อยากให้กระทู้มีสาระ(ไปเที่ยวสิงกะโปร์ต่อ)

กระทู้สนทนา
ซัวสะได-ไอเลิฟยูครับ.........
เมื่อวานผมเข้ามาขอคำปรึกษาจากเพื่อนพ้องน้องหลานในนี้ ว่าจะทำฉันใดดี.......... ถึงจะเอาฟิล์มที่เก็บไว้ในตู้เย็นไปอัดเป็นภาพเพื่อเอามาประกอบการคุยได้....มีหลายคนเข้ามาแนะนำ ผมก็น้อมรับไว้ด้วยความซาบซึ้งในไมตรี......วันนี้เอาฟิล์มไปลองให้ร้านถ่ายรูปที่มีอยู่ในละแวกเตาปูนดำเนินการให้3-4แห่ง..........ไม่มีร้านไหนรับทำให้เลยครับ........จ๋อยเลย(แกจะรับอัดรูปแบบโปสการ์ดอย่างเดียว แต่หากให้ปรู๊ฟเป็นแผงนั่น ไม่รับทำแฮะ......

สรุปแล้วเมื่อเย็นนี้ลองโทรไปหาเพื่อนที่อยู่เขมร......(ผมเคยพาเขาขี่รถไปเที่ยวลาวหลายครั้งแล้ว.....และเคยพาไปสิงกะโปร์1ครั้ง)......เรื่องที่กำลังเล่าค้างอยู่นี่แหละ......นานๆโทรไปคุยกันทีหนึ่ง-แต่ก็ได้ความ เพราะเขามีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่บริการรับอัดฟิล์มเน็กกาตีฟ แล้วปิ้งลงแผ่นได้......พรุ่งนี้เขาจะส่งข่าวมาว่าราคารวมทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ขอเวลาทำงาน2-3วัน เพราะจำนวนมันเยอะ(ไม่ว่ากันอยู่แล้ว).....

งั้นพอเบาใจเรื่องการเซฟรูปไปส่วนหนึ่งแล้ว......กลับมาคุยเรื่องขี่รถไปเที่ยวสิงกะโปร์กันต่อนะครับ...(เรื่องจิปุ่นขี่รถเที่ยวเมืองไทยแบบเหนือจรดใต้นั่น-ไว้ยกยอดไปเล่าตอนที่จบจากเมืองสิงกะโปร์ชุดนี้ก่อน)
อย่างที่เคนเล่าไปแหละครับว่าผมเคยขี่รถข้ามไปเกาะลีกวนยูนี้มา10กว่าครั้งแล้ว.....(ฟิล์มที่จะเอาไปอัดรูปลงแผ่นที่บอกไปนี่ก็มีรูปรถหลายๆรุ่นที่ผมขี่ไปเที่ยวเช่นเดียวกัน........แล้วจะเอามาทะยอยเล่าให้ฟังสลับกันไปเรื่อยๆ เนื่องจากมันมีประวัติของความเป็นมาแบบโลดโผนทั้งนั้น)

ไปสิงกะโปร์เที่ยวนี้ เป็นครั้งที่4หรือ5......ทางด่วนจากเมืองสุไหงปัตตานีของมาเลย์.....เริ่มเสร็จแล้วเป็นบางช่วง...(ฝั่งไทยเราก็มีชื่อสุไหงปัตตานีนะครับ).....

เราออกจากกรุงเทพตั้งแต่6โมงเช้า......จุดนัดหมายตอนนั้นคือหน้าห้างตั้งฮั่วเส็ง.....เมื่อครบเพื่อนทั้ง5-6คนดังกล่าว เราก็ขี่ตามกันไปเรื่อยๆ....โดยจะไปกินข้าวเช้ากันที่ประจวบฯ...แต่พอไปถึงเพชรบุรีก็เจอะเรื่องไฟไหม้เป้ใส่น้ำมันเครื่องดังที่เล่าไปเมื่อวานนี้แหละ.......เป็นเรื่องแปลกจริงๆ ที่ความร้อนจากส่วนปลายท่อสามารถทำให้กระดาษกล่องเบียร์ลุกไหม้ได้ (ผมเชื่อว่าความที่กล่องเบียร์มันหนาและพันอยู่หลายทบ...พอความร้อนระอุได้ระดับหนึ่ง.มันคงสุมเป็นเหมือนถ่าน.....พอจอดรถมันก็ระอุ......พอเริ่มเคลื่อนรถ-อ็อกซิเจนใหม่ก็เข้าไปกระพือโหมให้กระดาษที่รุมๆเป็นถ่านนั้นลุกขึ้นได้

แถมยังมีไอน้ำมันเครื่องที่รั่วซึมลงมาเคลือบกล่องกระดาษอยู่ด้วย-มันก็เลยติดวาบขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อ.....(ยุคนั้นบริษัทน้ำมันเครื่องสารพัดยี่ห้อมีการแข่งขันกันขนาดหนัก-เพราะฮอนด้าเริ่มบุกตลาดรถ2จังหวะ-น้ำมันเครื่องแต่ละยี่ห้อมีการโฆษณากันว่าเติมน้ำมันของตัวเองแล้วรถแรงขึ้นฯลฯ.ว่ากันมั่วไปหมด....บริษัทน้ำมันกระจอกงอกง่อยอะไรก็รวยกันจนนับเงินไม่ทัน(ไม่รวยได้ไงล่ะ......น้ำมันเครื่องในช่วงนั้นลิตรละ30-40บาท.พี่แกเอาน้ำมันก๊าดปนลงไปเกือบครึ่ง-นัยว่าเพื่อให้มันละลายแทรกตัวลงไปในน้ำมันเชื้อเพลิงได้แร็วยิ่งขึ้นไง)......น้ำมันก๊าดมันลิตรละ12บาทเท่านั้นเอง....

หลังจากโยกย้ายเป้น้ำมันเครื่องขึ้นมามัดเอาไว้บนเบาะหลังได้แล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ....ไปกินข้าวเช้า(ผมน่ะกินต้มเลือดหมูอยู่แล้วละ)ที่ประจวบตามเป้าหมายเดิมจนได้......ปกติแล้วเวลาเดินทางไกลอย่างนี้เราจะแวะกินอาหารกันไม่เกิน20นาทีเสมอไป เพราะมันเป็นโจทย์เฉพาะตัวที่บอกให้รู้อยู่แล้วว่า เราจะมัวละเอียดอะไรกันไม่ได้...โดยเฉพาะกับรถของผมซึ่งเป็นรถเล็กด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องเจียมสังขารและขอออกรถนำไปก่อนทุกครั้ง (ผมเจอะรูปที่จะเอารถฮอนด้าบีทไปกับชมรมจัมโบ้ในแม็ทช์ต่อไปด้วย......แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังตอนหน้าๆนะครับ.......ไปคราวนั้นโช้คอับหัก2ท่อนเลย)

ด้วยการกระตุ้นแบบขอออกล่วงหน้าไปก่อนอย่างนี้ทุกครั้ง ก็เลยทำให้ทุกคนจะต้องตามออกมาด้วยโดยอัตโนมัติ....ผมขี่นำออกมาได้ประมาณสัก 50 กม.รถทุกคันก็เริ่มแซงไปทีละคัน......พอถึงคันสุดท้าย ผมก็เกาะติด-ไม่ปล่อยให้รถชุดหน้าที้งอีกต่อไป.......วิธีนี้ทำให้เราเซฟน้ำมันลงไปได้เยอะครับ เนื่องจากเราไม่กระหน่ำออกมาพร้อมรถ4จังหวะ(ยังไงก็เกาะกลุ่มติด-เพราะถนนมันไม่ได้โล่งให้ใครๆจะอัดได้แบบยืนพื้นที่150กม/ชม.ได้หรอก)......เราขี่ยืนพื้นอยู่100กม/ชม......กว่ารถใหญ่ๆจะตามทันก็ว่าเข้าไปเกือบ100 กมแล้วละ......

......บ่ายโมง เราก็ผ่านจังหวัดชุมพร......แวะกินข้าวเที่ยงเลยสามแยกปฐมพรไปนิดหน่อย.......ช่วงเย็นใกล้ๆ6โมงเราก็เข้าที่พักในโรงแรมลีการ์เด้น......ซึ่งระยะทางขนาด800กม.นั่น เราก็จะขี่กันในระดับนี้แหละ.....(ไปมาเลย์หรือสิงกะโปร์ทุกครั้งเราจะอาศัยบริษัทรุ่งเรืองทัวร์ ทำเอกสารล่วงหน้าให้ทุกครั้ง.....เสียเงินแบบนี้ง่ายกว่าที่เราจะมาคลำกันเองแบบมั่วๆ-แค่แฟกซ์พาสปอร์ตล่วงหน้ามาให้เขากรอกเอกสารและใบผ่านแดนมาให้ทุกอย่างก็จบแล้ว)

พอเข้าที่พักได้ก็โทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ฝ่ายดำเนินการ.....เขาจะเอาเอกสารมาให้เราที่โรงแรมเลย....แค่เซ็นต์ชื่อแล้วออกไปเดินเที่ยวตลาดกิมหยงแก้เซ็งกันเล็กน้อยทุกอย่างก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว....

ในช่วงแรกๆกว่า20ปีที่ผ่านมานั้น ทางด่วนในมาเลเซียยังไม่เสร็จครับ ผมขี่รถไปกัน3 คัน-ต้องขับลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ ขนาดรถยนต์สวนกันได้แค่ครือๆ......และรถติดแบบมหาวินาศสันตะโร(ระยะทางที่รถติดก็คือ400กว่ากม.จากเมืองสุไหงปัตตานีไปยันกัวลาลัมเปอร์) เนื่องจากทางการเขาเข้มงวดเรื่องกฏหมาย.....คือบังคับให้รถบรรทุกวิ่งได้ไม่เกิน60กม/ชม...เพราะฉะนั้น ตลอดเส้นทางจากเมืองสุไหงปัตตานีและออกไปยังเมืองอะลอเซตานั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือตุนน้ำมันให้เต็มที่ พร้อมทั้งน้ำดื่มฯลฯ.คือไม่อยากแวะปั้มน้ำมัน

ที่ไม่อยากแวะปั้มฯก็เนื่องจากเราเสียดายเวลาที่อุตสาห์มุดแทบตายหง่า-กว่าจะแซงได้ทีละคัน (รถมันติดทั้งไปทั้งกลับไงครับ-แทรกสวนขึ้นไปก็ไม่ได้)....กว่าจะแซงได้1คัน ต้องขับตามกันแบบนั้นสัก3-4กม.พอมีจังหวะจริงๆก็กระแทกกันเร่งแล้วสลัดรถออกพอพ้นแล้วรีบกลับทันที-ไม่งั้นรถที่สวนมามันอัดกระเด็น(เป็นแบบนี้จริงๆนะครับ เพราะมันถือว่ามันไม่ผิดไง)

แต่ก่อนนั้นด่านตรวจทางฝั่งมาเลย์มีอยู่แค่ด่านเดียว(เดี๋ยวนี้มี2ด่านคือจะต้องแวะเข้าไปซื้อประกันภัย-ตรงจะเข้าร้านปลอดภาษีน่ะ).....ได้ใบประกันภัยแล้วจึงจะเอารถผ่านด่านที่2ด้วยการโชว์เอกสารประกันภัย)

เมื่อก่อนไม่มีประกันภัยฝั่งมาเลย์ครับ เขาใช้วิธีประกันภัยควบมาจากฝั่งไทยเลยทีเดียว.จะประกันกี่วันก็ว่ากันไป........พอเข้าฝั่งมาเลเซียแล้ว ทางซ้ายมือจะมีปั้มน้ำมันเล็กแบบมือหมุนของเชลล์อยู่1แห่ง-2คนผัวเมียดำเนินการกันอยู่)..เขาก็เจริญเติบโตกันไปตามควรรลองของการดำรงค์สัมมาชีพ-จนครั้งหลังนี้กลายเป็นปั้มใหญ่มาตรฐานไปแล้ว

เราเติมน้ำมันกันที่นี่พร้อมตุนอาหารพร้อมทั้งแลกเงินมาเลเซียติดตัวไปใช้ระหว่างทางคนละ1000บาทก็เหลือจะพอ....พอพ้นปั้มน้ำมันที่กล่าวนี้ออกไปประมาณ1กม.ก็จะเป็นด่านทหาร.......พี่แกเอารถถังล้อยางมาตั้งปืนกลเอาไว้ตรงนี้พร้อมทั้งสรรพกำลังเต็มอัตราศึก(เรื่องจริงๆนะครับ).พอรู้ว่าพวกเรา(คนไทยมาเท่านั้นแหละ) พี่แกจะเรียกกำลังพลทั้งหมดมาตรวจค้นพวกเราอย่างละเอียดกันแบบจะเอาเข้าคุกซะให้ได้

แต่แปลกอยู่อย่างนึงที่พวกเขาชอบสติ๊กเกอร์ของไทยเราครับ-ผมหาสาเหตุไม่พบ......(ขนาดไปเครื่องบิน เพื่อเอารถมาแข่งที่สนามชาห์อรามเซอร์กิต)อยู่เลยสนามเซปังไปหน่อย-อยู่ทางขวามือ.......มีสนามบินของเมืองสุบังวิล......คือไม่ต้องลงเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์....เลยมาลงอีก1ป้ายที่สนามแข่งบาตูตีก้า)......พวกยกกระเป๋าจากโรงแรมยังมาขอแกะเอาสติ๊กเกอร์กันมั่วไปหมด......

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ทางแบบนั้นแล้วก็ง่ายครับ.......ผมจะเอาสติ๊กเกอร์สารพัดแบบสวยๆที่เรามีอยู่โรยหน้าไปบนกระเป็าเสื้อผ้า......เมื่อรูดซิปออกไปเจอะสติ๊กเกอร์เมื่อไหร่.....พี่แกจะกวักมือเรียกเพื่อนๆที่ตรวจรถคันอื่นอยู่ให้มาดูสติ๊กเกอร์ในกระเป๋าผม..........ผมก็จัดการดึงเอาสติ๊กเกอร์ขึ้นมา20-30แผ่น.......แจกพวกทหารเหล่านั้นแล้วบอกเขาว่า.ซูวีเนียร์ฟรอมไตแลนด์........

แล้วทุกอย่างก็จบกันง่ายๆอย่างนี้แหละ.......พอไปคราวหน้าผมก็เพิ่มอ็อปชั่นขึ้นเป็นเสื้อยืดบ้าง-หมวกแก็ปบ้าง......ก็หาทางเอาตัวรอดไปแบบพอไม่ให้น่าเกลียดไงล่ะ.....

สำหรับถนนในมาเลเซียนั่น หากใครขี่รถไปบ่อยๆจะเห็นป้ายบอกว่า Selatan........นั่นคือแปลว่าล่องใต้นะครับ.........มันจะมีให้เห็นไปจนถึงด่านยะโฮร์บาห์รูเลยทีเดียว....จะหลงกับพวกยังไงก็ไม่ต้องตกใจ..ยึดป้าย Selatan ไว้สถานเดียว......และในทางกลับกัน.......หากเราขี่รถกลับมาจากสิงกะโปร์-เพื่อมาเมืองไทย.......ให้สังเกตป้าย Utara.....มันแปลว่าขึ้นเหนือ.......มันจะมาส่งเรายันถึงด่านเข้าเมืองทุกถนนครับ....

วันนี้เขียนยาวหน่อย เพราะยังไม่สามารถเอารูปมาประกอบได้.แต่ทีภาพอื่นที่จะเอามาชดเชย

นี่แหละคือรถที่ฝ่ายทหารจะเอามาจอดรอเราอยู่ตรงเลยชายแดนเข้าไปสัก4-5กม.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่