่ 0.25-0.5% เฉลี่ยผลตอบแทนของทุนสำรองก็ประมาณ 0.8-0.9% ขณะที่ต้นทุนที่ออกพันธบัตรไปซื้อมาอยู่ที่ 3%

ขณะที่พันธบัตรที่ออกมาแล้วทั้งหมด 4.7 ล้านล้านบาท ขณะที่ดอกเบี้ย 3% คิดดูสิว่า ปีหนึ่งแบงก์ชาติต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่าไร และเงินจำนวนนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย เมื่อแบงก์ชาติไม่ใช่แบงก์พาณิชย์ ไม่มีกำไร มีแต่รายจ่าย ดังนั้น ก็ต้องพิมพ์เงิน เพิ่มเงินเข้ามาในระบบ แล้วตัวนี้จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ

อย่างขณะนี้ เงินกองทุนติดลบไปแล้ว 5.3 แสนล้านบาท แล้วยังจะติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการขาดทุนของแบงก์ชาติ เพราะพันธบัตร 4.7 ล้านล้านบาทที่ออกไปนั้นไม่มีปัญญาไถ่ถอนหรอก เพราะดอกเบี้ยจากพันธบัตรนี้ที่ต้องจ่ายออกไปปีละประมาณ 1.2 แสนล้านบาท แล้วพอครบกำหนดก็ต้องต่ออายุ (roll over) ไปเรื่อยๆ หรือถ้าแทรกแซงมากขึ้น เงินส่วนนี้จะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับทุนสำรองฯ หากเสื่อมค่าลงเมื่อเทียบกับบาท ก็เท่ากับขาดทุนแสนกว่าล้าน ดังนั้น ปี 2555 จึงมีตัวเลขขาดทุน 2 แสนกว่าล้านบาท

เวลาแบงก์ชาติขาดทุน ใครเป็นคนจ่าย

ก็พวกเรานี่แหละ แบงก์ชาติก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย แต่ติดบัญชีเอาไว้ อันนี้น่ากลัวเพราะว่าถ้าเผื่อขาดทุนมากๆ ธนาคารกลางก็จะต้องพิมพ์เงินมาใช้ชำระหนี้มากๆ เข้า เป็นเหตุให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ทีนี้ล่ะเงินเฟ้อของจริงจะมาแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะห่วงมากกว่าที่กลัวว่า จะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น (demand pull) ถ้าจะลดดอกเบี้ย

อันนี้คือ ความเห็นของผมที่ผู้บริหาร ธปท.มองต่างกัน คงจะไม่มีประธาน ธปท.ที่ไหนเขาพูดต่างจากผู้ว่าการ ธปท. ยกเว้นผม (หัวเราะ)

ผู้ว่าการ ธปท.เห็นว่าดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ก็สะท้อนสภาพเศรษฐกิจของอเมริกา ดอกเบี้ยยุโรปก็สะท้อนสภาพเศรษฐกิจยุโรป ดอกเบี้ยญี่ปุ่นก็สะท้อนสภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ดอกเบี้ยไทยก็สะท้อนเศรษฐกิจไทย ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็แสดงว่าเศรษฐกิจของเราอยู่ใน "โรบินสัน ครูโซ" คือไม่เกี่ยวข้องกับใคร เป็นระบบเศรษฐกิจที่ปิด

แนวทางการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกัน กว่าจะตกลงกันได้ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ อ.ป๋วย (อึ๊งภากรณ์) เคยสอนว่าแบงก์ชาติกับรัฐบาลเหมือนสามีภรรยา ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ทางออกของผู้ว่าฯคือลาออกเพื่อประท้วง

ใน 20 กว่าปีมานี้ ไม่มีหรอกครับลาออก มีแต่ถูกไล่ออกหรือปลดออก ที่ อ.ป๋วยพูดไว้เป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับเก่าของธนาคารแห่งประเทศไทย คือมีการดุลอำนาจกันระหว่าง ธปท.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปรียบเสมือนครอบครัว สามีก็ต้องให้เกียรติภรรยา ภรรยาเองก็ต้องตระหนักความจำเป็นของสามี ของประเทศชาติ ที่เขาต้องรับผิดชอบต่อประเทศชาติ ต่อรัฐสภา แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้เป็นแบบที่ อ.ป๋วยวาดภาพไว้ พ.ร.บ.ฉบับปัจจุบันกลายเป็นภรรยากับสามีหย่ากันเด็ดขาดไปเลย แยกกันไปเลย เป็นอิสระแก่กัน แต่ก็เขียนไว้แต่ต้นๆ ว่าสามียังต้องดูแลการดำเนินงานโดยทั่วไปของครอบครัว แต่ภรรยาไม่จำเป็นต้องฟังสามีเลย ไม่ต้องรับผิดชอบสามารถดำเนินการทั้งเรื่องการเงิน การทองของครอบครัวได้

ในการบริหารประเทศ เป็นไปได้หรือที่มีองค์กรอิสระ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อใคร ไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาล ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา สามารถดำเนินนโยบายได้เอง

ไม่มีธนาคารกลางที่ไหนในโลกที่เขามีทัศนคติอย่างนั้นหรอก แม้แต่อเมริกาซึ่งระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนเรา ระบอบการปกครองระบบประธานาธิบดี ไม่ใช่ระบอบการปกครองโดยรัฐสภา ทางธนาคารกลางไม่ว่าจะเป็น เบน เบอร์นันเก้ หรืออลัน กรีนสแปน ก็ต้องปรึกษาหารือกับประธานาธิบดี เพื่อที่จะให้นโยบายทางการเงินการคลังเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

อ่านต่อที่นี่ครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1360383404&grpid=01&catid=01
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่