บันเทิงธรรม
โดย ท่านสันตินันท์ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช)
ความนำ
ผู้เขียนได้เขียนถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมไว้แล้ว 2 ฉบับ. คือ
(1) แนวทางปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการอธิบายวิธีการดูจิตตามแนวของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล). โดยแจกแจงลงในหลักสติปัฏฐาน 4.และ
(2) แนวทางปฏิบัติธรรม ซึ่งอธิบายถึง ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ. แนวทางปฏิบัติธรรมทั้ง 2 ฉบับ นี้เน้นน้ำหนักที่ศาสตร์ของการปฏิบัติ. เพื่อให้ผู้สนใจทราบถึงหลักปฏิบัติที่สำคัญ จึงเป็นเสมือนแผนที่บอกทิศทางหลักของการเดินทาง.
แต่ เมื่อผู้อ่านแผนที่ลงมือเดินทางจริงๆ. อาจจะพบอุปสรรคต่างๆ นานาอีกหลายประการ. ซึ่งแม้จะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย. แต่ก็อาจทำให้ผู้ปฏิบัติต้องเสียเวลาค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาในแต่ละขั้นตอน. ผู้เขียนซึ่งเคยผ่านความผิดพลาดต่างๆ มามากแล้ว. จึงอาสาที่จะบอกเล่าประสบการณ์ถึงรายละเอียดของเส้นทาง. รวมทั้งจะเล่าถึงกลวิธีเอาตัวรอดจากอุปสรรคต่างๆ นั้นด้วย. เพื่อผู้ที่เดินมาข้างหลังจะได้รับความสะดวกในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น. ขอย้ำว่าที่ผู้เขียนอาสามาเขียนเรื่องนี้. ไม่ใช่เพราะผู้เขียนเก่งกล้าสามารถอะไร. แต่เป็นเพราะผู้เขียนหย่อนความรู้ความสามารถ. จึงปฏิบัติผิดพลาดเอาไว้หลายแง่หลายมุม. มากกว่าหมู่เพื่อนบางท่านซึ่งมีความฉลาดแหลมคม ปฏิบัติได้ราบรื่นไม่พบอุปสรรคใดๆ.
ผู้ เขียนจะใช้ท่วงทำนองของการเล่าเรื่องเพื่อให้อ่านง่าย. ยิ่งกว่าการบรรยายอย่างมีศัพท์แสงเป็นวิชาการ. และไม่ได้เล่าตามลำดับเหตุการณ์เสมอไปเพื่อความสะดวกของผู้เขียนเอง. ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกับที่คนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องให้คนรุ่นหลังฟัง. คือนึกอะไรได้ ก็เล่าเรื่องนั้นก่อน.
1. พอเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว
ผู้เขียนเริ่มปฏิบัติสมาธิภาวนาครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ. โดยคุณพ่อพาไปวัดอโศการามของท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระ สุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์). และได้หนังสือการฝึกอานาปานสติมาจากท่านพ่อลี. ก็นำมาอ่านแล้วปฏิบัติด้วยตนเองไปตามความเข้าใจแบบเด็กๆ. เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก. พยายามหัดอยู่ทุกวันเพราะผู้เขียนเป็นคนกลัวผี. และเชื่อว่าถ้าภาวนาเป็นจะหายกลัวผี. การที่จิตจดจ่อกับลมหายใจโดยไม่ได้คิดคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั้น. เป็นหลักการสำคัญของสมถกรรมฐาน. ดังนั้นเพียงไม่นาน จิตก็รวมวูบลง ปราศจากกาย. แล้วจิตก็อันตรธานไปปรากฏขึ้นในเทวโลก. เมื่อเวลาจะเดินทางไปมา ก็เพียงนึก แล้วกายทิพย์ก็ลอยไปเหนือพื้น.
ผู้ เขียนเที่ยวเล่นอยู่เช่นนี้ไม่นานวันนัก. ก็เกิดความเฉลียวใจว่า สมาธิไม่น่าจะมีประโยชน์เพียงแค่นี้. ทำไมเราจะต้องปล่อยให้จิตเคลิ้มแล้วมาเที่ยวอย่างนี้. นับจากนั้นก็กำหนดลมหายใจให้แรงขึ้น. เพื่อไม่ให้จิตตกภวังค์. จิตก็ไม่ออกเที่ยวภายนอกอีก.
2. กำหนดลมหายใจแบบแข็งกร้าว
การกำหนด ลมหายใจแรงๆ แม้จะทำให้จิตไม่เคลิ้มตกภวังค์. แต่จิตก็ไม่สามารถพัฒนาให้ยิ่งกว่านั้น. กลับทำความเหน็ดเหนื่อยให้อย่างมาก. แต่ผู้เขียนก็มิได้ย่อท้อ ยังคงกำหนดลมหายใจแรงๆ เช่นนั้นเสมอมา. แม้จะเหนื่อยเพียงใด ก็ทนเอา. เนื่องจากไม่มีสติปัญญา มีแต่แรงกระตุ้นของอดีตให้ต้องปฏิบัติ. ปฏิบัติลำบากเช่นนี้อยู่ถึง 21 ปี. โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าสมาธิหรือปัญญา. ทั้งนี้เพราะผู้เขียนไม่ทราบว่า ที่ปฏิบัตินั้นทำไปเพื่อสิ่งใด. และไม่ทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย.
ผู้ ที่จะปฏิบัติธรรม จึงควรศึกษาถึงเป้าหมายของการปฏิบัติให้ชัดเจน. และเรียนรู้วิธีปฏิบัติให้เข้าใจเสียก่อน. อย่าได้ลำบากเหมือนผู้เขียนเลย.
3. ดูจิตได้เมื่อภัยมา
บ้าน เกิดของผู้เขียนเป็นตึกแถว. ด้านหน้าคือถนนบริพัตร ด้านหลังคือคลองโอ่งอ่าง. หมู่บ้านที่อยู่มีชื่อเป็นทางการว่า “บ้านบาตร” เพราะมีอาชีพทำบาตร. แต่ส่วนที่อยู่จริงเป็นหมู่บ้านโบราณอีกหย่อมหนึ่งเรียกว่า “บ้านดอกไม้” เพราะมีอาชีพทำดอกไม้ไฟ. ตอนเด็กๆ เกิดไฟไหม้บ้านดอกไม้ มีการระเบิดและมีคนตายจำนวนมาก. ผู้เขียนจึงกลัวไฟไหม้จับจิตจับใจ. วันหนึ่งเมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ ขณะเล่นลูกหินอยู่ข้างถนนหน้าบ้าน. ได้เห็นไฟกำลังไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ถัดไป 5 - 6 ห้องซึ่งเป็นร้านซ่อมรถยนต์.
ผู้เขียนเกิดความกลัวอย่างรุนแรง. ลุกพรวดขึ้นได้ก็วิ่งอ้าวเข้าบ้านเพื่อไปบอกผู้ใหญ่. พอวิ่งไปได้ 3 ก้าว จิตก็เกิดย้อนดูจิตโดย อัตโนมัติ. มองเห็นความกลัวดับวับไปต่อหน้าต่อตา. เหลือเพียงความรู้ตัว สงบ ตั้งมั่น. ตอนนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอะไร. ได้แต่เดินไปบอกผู้ใหญ่ว่า ไฟไหม้. แล้วยืนดูคนอื่นตกใจกันวุ่นวาย.
หลาย ปีถัดมา ผู้เขียนจึงเข้าใจว่า. ผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่เราทำไว้ในชาติก่อนๆ ไม่ได้หายไปไหน. แต่ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจของเรานั่นเอง. เมื่อถึงเวลา มันก็จะแสดงตัวออกมา. จุดอ่อนของผู้เขียนในขณะนั้นก็คือ. ผู้เขียนไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะสรุปให้ฟังว่า เกิดอะไร เพราะอะไร. ผู้เขียนจึงลืมการดูจิตไปอีกครั้งหนึ่ง.
สิ่งหนึ่งที่อยาก กล่าวกับผู้อ่านก็คือ. คุณงามความดีทั้งหลายนั้น ขอให้สร้างไว้เถิด. ผลของมันไม่สูญหายไปไหน. เมื่อถึงเวลาย่อมให้ผลอย่างแน่นอน.
4. กลัวผีจนเจอดี
ดัง ที่เล่ามาแล้วว่า ผู้เขียนกลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด. ทั้งที่ไม่เคยพบผีเลยแม้แต่ครั้งเดียว. จนกระทั่งปี 2521 จึงได้ไปบรรพชาอุปสมบทที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์. แล้วท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์คือพระธรรมโกศาจารย์(ปัญญานันทภิกขุ) ก็เกิดจะเมตตาผู้เขียนเป็นพิเศษ. แทนที่จะให้ไปอยู่ในหมู่กุฏิหลังวัด. ซึ่งพระเณรอยู่กันเป็นจำนวนมาก. กลับให้ผู้เขียนอยู่กุฏิโดดเดี่ยวตามลำพังข้างเมรุและใกล้ช่องเก็บศพ. ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นกุฏิที่น่าอยู่มาก. เพราะปลูกอยู่ริมสระน้ำเล็กๆ มีต้นไม้ร่มรื่น. แต่ข้อเสียคือพอตอนฉันเพล. ได้พบโยมบางคนเขาบอกว่ากุฏินั้นผีดุ. เคยมีเณรไปอยู่แล้วตกกลางคืนร้องลั่นวิ่งหนีจากกุฏิเพราะมีผีมาเล่นกระโดด น้ำในสระ. ผู้เขียนแม้เป็นพระ ก็รู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง. พอตกกลางคืนหลังจากไปฝึกกรรมฐานที่ท้ายวัด ก็กลับเข้ากุฏิปิดไฟนอน. เวรกรรมแท้ๆ ผนังกุฏิช่วงล่างสัก 1 ฟุตเป็นกระจกโดยรอบ. จึงมองออกมาเห็นภาพภายนอกตะคุ่มๆ. พอหลับแล้วกลางดึกก็ต้องตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระโดดน้ำดังตูม. บทสวดมนต์ต่างๆ มันเลื่อนไหลขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ. นอนกลัวจนถึงเช้าจึงออกไปดูที่สระน้ำ. ก็เห็นผี คือลูกมะพร้าวลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในสระ.
ผีในลักษณะ นี้ผู้เขียนได้พบเห็นอยู่เสมอเมื่อออกไปปฏิบัติธรรมตามวัดป่า. เช่นผีกระรอกขว้างหลังคากุฏิตอนดึกๆ. ผีตุ๊กแกจับแมลงโตๆ ฟาดฝากุฏิ. ผีนกร้องเสียงเหมือนยายแม่มด. ผีเปรตนกร้องกรี๊ดๆ บนยอดไม้สูงๆ เป็นต้น. ยิ่งเขาลือว่าตรงนั้นมีผี ตรงนี้มีผี ยิ่งชอบพิสูจน์ทั้งๆ ที่กลัว.
หลัง จากเจอผีมะพร้าวแล้วผู้เขียนก็ชักจะกระหยิ่มใจ. พอตกกลางคืนแม้จะเลิกปฏิบัติรวมกลุ่มจากศาลาท้ายวัดแล้ว. ก็ยังกลับมานั่งภาวนาต่อในกุฏิอีก. คืนหนึ่งจิตสงบลงและรู้สึกหน่อยๆ ว่าเมื่อยขา และเป็นเหน็บ. จึงนั่งเหยียดเท้าแล้วภาวนาต่อไป. แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมานวดขาให้. เพียงกดคราวเดียว เลือดลมก็เดินสะดวก หายปวดหายเมื่อย. จิตก็ส่งออกไปดู เห็นชายวัยเกษียณอายุคนหนึ่งแต่งชุดทหารอากาศกำลังนวดให้อย่างตั้งใจ. จิตในขณะนั้นไม่มีความกลัวเลย. หลังจากนั้น ผู้เขียนก็เห็นเขาคนนี้อยู่เสมอๆ.
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะ เป็นอุปาทานหรืออะไรก็แล้วแต่เถิด. ผู้เขียนได้ประสบมา ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง. เพื่อคลายความหนักในเนื้อหาของธรรมที่จะเล่าต่อไปข้างหน้า.
บันเทิงธรรม
โดย ท่านสันตินันท์ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช)
ความนำ
ผู้เขียนได้เขียนถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมไว้แล้ว 2 ฉบับ. คือ
(1) แนวทางปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการอธิบายวิธีการดูจิตตามแนวของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล). โดยแจกแจงลงในหลักสติปัฏฐาน 4.และ
(2) แนวทางปฏิบัติธรรม ซึ่งอธิบายถึง ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ. แนวทางปฏิบัติธรรมทั้ง 2 ฉบับ นี้เน้นน้ำหนักที่ศาสตร์ของการปฏิบัติ. เพื่อให้ผู้สนใจทราบถึงหลักปฏิบัติที่สำคัญ จึงเป็นเสมือนแผนที่บอกทิศทางหลักของการเดินทาง.
แต่ เมื่อผู้อ่านแผนที่ลงมือเดินทางจริงๆ. อาจจะพบอุปสรรคต่างๆ นานาอีกหลายประการ. ซึ่งแม้จะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย. แต่ก็อาจทำให้ผู้ปฏิบัติต้องเสียเวลาค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาในแต่ละขั้นตอน. ผู้เขียนซึ่งเคยผ่านความผิดพลาดต่างๆ มามากแล้ว. จึงอาสาที่จะบอกเล่าประสบการณ์ถึงรายละเอียดของเส้นทาง. รวมทั้งจะเล่าถึงกลวิธีเอาตัวรอดจากอุปสรรคต่างๆ นั้นด้วย. เพื่อผู้ที่เดินมาข้างหลังจะได้รับความสะดวกในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น. ขอย้ำว่าที่ผู้เขียนอาสามาเขียนเรื่องนี้. ไม่ใช่เพราะผู้เขียนเก่งกล้าสามารถอะไร. แต่เป็นเพราะผู้เขียนหย่อนความรู้ความสามารถ. จึงปฏิบัติผิดพลาดเอาไว้หลายแง่หลายมุม. มากกว่าหมู่เพื่อนบางท่านซึ่งมีความฉลาดแหลมคม ปฏิบัติได้ราบรื่นไม่พบอุปสรรคใดๆ.
ผู้ เขียนจะใช้ท่วงทำนองของการเล่าเรื่องเพื่อให้อ่านง่าย. ยิ่งกว่าการบรรยายอย่างมีศัพท์แสงเป็นวิชาการ. และไม่ได้เล่าตามลำดับเหตุการณ์เสมอไปเพื่อความสะดวกของผู้เขียนเอง. ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกับที่คนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องให้คนรุ่นหลังฟัง. คือนึกอะไรได้ ก็เล่าเรื่องนั้นก่อน.
1. พอเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว
ผู้เขียนเริ่มปฏิบัติสมาธิภาวนาครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ. โดยคุณพ่อพาไปวัดอโศการามของท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระ สุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์). และได้หนังสือการฝึกอานาปานสติมาจากท่านพ่อลี. ก็นำมาอ่านแล้วปฏิบัติด้วยตนเองไปตามความเข้าใจแบบเด็กๆ. เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก. พยายามหัดอยู่ทุกวันเพราะผู้เขียนเป็นคนกลัวผี. และเชื่อว่าถ้าภาวนาเป็นจะหายกลัวผี. การที่จิตจดจ่อกับลมหายใจโดยไม่ได้คิดคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั้น. เป็นหลักการสำคัญของสมถกรรมฐาน. ดังนั้นเพียงไม่นาน จิตก็รวมวูบลง ปราศจากกาย. แล้วจิตก็อันตรธานไปปรากฏขึ้นในเทวโลก. เมื่อเวลาจะเดินทางไปมา ก็เพียงนึก แล้วกายทิพย์ก็ลอยไปเหนือพื้น.
ผู้ เขียนเที่ยวเล่นอยู่เช่นนี้ไม่นานวันนัก. ก็เกิดความเฉลียวใจว่า สมาธิไม่น่าจะมีประโยชน์เพียงแค่นี้. ทำไมเราจะต้องปล่อยให้จิตเคลิ้มแล้วมาเที่ยวอย่างนี้. นับจากนั้นก็กำหนดลมหายใจให้แรงขึ้น. เพื่อไม่ให้จิตตกภวังค์. จิตก็ไม่ออกเที่ยวภายนอกอีก.
2. กำหนดลมหายใจแบบแข็งกร้าว
การกำหนด ลมหายใจแรงๆ แม้จะทำให้จิตไม่เคลิ้มตกภวังค์. แต่จิตก็ไม่สามารถพัฒนาให้ยิ่งกว่านั้น. กลับทำความเหน็ดเหนื่อยให้อย่างมาก. แต่ผู้เขียนก็มิได้ย่อท้อ ยังคงกำหนดลมหายใจแรงๆ เช่นนั้นเสมอมา. แม้จะเหนื่อยเพียงใด ก็ทนเอา. เนื่องจากไม่มีสติปัญญา มีแต่แรงกระตุ้นของอดีตให้ต้องปฏิบัติ. ปฏิบัติลำบากเช่นนี้อยู่ถึง 21 ปี. โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าสมาธิหรือปัญญา. ทั้งนี้เพราะผู้เขียนไม่ทราบว่า ที่ปฏิบัตินั้นทำไปเพื่อสิ่งใด. และไม่ทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย.
ผู้ ที่จะปฏิบัติธรรม จึงควรศึกษาถึงเป้าหมายของการปฏิบัติให้ชัดเจน. และเรียนรู้วิธีปฏิบัติให้เข้าใจเสียก่อน. อย่าได้ลำบากเหมือนผู้เขียนเลย.
3. ดูจิตได้เมื่อภัยมา
บ้าน เกิดของผู้เขียนเป็นตึกแถว. ด้านหน้าคือถนนบริพัตร ด้านหลังคือคลองโอ่งอ่าง. หมู่บ้านที่อยู่มีชื่อเป็นทางการว่า “บ้านบาตร” เพราะมีอาชีพทำบาตร. แต่ส่วนที่อยู่จริงเป็นหมู่บ้านโบราณอีกหย่อมหนึ่งเรียกว่า “บ้านดอกไม้” เพราะมีอาชีพทำดอกไม้ไฟ. ตอนเด็กๆ เกิดไฟไหม้บ้านดอกไม้ มีการระเบิดและมีคนตายจำนวนมาก. ผู้เขียนจึงกลัวไฟไหม้จับจิตจับใจ. วันหนึ่งเมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ ขณะเล่นลูกหินอยู่ข้างถนนหน้าบ้าน. ได้เห็นไฟกำลังไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ถัดไป 5 - 6 ห้องซึ่งเป็นร้านซ่อมรถยนต์.
ผู้เขียนเกิดความกลัวอย่างรุนแรง. ลุกพรวดขึ้นได้ก็วิ่งอ้าวเข้าบ้านเพื่อไปบอกผู้ใหญ่. พอวิ่งไปได้ 3 ก้าว จิตก็เกิดย้อนดูจิตโดย อัตโนมัติ. มองเห็นความกลัวดับวับไปต่อหน้าต่อตา. เหลือเพียงความรู้ตัว สงบ ตั้งมั่น. ตอนนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอะไร. ได้แต่เดินไปบอกผู้ใหญ่ว่า ไฟไหม้. แล้วยืนดูคนอื่นตกใจกันวุ่นวาย.
หลาย ปีถัดมา ผู้เขียนจึงเข้าใจว่า. ผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่เราทำไว้ในชาติก่อนๆ ไม่ได้หายไปไหน. แต่ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจของเรานั่นเอง. เมื่อถึงเวลา มันก็จะแสดงตัวออกมา. จุดอ่อนของผู้เขียนในขณะนั้นก็คือ. ผู้เขียนไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะสรุปให้ฟังว่า เกิดอะไร เพราะอะไร. ผู้เขียนจึงลืมการดูจิตไปอีกครั้งหนึ่ง.
สิ่งหนึ่งที่อยาก กล่าวกับผู้อ่านก็คือ. คุณงามความดีทั้งหลายนั้น ขอให้สร้างไว้เถิด. ผลของมันไม่สูญหายไปไหน. เมื่อถึงเวลาย่อมให้ผลอย่างแน่นอน.
4. กลัวผีจนเจอดี
ดัง ที่เล่ามาแล้วว่า ผู้เขียนกลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด. ทั้งที่ไม่เคยพบผีเลยแม้แต่ครั้งเดียว. จนกระทั่งปี 2521 จึงได้ไปบรรพชาอุปสมบทที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์. แล้วท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์คือพระธรรมโกศาจารย์(ปัญญานันทภิกขุ) ก็เกิดจะเมตตาผู้เขียนเป็นพิเศษ. แทนที่จะให้ไปอยู่ในหมู่กุฏิหลังวัด. ซึ่งพระเณรอยู่กันเป็นจำนวนมาก. กลับให้ผู้เขียนอยู่กุฏิโดดเดี่ยวตามลำพังข้างเมรุและใกล้ช่องเก็บศพ. ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นกุฏิที่น่าอยู่มาก. เพราะปลูกอยู่ริมสระน้ำเล็กๆ มีต้นไม้ร่มรื่น. แต่ข้อเสียคือพอตอนฉันเพล. ได้พบโยมบางคนเขาบอกว่ากุฏินั้นผีดุ. เคยมีเณรไปอยู่แล้วตกกลางคืนร้องลั่นวิ่งหนีจากกุฏิเพราะมีผีมาเล่นกระโดด น้ำในสระ. ผู้เขียนแม้เป็นพระ ก็รู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง. พอตกกลางคืนหลังจากไปฝึกกรรมฐานที่ท้ายวัด ก็กลับเข้ากุฏิปิดไฟนอน. เวรกรรมแท้ๆ ผนังกุฏิช่วงล่างสัก 1 ฟุตเป็นกระจกโดยรอบ. จึงมองออกมาเห็นภาพภายนอกตะคุ่มๆ. พอหลับแล้วกลางดึกก็ต้องตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระโดดน้ำดังตูม. บทสวดมนต์ต่างๆ มันเลื่อนไหลขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ. นอนกลัวจนถึงเช้าจึงออกไปดูที่สระน้ำ. ก็เห็นผี คือลูกมะพร้าวลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในสระ.
ผีในลักษณะ นี้ผู้เขียนได้พบเห็นอยู่เสมอเมื่อออกไปปฏิบัติธรรมตามวัดป่า. เช่นผีกระรอกขว้างหลังคากุฏิตอนดึกๆ. ผีตุ๊กแกจับแมลงโตๆ ฟาดฝากุฏิ. ผีนกร้องเสียงเหมือนยายแม่มด. ผีเปรตนกร้องกรี๊ดๆ บนยอดไม้สูงๆ เป็นต้น. ยิ่งเขาลือว่าตรงนั้นมีผี ตรงนี้มีผี ยิ่งชอบพิสูจน์ทั้งๆ ที่กลัว.
หลัง จากเจอผีมะพร้าวแล้วผู้เขียนก็ชักจะกระหยิ่มใจ. พอตกกลางคืนแม้จะเลิกปฏิบัติรวมกลุ่มจากศาลาท้ายวัดแล้ว. ก็ยังกลับมานั่งภาวนาต่อในกุฏิอีก. คืนหนึ่งจิตสงบลงและรู้สึกหน่อยๆ ว่าเมื่อยขา และเป็นเหน็บ. จึงนั่งเหยียดเท้าแล้วภาวนาต่อไป. แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมานวดขาให้. เพียงกดคราวเดียว เลือดลมก็เดินสะดวก หายปวดหายเมื่อย. จิตก็ส่งออกไปดู เห็นชายวัยเกษียณอายุคนหนึ่งแต่งชุดทหารอากาศกำลังนวดให้อย่างตั้งใจ. จิตในขณะนั้นไม่มีความกลัวเลย. หลังจากนั้น ผู้เขียนก็เห็นเขาคนนี้อยู่เสมอๆ.
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะ เป็นอุปาทานหรืออะไรก็แล้วแต่เถิด. ผู้เขียนได้ประสบมา ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง. เพื่อคลายความหนักในเนื้อหาของธรรมที่จะเล่าต่อไปข้างหน้า.