เปิดใจ “ตั้ว-เสฎฐวุฒิ” คว้าโอกาสบนเส้นทางมายา ปลื้มกระแสซีรีย์ “ฮอร์โมน” ดีเกินคาด ไม่หวั่นคนมองติดภาพเกย์
ที่มา
http://www.prsociety.net/29522/
ผ่านตาจากโฆษณาและหนังมาบ้าง แต่แทบจะไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไร กระทั่งจากผลงานล่าสุดแจ้งเกิดเต็มตัวกับบทรักซึ้งๆชายรักชาย ในซีรีย์ “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” เรียกได้ว่าเรทติ้งกระฉูด โดยเฉพาะฉากจูบที่ทำเอาสาววาย และชาวสีม่วงฮือฮาไปตามๆ กัน
มาแรงแซงโค้งแบบนี้ จนหลายคนถามไถ่ว่าหนุ่มหน้าหล่อในเรื่องนี้เป็นใคร อยากรู้จักหนุ่มน้อยคนนี้ให้มากกว่าที่เห็นบนจอทีวี วันนี้เลยสนองตอบแฟนๆ ด้วยการคว้าหนุ่ม “ตั้ว-เสฎฐวุฒิ” มาพูดคุย รวมไปถึงเรื่องหัวใจ ที่สาวๆ อยากรู้ว่าหนุ่มตั้ว มีใครจับจองแล้วหรือยัง ว่าแล้วมาเปิดหัวใจหนุ่มน้อยคนนี้กันเล้ย…
ชีวิตวัยเด็กเป็นยังไง?
ตั้ว: ตอนเด็กตั้วค่อนข้างจะสนุกสนาน เพราะมีความทรงจำกับเพื่อนเยอะ อย่างเช่นตอนประถมเคยเตะฟุตบอลไปโดนกระจกอาคารแตกแล้วโดนครูทำโทษ พอขึ้นมัธยมก็จะมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาด้วยกันทั้งวัน เราเป็นรุ่นพี่เวลามีรุ่นน้องเข้ามาใหม่ๆ ก็จะไปแอบมองว่าน้องคนนี้น่ารัก เวลาน้องเค้าเดินผ่านก็จะโชว์ออฟเลี้ยงบอล หลบบอล ยิงบอล ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเท่ห์ อีกอย่างการเล่นกีฬาทำให้รู้สึกว่าเราแข็งแรงสุขภาพร่างกายดีขึ้นครับ
เริ่มเข้าวงการยังไง?
ตั้ว: ตอนอายุ 14 เลิกเรียนไปกินข้าวกับเพื่อนที่สยาม แล้วก็มีพี่โมเดลลิ่งมาขอถ่ายรูปเผื่อส่งงานโฆษณาเดินแบบก็เลยให้เบอร์ติดต่อไป ผ่านมาได้ 1 สัปดาห์ พี่เค้าก็ติดต่อมาว่ามีงานเดินแบบสนใจทำไหม ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ แต่ก็อยากลอง เราเคยเห็นคนตัวสูงหน้าตาดีทำ เราก็เลยอยากทำ ก็เลยตอบตกลงไป พอทำครั้งแรกก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ เวลาเดินแบบก็จะมีแฟลชกล้องถ่ายภาพ ทำให้รู้สึกว่าการทำงานตรงนั้นทำให้เรากลายเป็นจุดสนใจในชั่วขณะหนึ่ง เลยตัดสินใจจะลองทำงานตรงนั้นดู พอบอกพี่เค้าไปว่าชอบ เค้าก็ส่งงานให้มาแคสเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง ก็ได้เล่นโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งครับ หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบเข้ามาเรื่อยๆ จนมีโฆษณาตัวที่สอง คือ รอยไทย น้ำแกงสำเร็จรูป ปีที่แล้วได้มีโอกาสเล่นหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนชีวิตผมในเรื่องของความคิด เพราะเราได้เจอคนหลายคน การทำงานกับคนที่เราไม่รู้จักเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน เปิดกว้างในเรื่องต่างๆ ที่เราสามารถเข้ากับคนอื่นได้ จนกระทั่งได้มาเล่นซีรีย์ฮอร์โมนครับ
คิดยังไงกับวงการ?
ตั้ว: รู้สึกว่าวงการนี้ให้อะไรกับเราเยอะ สนุก ไม่น่าเบื่อ มีอะไรท้าทายตลอดเวลา อย่างแรกคือทำให้ความคิดของผมเปลี่ยน ช่วงแรกที่เข้ามาผมยังมีความคิดแบบเด็ก ยังไม่มีวุฒิภาวะ ทำให้คนอื่นไม่พอใจ ทำให้มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น แต่ก็มีพี่ๆ คอยสอนคอยตักเตือน ทำให้ชีวิตเราค่อยๆ โตขึ้น จนทำให้มาอยู่ตรงนี้ได้ครับ
เตรียมรับกับความไม่เป็นส่วนตัวบ้างหรือยัง?
ตั้ว: ระดับหนึ่งครับ ในเรื่องของการพูด การเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่างเมื่อก่อนผมเป็นคนที่อยากลงรูปอะไรก็ลง บางอย่างที่เป็นแบบคำพูดไม่สุภาพหรือการเมนชั่นหาเพื่อน ตอนนี้ก็ต้องระวังในเรื่องของคำพูด ถ้าคนเห็นอาจจะดูไม่ดีครับ ก็ต้องคอยปรับ เรื่องความไม่เป็นส่วนตัวก็ยังเหมือนเดิม ผมก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวไม่ให้แฟนคลับหรือใครที่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนในครอบครัวของผม ยุ่งมากจนเกินไป ชีวิตปัจจุบันของผมก็จะให้เจอตามงานมากกว่า มีมาเจอหน้าโรงเรียนบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดเดินมาหาถึงในโรงเรียน มารบกวนเวลาที่ผมอยู่กับเพื่อน ยังรักษาตรงนั้นได้อยู่ครับ
มาเป็นส่วนหนึ่งของ “ฮอร์โมน” ได้ยังไง?
ตั้ว: ปลายปีที่แล้ว พี่โมเดลลิ่งแนะนำให้มาแคส ยอมรับว่าตื่นเต้นมากเพราะเคยดูหนังของพี่ย้งมาหลายเรื่อง รู้สึกว่าพี่ย้งเป็นคนที่เก่งมากได้ทำงานกับพี่เค้าน่าจะพัฒนาฝีมือการแสดงและความคิดของเราไปได้เยอะ ตอนมาแคสรอบแรกจะมีบทธีร์กับดิน รู้สึกเกร็งว่าเราจะเล่นออกมาได้ดีไหม แต่พอแคสเสร็จพี่แคสติ้งก็ชอบ ตอนนั้นพี่ย้งไปเที่ยวญี่ปุ่นก็เลยไม่ได้เจอกัน พอพี่ย้งกลับมาก็เรียกผมมาสัมภาษณ์ว่ามุมมองความรักเป็นยังไง ชีวิตเรื่องเรียนเป็นยังไง การดำเนินชีวิตเป็นยังไง มีเรื่องที่เคยทำไว้ไม่ดีไหม ให้นั่งเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเรา หลังจากนั้นช่วงนึงพี่ย้งก็บอกกับเราว่าพี่เลือกเรานะ ให้ลองมาเวิร์กช็อปกับนักแสดงของฮอร์โมน
ตอนมาเวิร์กช็อปครั้งแรกรู้สึกถึงความเกร็งเลยครับ เพราะพี่หลายคนเป็นนักแสดงที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงอยู่แล้ว เราเป็นเด็กใหม่ไม่เคยเจอไม่เคยคุยมาก่อน รู้จักเพียงผลงานการแสดงของเค้า ตอนแรกก็เกร็งไม่พูดอะไรเลยครับ แต่โชคดีที่มีพี่ที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่งคือพี่ต่อครับ เคยถ่ายโฆษณาด้วยกัน พอมาเจอพี่ต่ออีกครั้งก็รู้สึกสบายใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีพี่ที่เรารู้จักเคยทำงานร่วมกันมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้แต่พอเวิร์กช็อปกันไปเรื่อยๆ จะมีการเปิดใจให้เรารู้จักกันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ผมเจอหลายคำถามที่ค่อนข้างแรง เป็นเรื่องส่วนตัวของผมครับ แต่เพื่อการปรับตัวให้รู้จักกันมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ต้องบอกทุกอย่าง ผ่านไปช่วงหนึ่งก็สนิทกันครับ กลายเป็นพี่ๆที่น่ารักคอยสอนผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง การเข้าฉาก การอยู่ด้วยกัน การปฏิบัติตนร่วมกับผู้อื่น
ร่วมงานกับพี่ย้งรู้สึกยังไงบ้าง?
ตั้ว: ประสบการณ์อีกอย่างที่ได้คือความอดทนครับ การร่วมงานกับพี่ย้งเป็นอะไรที่หนักมากสำหรับผมที่ไม่เคยทำงานตรงนี้แบบหนักมาก่อนเลย พอมาเจอพี่ย้งต้องบอกเลยว่าพี่ย้งเป็นผู้กำกับที่ละเอียดมาก และเป็นคนที่เข้มงวดมากในเรื่องของการแสดง ถ้ามีตรงไหนที่ยังไม่ดีตามมาตรฐานของพี่ย้ง พี่เค้าจะไม่ปล่อยผ่าน ทำให้เราอดทนมีความสามารถในการแสดงมากขึ้น พอเราไปทำงานอื่นๆ ผมว่ามันง่ายขึ้นเพราะว่าพี่เค้าฝึกเรามาเยอะพอสมควรครับ
คิดไหมว่ากระแสตอบรับจะออกมาดีขนาดนี้?
ตั้ว: ไม่เคยคิดมาก่อนเลยครับ ตอนแรกที่เราถ่ายทำกันมาก็คิดว่าดูกันในเครือจีทีเอช เพื่อน ผู้ปกครองของเด็ก แต่พอปล่อยทีเซอร์ออกมากลายเป็นว่าทุกคนให้ความสนใจกับซีรีย์ของเรา ซึ่งผมก็รู้สึกดีใจในช่วงแรก และพอซีรีย์เริ่มออกอากาศตั้งแต่ Episode แรกจนถึงล่าสุด ก็รู้สึกปลาบปลื้ม ดีใจมากๆ เลยครับ หายเหนื่อยเลย เพราะว่าความตั้งใจในการทำงานของเราทำให้ผลตอบรับของตัวเราและทีมงานออกมาดีขนาดนี้
รู้สึกประหม่าบ้างไหมที่ต้องจูบกับผู้ชาย?
ตั้ว: ไม่ค่อยครับ (หัวเราะ) เพราะผมกับพี่มาร์ชถ่ายด้วยกันแทบทุกฉากอยู่แล้ว เวลาเวิร์กช็อปก็เข้าคู่กัน เรียนรู้ สัมผัสต่างๆ ของกันและกัน อย่างเช่นเวลาหลับตาให้เรียนรู้ว่าคนนี้ลักษณะเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ใช้แค่ร่างกายสัมผัส ทำให้ความเขินน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงฉากนั้นก็ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นมากครับ (หัวเราะ) เพราะไม่เคยจูบกับผู้ชายมาก่อน ก่อนเข้าฉากพี่ย้งเดินมาบอกกับผมและพี่มาร์ชว่า ถ้าไม่อยากโดนหลายๆ ครั้งก็เอาให้ครั้งเดียวผ่านนะ มีสมาธิดีๆ ผมก็บอกกับพี่มาร์ชว่า ผมขอนะพี่ ครั้งเดียวพอเนอะ อย่าให้หลายครั้งเลย (หัวเราะ) ตอนเริ่มถ่ายก็รู้สึกเกร็งฮะ อยากหัวเราะ แต่ในใจเราต้องนึกว่าอยากให้ผ่านไปด้วยดี ผ่านไปให้เร็วที่สุด เพราะตอนนั้นก็ติดปัญหาเรื่องโลเกชั่นซึ่งมันดึกมากแล้ว สุดท้ายก็ออกมาเป็นภาพที่ทุกคนเห็น ส่วนตัวผมก็คิดว่าทำได้ดีฮะ
กลัวคนจะมองไหมว่าชีวิตจริงเราจะเป็นแบบในจอ?
ตั้ว: ช่วงแรกกลัวครับ ตอนสัมภาษณ์พี่ย้งถามว่ากลัวไหมถ้าต้องมีเลิฟซีนกับผู้ชาย หลังจากซีรีย์นี้จบไปจะโดนมองว่าเป็นเกย์ไหม แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ อย่างพี่มาร์ชเคยรับบทชายรักชายมาก่อน ในชีวิตปัจจุบันก็ไม่มีใครมองเค้าว่าเป็นเกย์ แต่ผมกังวลอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องของงานการแสดงครับ งานที่ติดต่อเข้ามาจะเป็นลักษณะเดียวกันหรือเปล่า เหมือนพี่มาร์ชที่เล่นหนังรับบทชายรักชายมาก่อน พอมาซีรีย์เรื่องนี้ก็เป็นชายรักชายอีก ผมจะกลัวเป็นเรื่องนั้นมากกว่า เรื่องติดภาพว่าคนมองเป็นเกย์ผมไม่ติดใจครับ เพราะคิดว่าถ้าเราทำให้คนอินและเชื่อว่าเราเป็น ธีร์ จริงๆ ผมว่าผมก็ประสบความสำเร็จในบทนี้ครับ
ดราม่าได้อารมณ์มาก เอามาจากชีวิตจริงหรือเปล่า?
ตั้ว: เรื่องที่ทำให้อารมณ์ออกมาถึงจุดนั้นมาจากชีวิตจริงครับ ก่อนที่เราจะทำอารมณ์พี่ย้งเดินมาบีฟว่าให้นึกถึงเรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิตครับ ผมนึกถึงว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแฟนกับผม แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว ช่วงนั้นผมยังรู้สึกดึกับเขาอยู่ และเขาไปเป็นแฟนกับเพื่อนผมอีกคน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เราไม่มีสิทธิที่จะแสดงออกกับเขาหรือบอกเขาได้อีกแล้วว่าเรายังรู้สึกดีกับเขาอยู่ ถึงเราทำไปก็ไม่ทำให้เขากลับมาหาเราได้อีกอยู่ดี มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง พูดในใจ ของ บอดี้สแลม มีอยู่ท่อนนึงของเพลงที่บอกว่า เจ็บปวดที่ฉันยังพูดได้แค่ในใจ ก็รู้ถ้าพูดออกไป เธอคงจะไม่ย้อนกลับมา ซึ่งผมฟังแล้วมันใช่กับตัวผมในเวลานั้น ผมฟังไปเกือบสิบรอบจนทำให้อารมณ์ผมเข้าถึงจุดนั้นได้ครับ
แล้วตอนนี้มีคนรู้ใจไหม?
ตั้ว: ไม่มีเป็นตัวตนฮะ จะเป็นมองเรื่อยๆ ซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้จริงจังถึงขั้นที่จะมานั่งคุยกันว่าอยากได้การพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นแฟนฮะ เพราะตอนนี้เราต้องทำงานและเรียนหนังสือ ผมอยากโฟกัสเรื่องพวกนี้ก่อนดีกว่าครับ ความรักมันเคยทำให้เราเจ็บก็เลยไม่อยากไปจริงจังกับมันมากจนทำร้ายเราอีก แต่ถ้าเราโฟกัสกับเรื่องเรียนและเรื่องงานก็จะมีแต่สิ่งที่ดีตามเรามา จึงอยากโฟกัสแค่ 2 เรื่องนี้ไว้ก่อนครับ
มีสเป๊กในใจหรือเปล่า?
ตั้ว: ผมเป็นคนไม่มีสเป๊กฮะ ถ้ามองโดยรวมว่าคนนี้น่ารักดี ขาว ก็โอเคเริ่มคุยกันฮะ (ยิ้ม) ถึงเป็นคนที่สวยหรือน่ารักขนาดไหนแต่ถ้าผมมองแล้วนิสัยไม่เข้ากัน คุยกันแล้วมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เข้ากัน ก็ต้องยอมรับในจุดนั้นครับ (เสียใจไหม?) ไม่เสียใจ พร้อมที่จะศึกษาคนใหม่เรื่อยๆ ความรักก็เหมือนการเรียนรู้ ทำให้ชีวิตเรามีสีสันดีฮะ
เสน่ห์ของตั้วอยู่ตรงไหน?
ตั้ว: คงเป็นเรื่องของส่วนสูงครับ ผมเป็นคนอายุน้อยแต่ตัวสูง หลายคนคงไม่คิดว่าผมจะเป็นเด็กมัธยม เวลาเจอผมก็จะนึกว่าอยู่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า อีกอย่างผมเป็นคนอารมณ์ดี ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ คนที่คุยด้วยจะไม่รู้สึกเครียด หรือมีเรื่องเครียดมาคุยกับเราทำให้ความเครียดหายไปได้ เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างเอ็นเตอร์เทนคนเก่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนชอบผมครับ
ถ้าจะแนะนำคนชื่อ ตั้ว ให้คนอื่นได้รู้จัก?
ตั้ว: ผมเป็นคนขี้เขินครับ (หัวเราะ) จะเป็นคนที่ชอบเขินเวลาโดนคนอื่นจ้องหน้าหรือให้ความสำคัญ อย่างเช่นไปออกรายการกับพี่มาร์ช พี่เค้าจะเป็นคนชอบแกล้ง เค้าจะรู้ว่าผมเป็นคนขี้เขินฮะ เค้าก็จะชอบแซวว่า เอ้ย..ตั้ว / เอ้ย..จริงหรอ อะไรประมาณนี้ฮะ ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนคิดกันว่าผมเป็นเกย์ในชีวิตจริงหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ เป็นคนขี้เขินฮะ (ยิ้ม)
ไอดอลในชีวิตของตั้วคือใคร?
ตั้ว: ไอดอลของผมคือคุณแม่ครับ เพราะผมเป็นผู้ชายที่สนิทกับแม่มากกว่าพ่อฮะ ก็จะไม่เหมือนคนทั่วไป พ่อของผมทำงานรับราชการตำรวจ จะไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกเท่าไร ผมเลยมีเวลาอยู่กับแม่เยอะ สำหรับผมแล้วแม่เป็นคนที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากพ่อเลยฮะ เป็นคนที่คอยสอนคอยเลี้ยงดูเรา เป็นคนที่เราพูดคุยได้ทุกเรื่อง เป็นคนเก่ง ไม่ว่าเราจะถามเรื่องอะไรไป คุณแม่ของผมจะมีวิธีการพูดที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นคนขยันทำงานมาก คุณแม่ผมเป็นเภสัชกรทำงาน 7 วันไม่มีวันหยุดเลยฮะ อย่างวันเสาร์อาทิตย์ที่เป็นเวลาพักผ่อนก็จะไม่พักเหมือนคนอื่นเขา จะไปอยู่ร้านขายยา เป็นบุคคลที่ผมอยากเอาเป็นแบบอย่างในเรื่องของการทำงานครับ
คนมักพูดว่าพอดังแล้วจะเปลี่ยนไป คิดว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นไหม?
ตั้ว: ก็เหมือนเดิมครับ เราเคยเป็นยังไงเราก็แบบเดิมครับ ทำตัวปกติ ไม่ใช่ว่าเป็นนักแสดงที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้วจะทำตัวหยิ่งไม่คุยกับใคร ผมว่ามันไม่ใช่ฮะ ผมว่าเราควรเป็นตัวของเราเองมากกว่า คนที่ชอบเรารักเราติดตามผลงานของเรา จะรักที่ความเป็นตัวเราฮะ
(มีต่อค่ะ)
เปิดใจตั้ว เสฏฐวุฒิ(ธีร์ ฮอร์โมน)คว้าโอกาสบนเส้นทางมายา + เผยภาพหลุด ตั้ว ดินเนอร์สุดหรูกับหนุ่มรูปหล่อใต้แสงเทียน
ที่มา http://www.prsociety.net/29522/
ผ่านตาจากโฆษณาและหนังมาบ้าง แต่แทบจะไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไร กระทั่งจากผลงานล่าสุดแจ้งเกิดเต็มตัวกับบทรักซึ้งๆชายรักชาย ในซีรีย์ “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” เรียกได้ว่าเรทติ้งกระฉูด โดยเฉพาะฉากจูบที่ทำเอาสาววาย และชาวสีม่วงฮือฮาไปตามๆ กัน
มาแรงแซงโค้งแบบนี้ จนหลายคนถามไถ่ว่าหนุ่มหน้าหล่อในเรื่องนี้เป็นใคร อยากรู้จักหนุ่มน้อยคนนี้ให้มากกว่าที่เห็นบนจอทีวี วันนี้เลยสนองตอบแฟนๆ ด้วยการคว้าหนุ่ม “ตั้ว-เสฎฐวุฒิ” มาพูดคุย รวมไปถึงเรื่องหัวใจ ที่สาวๆ อยากรู้ว่าหนุ่มตั้ว มีใครจับจองแล้วหรือยัง ว่าแล้วมาเปิดหัวใจหนุ่มน้อยคนนี้กันเล้ย…
ชีวิตวัยเด็กเป็นยังไง?
ตั้ว: ตอนเด็กตั้วค่อนข้างจะสนุกสนาน เพราะมีความทรงจำกับเพื่อนเยอะ อย่างเช่นตอนประถมเคยเตะฟุตบอลไปโดนกระจกอาคารแตกแล้วโดนครูทำโทษ พอขึ้นมัธยมก็จะมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาด้วยกันทั้งวัน เราเป็นรุ่นพี่เวลามีรุ่นน้องเข้ามาใหม่ๆ ก็จะไปแอบมองว่าน้องคนนี้น่ารัก เวลาน้องเค้าเดินผ่านก็จะโชว์ออฟเลี้ยงบอล หลบบอล ยิงบอล ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเท่ห์ อีกอย่างการเล่นกีฬาทำให้รู้สึกว่าเราแข็งแรงสุขภาพร่างกายดีขึ้นครับ
เริ่มเข้าวงการยังไง?
ตั้ว: ตอนอายุ 14 เลิกเรียนไปกินข้าวกับเพื่อนที่สยาม แล้วก็มีพี่โมเดลลิ่งมาขอถ่ายรูปเผื่อส่งงานโฆษณาเดินแบบก็เลยให้เบอร์ติดต่อไป ผ่านมาได้ 1 สัปดาห์ พี่เค้าก็ติดต่อมาว่ามีงานเดินแบบสนใจทำไหม ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ แต่ก็อยากลอง เราเคยเห็นคนตัวสูงหน้าตาดีทำ เราก็เลยอยากทำ ก็เลยตอบตกลงไป พอทำครั้งแรกก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ เวลาเดินแบบก็จะมีแฟลชกล้องถ่ายภาพ ทำให้รู้สึกว่าการทำงานตรงนั้นทำให้เรากลายเป็นจุดสนใจในชั่วขณะหนึ่ง เลยตัดสินใจจะลองทำงานตรงนั้นดู พอบอกพี่เค้าไปว่าชอบ เค้าก็ส่งงานให้มาแคสเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง ก็ได้เล่นโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งครับ หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบเข้ามาเรื่อยๆ จนมีโฆษณาตัวที่สอง คือ รอยไทย น้ำแกงสำเร็จรูป ปีที่แล้วได้มีโอกาสเล่นหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนชีวิตผมในเรื่องของความคิด เพราะเราได้เจอคนหลายคน การทำงานกับคนที่เราไม่รู้จักเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน เปิดกว้างในเรื่องต่างๆ ที่เราสามารถเข้ากับคนอื่นได้ จนกระทั่งได้มาเล่นซีรีย์ฮอร์โมนครับ
คิดยังไงกับวงการ?
ตั้ว: รู้สึกว่าวงการนี้ให้อะไรกับเราเยอะ สนุก ไม่น่าเบื่อ มีอะไรท้าทายตลอดเวลา อย่างแรกคือทำให้ความคิดของผมเปลี่ยน ช่วงแรกที่เข้ามาผมยังมีความคิดแบบเด็ก ยังไม่มีวุฒิภาวะ ทำให้คนอื่นไม่พอใจ ทำให้มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น แต่ก็มีพี่ๆ คอยสอนคอยตักเตือน ทำให้ชีวิตเราค่อยๆ โตขึ้น จนทำให้มาอยู่ตรงนี้ได้ครับ
เตรียมรับกับความไม่เป็นส่วนตัวบ้างหรือยัง?
ตั้ว: ระดับหนึ่งครับ ในเรื่องของการพูด การเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่างเมื่อก่อนผมเป็นคนที่อยากลงรูปอะไรก็ลง บางอย่างที่เป็นแบบคำพูดไม่สุภาพหรือการเมนชั่นหาเพื่อน ตอนนี้ก็ต้องระวังในเรื่องของคำพูด ถ้าคนเห็นอาจจะดูไม่ดีครับ ก็ต้องคอยปรับ เรื่องความไม่เป็นส่วนตัวก็ยังเหมือนเดิม ผมก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวไม่ให้แฟนคลับหรือใครที่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนในครอบครัวของผม ยุ่งมากจนเกินไป ชีวิตปัจจุบันของผมก็จะให้เจอตามงานมากกว่า มีมาเจอหน้าโรงเรียนบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดเดินมาหาถึงในโรงเรียน มารบกวนเวลาที่ผมอยู่กับเพื่อน ยังรักษาตรงนั้นได้อยู่ครับ
มาเป็นส่วนหนึ่งของ “ฮอร์โมน” ได้ยังไง?
ตั้ว: ปลายปีที่แล้ว พี่โมเดลลิ่งแนะนำให้มาแคส ยอมรับว่าตื่นเต้นมากเพราะเคยดูหนังของพี่ย้งมาหลายเรื่อง รู้สึกว่าพี่ย้งเป็นคนที่เก่งมากได้ทำงานกับพี่เค้าน่าจะพัฒนาฝีมือการแสดงและความคิดของเราไปได้เยอะ ตอนมาแคสรอบแรกจะมีบทธีร์กับดิน รู้สึกเกร็งว่าเราจะเล่นออกมาได้ดีไหม แต่พอแคสเสร็จพี่แคสติ้งก็ชอบ ตอนนั้นพี่ย้งไปเที่ยวญี่ปุ่นก็เลยไม่ได้เจอกัน พอพี่ย้งกลับมาก็เรียกผมมาสัมภาษณ์ว่ามุมมองความรักเป็นยังไง ชีวิตเรื่องเรียนเป็นยังไง การดำเนินชีวิตเป็นยังไง มีเรื่องที่เคยทำไว้ไม่ดีไหม ให้นั่งเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเรา หลังจากนั้นช่วงนึงพี่ย้งก็บอกกับเราว่าพี่เลือกเรานะ ให้ลองมาเวิร์กช็อปกับนักแสดงของฮอร์โมน
ตอนมาเวิร์กช็อปครั้งแรกรู้สึกถึงความเกร็งเลยครับ เพราะพี่หลายคนเป็นนักแสดงที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงอยู่แล้ว เราเป็นเด็กใหม่ไม่เคยเจอไม่เคยคุยมาก่อน รู้จักเพียงผลงานการแสดงของเค้า ตอนแรกก็เกร็งไม่พูดอะไรเลยครับ แต่โชคดีที่มีพี่ที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่งคือพี่ต่อครับ เคยถ่ายโฆษณาด้วยกัน พอมาเจอพี่ต่ออีกครั้งก็รู้สึกสบายใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีพี่ที่เรารู้จักเคยทำงานร่วมกันมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้แต่พอเวิร์กช็อปกันไปเรื่อยๆ จะมีการเปิดใจให้เรารู้จักกันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ผมเจอหลายคำถามที่ค่อนข้างแรง เป็นเรื่องส่วนตัวของผมครับ แต่เพื่อการปรับตัวให้รู้จักกันมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ต้องบอกทุกอย่าง ผ่านไปช่วงหนึ่งก็สนิทกันครับ กลายเป็นพี่ๆที่น่ารักคอยสอนผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง การเข้าฉาก การอยู่ด้วยกัน การปฏิบัติตนร่วมกับผู้อื่น
ร่วมงานกับพี่ย้งรู้สึกยังไงบ้าง?
ตั้ว: ประสบการณ์อีกอย่างที่ได้คือความอดทนครับ การร่วมงานกับพี่ย้งเป็นอะไรที่หนักมากสำหรับผมที่ไม่เคยทำงานตรงนี้แบบหนักมาก่อนเลย พอมาเจอพี่ย้งต้องบอกเลยว่าพี่ย้งเป็นผู้กำกับที่ละเอียดมาก และเป็นคนที่เข้มงวดมากในเรื่องของการแสดง ถ้ามีตรงไหนที่ยังไม่ดีตามมาตรฐานของพี่ย้ง พี่เค้าจะไม่ปล่อยผ่าน ทำให้เราอดทนมีความสามารถในการแสดงมากขึ้น พอเราไปทำงานอื่นๆ ผมว่ามันง่ายขึ้นเพราะว่าพี่เค้าฝึกเรามาเยอะพอสมควรครับ
คิดไหมว่ากระแสตอบรับจะออกมาดีขนาดนี้?
ตั้ว: ไม่เคยคิดมาก่อนเลยครับ ตอนแรกที่เราถ่ายทำกันมาก็คิดว่าดูกันในเครือจีทีเอช เพื่อน ผู้ปกครองของเด็ก แต่พอปล่อยทีเซอร์ออกมากลายเป็นว่าทุกคนให้ความสนใจกับซีรีย์ของเรา ซึ่งผมก็รู้สึกดีใจในช่วงแรก และพอซีรีย์เริ่มออกอากาศตั้งแต่ Episode แรกจนถึงล่าสุด ก็รู้สึกปลาบปลื้ม ดีใจมากๆ เลยครับ หายเหนื่อยเลย เพราะว่าความตั้งใจในการทำงานของเราทำให้ผลตอบรับของตัวเราและทีมงานออกมาดีขนาดนี้
รู้สึกประหม่าบ้างไหมที่ต้องจูบกับผู้ชาย?
ตั้ว: ไม่ค่อยครับ (หัวเราะ) เพราะผมกับพี่มาร์ชถ่ายด้วยกันแทบทุกฉากอยู่แล้ว เวลาเวิร์กช็อปก็เข้าคู่กัน เรียนรู้ สัมผัสต่างๆ ของกันและกัน อย่างเช่นเวลาหลับตาให้เรียนรู้ว่าคนนี้ลักษณะเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ใช้แค่ร่างกายสัมผัส ทำให้ความเขินน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงฉากนั้นก็ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นมากครับ (หัวเราะ) เพราะไม่เคยจูบกับผู้ชายมาก่อน ก่อนเข้าฉากพี่ย้งเดินมาบอกกับผมและพี่มาร์ชว่า ถ้าไม่อยากโดนหลายๆ ครั้งก็เอาให้ครั้งเดียวผ่านนะ มีสมาธิดีๆ ผมก็บอกกับพี่มาร์ชว่า ผมขอนะพี่ ครั้งเดียวพอเนอะ อย่าให้หลายครั้งเลย (หัวเราะ) ตอนเริ่มถ่ายก็รู้สึกเกร็งฮะ อยากหัวเราะ แต่ในใจเราต้องนึกว่าอยากให้ผ่านไปด้วยดี ผ่านไปให้เร็วที่สุด เพราะตอนนั้นก็ติดปัญหาเรื่องโลเกชั่นซึ่งมันดึกมากแล้ว สุดท้ายก็ออกมาเป็นภาพที่ทุกคนเห็น ส่วนตัวผมก็คิดว่าทำได้ดีฮะ
กลัวคนจะมองไหมว่าชีวิตจริงเราจะเป็นแบบในจอ?
ตั้ว: ช่วงแรกกลัวครับ ตอนสัมภาษณ์พี่ย้งถามว่ากลัวไหมถ้าต้องมีเลิฟซีนกับผู้ชาย หลังจากซีรีย์นี้จบไปจะโดนมองว่าเป็นเกย์ไหม แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ อย่างพี่มาร์ชเคยรับบทชายรักชายมาก่อน ในชีวิตปัจจุบันก็ไม่มีใครมองเค้าว่าเป็นเกย์ แต่ผมกังวลอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องของงานการแสดงครับ งานที่ติดต่อเข้ามาจะเป็นลักษณะเดียวกันหรือเปล่า เหมือนพี่มาร์ชที่เล่นหนังรับบทชายรักชายมาก่อน พอมาซีรีย์เรื่องนี้ก็เป็นชายรักชายอีก ผมจะกลัวเป็นเรื่องนั้นมากกว่า เรื่องติดภาพว่าคนมองเป็นเกย์ผมไม่ติดใจครับ เพราะคิดว่าถ้าเราทำให้คนอินและเชื่อว่าเราเป็น ธีร์ จริงๆ ผมว่าผมก็ประสบความสำเร็จในบทนี้ครับ
ดราม่าได้อารมณ์มาก เอามาจากชีวิตจริงหรือเปล่า?
ตั้ว: เรื่องที่ทำให้อารมณ์ออกมาถึงจุดนั้นมาจากชีวิตจริงครับ ก่อนที่เราจะทำอารมณ์พี่ย้งเดินมาบีฟว่าให้นึกถึงเรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิตครับ ผมนึกถึงว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแฟนกับผม แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว ช่วงนั้นผมยังรู้สึกดึกับเขาอยู่ และเขาไปเป็นแฟนกับเพื่อนผมอีกคน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เราไม่มีสิทธิที่จะแสดงออกกับเขาหรือบอกเขาได้อีกแล้วว่าเรายังรู้สึกดีกับเขาอยู่ ถึงเราทำไปก็ไม่ทำให้เขากลับมาหาเราได้อีกอยู่ดี มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง พูดในใจ ของ บอดี้สแลม มีอยู่ท่อนนึงของเพลงที่บอกว่า เจ็บปวดที่ฉันยังพูดได้แค่ในใจ ก็รู้ถ้าพูดออกไป เธอคงจะไม่ย้อนกลับมา ซึ่งผมฟังแล้วมันใช่กับตัวผมในเวลานั้น ผมฟังไปเกือบสิบรอบจนทำให้อารมณ์ผมเข้าถึงจุดนั้นได้ครับ
แล้วตอนนี้มีคนรู้ใจไหม?
ตั้ว: ไม่มีเป็นตัวตนฮะ จะเป็นมองเรื่อยๆ ซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้จริงจังถึงขั้นที่จะมานั่งคุยกันว่าอยากได้การพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นแฟนฮะ เพราะตอนนี้เราต้องทำงานและเรียนหนังสือ ผมอยากโฟกัสเรื่องพวกนี้ก่อนดีกว่าครับ ความรักมันเคยทำให้เราเจ็บก็เลยไม่อยากไปจริงจังกับมันมากจนทำร้ายเราอีก แต่ถ้าเราโฟกัสกับเรื่องเรียนและเรื่องงานก็จะมีแต่สิ่งที่ดีตามเรามา จึงอยากโฟกัสแค่ 2 เรื่องนี้ไว้ก่อนครับ
มีสเป๊กในใจหรือเปล่า?
ตั้ว: ผมเป็นคนไม่มีสเป๊กฮะ ถ้ามองโดยรวมว่าคนนี้น่ารักดี ขาว ก็โอเคเริ่มคุยกันฮะ (ยิ้ม) ถึงเป็นคนที่สวยหรือน่ารักขนาดไหนแต่ถ้าผมมองแล้วนิสัยไม่เข้ากัน คุยกันแล้วมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เข้ากัน ก็ต้องยอมรับในจุดนั้นครับ (เสียใจไหม?) ไม่เสียใจ พร้อมที่จะศึกษาคนใหม่เรื่อยๆ ความรักก็เหมือนการเรียนรู้ ทำให้ชีวิตเรามีสีสันดีฮะ
เสน่ห์ของตั้วอยู่ตรงไหน?
ตั้ว: คงเป็นเรื่องของส่วนสูงครับ ผมเป็นคนอายุน้อยแต่ตัวสูง หลายคนคงไม่คิดว่าผมจะเป็นเด็กมัธยม เวลาเจอผมก็จะนึกว่าอยู่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า อีกอย่างผมเป็นคนอารมณ์ดี ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ คนที่คุยด้วยจะไม่รู้สึกเครียด หรือมีเรื่องเครียดมาคุยกับเราทำให้ความเครียดหายไปได้ เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างเอ็นเตอร์เทนคนเก่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนชอบผมครับ
ถ้าจะแนะนำคนชื่อ ตั้ว ให้คนอื่นได้รู้จัก?
ตั้ว: ผมเป็นคนขี้เขินครับ (หัวเราะ) จะเป็นคนที่ชอบเขินเวลาโดนคนอื่นจ้องหน้าหรือให้ความสำคัญ อย่างเช่นไปออกรายการกับพี่มาร์ช พี่เค้าจะเป็นคนชอบแกล้ง เค้าจะรู้ว่าผมเป็นคนขี้เขินฮะ เค้าก็จะชอบแซวว่า เอ้ย..ตั้ว / เอ้ย..จริงหรอ อะไรประมาณนี้ฮะ ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนคิดกันว่าผมเป็นเกย์ในชีวิตจริงหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ เป็นคนขี้เขินฮะ (ยิ้ม)
ไอดอลในชีวิตของตั้วคือใคร?
ตั้ว: ไอดอลของผมคือคุณแม่ครับ เพราะผมเป็นผู้ชายที่สนิทกับแม่มากกว่าพ่อฮะ ก็จะไม่เหมือนคนทั่วไป พ่อของผมทำงานรับราชการตำรวจ จะไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกเท่าไร ผมเลยมีเวลาอยู่กับแม่เยอะ สำหรับผมแล้วแม่เป็นคนที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากพ่อเลยฮะ เป็นคนที่คอยสอนคอยเลี้ยงดูเรา เป็นคนที่เราพูดคุยได้ทุกเรื่อง เป็นคนเก่ง ไม่ว่าเราจะถามเรื่องอะไรไป คุณแม่ของผมจะมีวิธีการพูดที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นคนขยันทำงานมาก คุณแม่ผมเป็นเภสัชกรทำงาน 7 วันไม่มีวันหยุดเลยฮะ อย่างวันเสาร์อาทิตย์ที่เป็นเวลาพักผ่อนก็จะไม่พักเหมือนคนอื่นเขา จะไปอยู่ร้านขายยา เป็นบุคคลที่ผมอยากเอาเป็นแบบอย่างในเรื่องของการทำงานครับ
คนมักพูดว่าพอดังแล้วจะเปลี่ยนไป คิดว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นไหม?
ตั้ว: ก็เหมือนเดิมครับ เราเคยเป็นยังไงเราก็แบบเดิมครับ ทำตัวปกติ ไม่ใช่ว่าเป็นนักแสดงที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้วจะทำตัวหยิ่งไม่คุยกับใคร ผมว่ามันไม่ใช่ฮะ ผมว่าเราควรเป็นตัวของเราเองมากกว่า คนที่ชอบเรารักเราติดตามผลงานของเรา จะรักที่ความเป็นตัวเราฮะ
(มีต่อค่ะ)