วินาทีนี้ กลายเป็นกระแส “เมย์ ฟีเว่อร์”ไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะสาวน้อยมหัศจรรย์ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ หลังจากที่สามารถพิชิตแชมป์ศึกแบดมินตันชิงแชมป์โลก 2013 มาครองได้สำเร็จถือเป็นนักกีฬาอายุน้อยสุดที่ได้แชมป์รายการนี้ และเป็นนักแบดสาวคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ได้แชมป์รายการนี้ด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น
หอบถ้วยหอบตำแหน่งกลับมาเมืองไทย ก็เจอรายการแย่งซีนไปรับกันอุตลุด ไม่ว่าจะเป็นสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานรัฐ ชนิดที่พูดตรงๆต้องบอกว่าต่างกันยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลัง..มือ หากเทียบกับวันที่เดินทางไปแข่ง ที่วันนั้นไม่ได้มีหน่วยงานหรือสมาคมฯไปส่งเธอเลยสักนิด
จริงๆชีวิตของน้องเมย์ กับกีฬาแบดมินตัน ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ได้แชมป์โลกทัวร์นาเม้นนี้กลับมาเมืองไทย แต่เธอคร่ำหวอดทุ่มเทมานะบากบั่นในวงการกีฬาลูกขนไก่มาเป็น 10 ปีแล้ว โดยที่สมาคมเอย หน่ยงานภาครัฐเอย ไม่เคยดูดำดูดีเลยสักนิด
พอมาตอนนี้มีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์โลก สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ ก็มีคนพล่านเอาหน้ากันสุดๆ
แต่หากบอกว่าคนไทยที่ร่วมยินดีกับน้องเมย์ทั้งประเทศในเวลานี้ รู้หรือไม่ว่า การเดินทางไปแข่งขันชิงแชมป์โลก “บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปียนชิพส์ 2013” ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน ของน้องเมย์ในครั้งนี้ สโมสรบ้านทองหยอดเป็นคนส่งไปแข่งขันเอง
โดยที่สมาคมแบดมินตันแค่ให้การรับรอง แต่ไม่ได้เป็นผู้ส่งไปแต่อย่างใด
ที่สำคัญตลอดมาบนเส้นทางของการเป็นนักกีฬาแบดมินตันของน้องเมย์ตั้งแต่วัย 5-6 ขวบ ผู้ที่ปั้นผู้ที่ส่งเสริมสนับสนุนเธอมาโดยตลอดก็คือ สโมสรบ้านทองหยอด ที่มี “อาปุก” นางกมลา ทองกร เจ้าของโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เป็นคนดูแลมาโดยตลอด
คว้าแชมป์ครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ 7 ปี ในรายการ “อุดรธานี โอเพ่น” ก็จากสังกัดโรงเรียนบ้านทองหยอด นั่นแหละ
ที่สำคัญก่อนหน้านี้ น้องเมย์คว้าแชมป์ระดับเยาวชนโลก ด้วยวัย 14 ปี แถมสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันมาแล้วด้วยซ้ำ... แต่วันนั้นก็มีแต่โรงเรียนบ้านทองหยอด อาปุก และคนในครอบครัว คนรอบข้างตัวเธอนั่นแหละที่ยินดีร่วมกับเธอ
บรรดาผู้เสนอหน้าในวันนี้ ไม่เคยมีข่าวว่าเข้าไปร่วมยินดีกับเธอเลยเมื่อในวันนั้น ผิดกับวันนี้ที่วิ่งไปรับไปถ่ายรูปถึงสนามบินกันอุตลุด... เพราะแบบนี้หรือไม่ที่วงการแบดมินตันไทยถึงจมปลักมา 40 กว่าปี โดยที่ไม่เคยมีการสร้างดาวเด่นให้เกิดขึ้นมาได้เลยภายใต้ร่มเงาของสมาคมฯ
พอจะมีเด่นขึ้นมาได้บ้าง อย่างคู่ของ “เอ” มณีพงศ์ จงจิตร และ “อาร์ท” บดินทร์ อิสสระ แต่ก็มาเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น โดยว่ากันว่าส่วนหนึ่งก็สมาคมนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ แถมยังไม่สามารถประสานหรือแก้ปัญหาให้เด็ก จนสุดท้ายเด็กทั้งคู่ไประเบิดอารมณ์ กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ระดับโลก ระดับประเทศ
แย่กว่านั้นก็คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการแบดมินตัน ในวงการกีฬาทำ ก็คือ ซ้ำเติมเด็ก
นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น และบรรดาผู้ใหญ่ในแวดวงการกีฬาของไทยควรจะต้องยอมรับความเป็นจริง เพราะถามว่าไม่ใช่แค่เพียงสมาคมแบดมินตัน แต่สมาคมส่วนใหญ่ที่อยู่กันยาว อยู่กันจนรากงอก บางแห่งก็ยื้อแย่งกอดเก้าอี้กันอุตลุดนั้น สมาคมเหล่านี้เคยปั้นเคยสร้างนักกีฬาขึ้นมาจริงๆจังๆบ้างหรือไม่?!?
เห็นมีแต่เด็กไทยที่มีพรสวรรค์กันเอง แล้วก็ได้สโมสรได้โรงเรียนปั้น ต่อเมื่อดังแล้วนั่นแหละจึงเห็นสมาคมโผล่มาชุบมือเปิบกัน
อย่างในวงการเทนนิส ไทยเคยมีดาวรุ่งอย่าง ภราดร ศรีชาพันธุ์ ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยตนเอง จนขึ้นชั้นเป็นมือวางระดับโลก แต่สุดท้ายก็ไปได้สุดทางอย่างที่รับรู้กัน ก็เพราะไม่มีการสนับสนุนการสร้างอย่างจริงจังอย่างสมาคมฯ หรือจากหน่วยงานรัฐ
เช่นเดียวกับยอดนักสอยคิวของไทยในอดีต ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือ วัฒนา หรือ รัชพล ภู่โอบอ้อม ในปัจจุบัน ตอนที่รุ่งๆนั้นขึ้นสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลกในช่วงฤดูกาลปี 1994/95 โดยเป็นรองเพียงแค่ สตีเฟน เฮนดรี้ กับ สตีพ เดวิส เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็น ภราดร หรือ ต๋อง ล้วนมีสภาพคล้ายกัน คือ ไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานกีฬาระดับชาติระดับประเทศอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ไปได้เท่าที่ไปได้ ในขณะที่บรรดาสมาคมฯและหน่วยงานก็จะโทษว่า ที่สะดุดก็เพราะสไตล์ชีวิต... กิจกรรมลูกผู้ชายที่มาคู่กับความโด่งดัง
แต่หน่วยงานต่างๆไม่เคยที่จะช่วยเป็นแบบอย่าง เป็นกรอบเป็นวินัยให้กับเด็กไทยที่มีความสามารถเหล่านั้นอย่างจริงๆจังๆเลย ส่วนใหญ่สนใจแต่การกอดเก้าอี้ การสร้างอาณาจักร ขนาดไปไม่รอดแล้วจริงๆก็ยังสร้างนอมินี สร้างตัวแทนขึ้นมาให้ตนเองยังมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ก็ยังทำ
บรรดาเด็กไทยที่เก่งๆในด้านกีฬา ส่วนใหญ่จึงเกิดจากตัวเอง เกิดจากสโมสร ซึ่งก็ทำกันไปตามที่จะทำได้ อย่างสโมสรบ้านทองหยอด เชื่อว่า อาปุก ก็คงไม่ได้คิดหรอกว่าจะสร้างแชมป์โลก แต่เป็นเพราะต้องการสร้างเด็กๆในชุมชนไม่ให้ไปเสียคนกับอบายมุขสิ่งยั่วยุต่างๆ เมื่ออาปุกนั้นมีใจรักกีฬาแบดมินตันอยู่แล้ว จึงสร้างโรงยิมสร้างสนามแบด แล้วเอาเด็กเหล่านั้นมาเล่น มาสอนให้มีวินัย ให้ใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ ให้รู้จักมีน้ำใจนักกีฬา ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้กับสังคม
แต่เพราะรักที่จะทำอย่างจริงจังและทุ่มเท จึงกลายเป็นโรงเรียนบ้านทองหยอด เป็นสโมสรบ้านทองหยอดอย่างทุกวันนี้ และเด็กที่เติบโตมาด้วยความรักและทุ่มเทให้อย่างน้องเมย์ จึงทำให้สโมสรบ้านทองหยอด กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในตอนนี้
ผิดกับในอดีตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาด้วยตนเอง โดยไม่มีใครเหลียวแล ก็ขนาดบริษัทที่เด่นๆในเรื่องให้การสนับสนุนการกีฬา อย่าง บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด ที่ถือเป็นค่ายธุรกิจระดับแถวหน้าของไทยที่สนับสนุนกีฬามาโดยตลอดนั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้จักโรงเรียนบ้านทองหยอดเลย
เบียร์สิงห์ เพิ่งจะมาให้การสนับสนุนสโมสรบ้านทองหยอด ก็เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมานี้เอง
และครั้งนี้ก็เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับสโมสรในการส่งน้องเมย์ไปแข่งขันชิงแชมป์โลก แต่พอได้แชมป์โลกกลับมา ก็เจอปาดหน้าเค้กกันอุตลุดอย่างที่เห็น
ตลกร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ พอสิงห์มาสนับสนุน และน้องเมย์เริ่มดัง ทางสมาคมแบดมินตัน ก็มางอแงเรื่องเสื้อที่ใส่แข่งของน้องเมย์ ว่าจะไม่ให้ใส่เสื้อโลโก้สิงห์ แต่จะให้ใส่เสื้อโลโก้ SCG ด้วยเหตุผลว่า เอสซีจีเป็นสปอนเซอร์หลักของสมาคมฯ แต่ทางบ้านทองหยอดก็แย้งว่า สิงห์ก็เป็นสปอนเซอร์หลักของสโมสร
สุดท้ายจบแบบเห็นแก่หน้ามาเฟียในสมาคม ก็คือ หากเป็นการไปแข่งขันโดยสมาคมฯส่งไป ก็ให้น้องเมย์ในเสื้อโลกโก้ เอสซีจี แต่หากสโมสรบ้านทองหยอดส่งไปเอง ก็ให้เสื้อโลโก้สิงห์ได้
ก็อย่างในครั้งนี้แหละที่สโมสรส่งไปเอง น้องเมย์ ถึงได้ใส่เสื้อสีเหลือโลโก้สิงห์ลงแข่ง อย่างที่เห็นกันทั่วโลก
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงการกีฬาในบ้านเรา ที่ไม่รู้ว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้ง การกีฬาแห่งประเทศไทย เคยรับรู้และเคยคิดจะแก้ไขปัญหาเน่าๆ ปัญหามาฟียหน้าเดิมๆในสมาคมต่างๆเหล่านั้นหรือไม่
ไม่ใช่ทำแค่ที่เห็นในวันนี้ ที่นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มามอบเงินรางวัล มาเสนอขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น ตติยดิเรกคุณาภรณ์ อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่ง ให้กับน้องเมย์
ใช่สิ่งเหล่านั้นถือว่าเหมาะสมแล้วสำหรับรางวัลแก่น้องเมย์ที่สมควรได้รับ แต่ควรจะมองถึงการสร้างอนาคตนักกีฬาไทย วงการกีฬาของไทยด้วย
อย่างสโมสรบ้านทองหยอด อย่างอาปุก ที่ทุ่มเททำเพื่อเด็กไทย สร้างนักกีฬา จนได้พบเพชรอย่างน้องเมย์ เอามาเจียรนัย ขัดเกลา จนมีวันนี้ได้ กลายเป็นของขวัญชิ้นสำคัญให้กับวงการกีฬาของไทยนั้น ถามว่าสมาคมกีฬาทั้งหลาย เคยมีการสร้างเพชรให้กับวงการกันบ้างมั้ย มีความละอายกันบ้างมั้ย
บางคนบอกว่า แบบนี้มันน่าจะรื้อโครงสร้างมาฟียในสมาคมแบด แล้วให้อาปุกมาเป็นนายกสมาคม มีหวังสร้างเพชรให้วงการแบดได้อีกหลายคน หรือไม่เช่นนั้นก็ให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกีฬาไปเสียเลย เพราะพิสูจน์เห็นชัดเจนแล้วว่า มีวิสัยทัศน์ในการสร้างนักกีฬามากว่าคนระดับรัฐมนตรีหลายๆคนเสียด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาสมาคมฯและหน่วยงานรัฐ ทำอะไรกันบ้าง... ทำไมอาปุก ถึงได้ทุ่มเทใช้เงินทองส่วนตัวจ้าง โค้ชเซี๊ยะ จือหัว ซึ่งเป็นชาวจีน ให้มาฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านทองหยอดมากว่า 20 ปี และโค้ชคนนี้แหละที่ฝึกฝนให้น้องเมย์อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นแชมป์โลกในวันนี้
ขณะที่กระทรวงคิดได้แค่ต่อยอด จะให้รัฐบาลดึงน้องเมย์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้านการกีฬา เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนนำไปเป็นแบบอย่าง และให้เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของคนไทยในการมีสัมมาคารวะ อาทิ การไหว้ การยิ้ม ต่อคนทั่วโลก
ครั้งหนึ่งก็เคยทำกับภราดรอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ??? ติดรูปภราดรไหว้หราไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการสร้างเพชรจริงๆจังๆ.. พอภราดรจบ ภารกิจกระทรวงก็จบอย่างนั้นหรือ???... มันไม่ใช่เลย
ทำไมหน่วยงานและสมาคมกีฬาทั้งหลาย ไม่มองสโมสรบ้านทองหยอด หรือสโมสรกีฬาต่างๆเป็นตัวอย่างบ้างว่าเขาสร้างนักกีฬากันอย่างไร แล้วก็เข้าไปสนับสนุนอย่างจริงๆจังๆ… ให้ทุน สร้างวินัย สร้างทักษะด้านการกีฬา สนับสนุนให้ไปแข่งขันอยู่ตลอดเวลาทั้งในประเทศและต่างประเทศ... ถ้าทำแบบนี้แล้วยังสร้างนักกีฬาเก่งๆไม่ได้ก็ให้รู้กันไป
แต่ต้องไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเหมือนที่ผ่านมา คิดแต่จะต่อยอด พอดังขึ้นมาก็เฮ พอดับก็ทิ้ง นี่ยังดีที่น้องเมย์อายุยังน้อย เพิ่งอายุ 18 ปี โอกาสจะก้าวไปข้างหน้ายังมีอีกไกล ที่สำคัญคือการมีวินัยสูง มีการฝึกฝนอย่างหนัก ใช้ชีวิตฝึกซ้อมโดยไม่มีวันหยุด ซ้อมหนักสุด 7 ชั่วโมง ขนาดน้อยสุดยัง 3 ชั่วโมงต่อวัน
ที่สำคัญโชคดีที่น้องเมย์เป็นผู้หญิง โอกาสที่จะโดนโทษเหมือนนักกีฬาชายรุ่นพี่ๆ ว่าดังแล้วใช้ชีวิตในสไตล์ที่ตรงข้ามกับความเป็นนักกีฬาก็คงจะไม่มี
แต่จริงๆจะโทษนักกีฬาชายที่ไปไม่ถึงดวงดาวเหล่านั้นที่ใจแตกเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะในประเทศนี้ไม่ได้เป็นแค่นักกีฬาหรอกที่ดังแล้วเปลี่ยนไป จะวงการกีฬา บันเทิง ธุรกิจ หรือแม้แต่นักการเมืองก็ตัวดีกันทั้งนั้น พอดังพอใหญ่โตขึ้นมา ก็ทั้งส่ายทั้งซ่าเป็นว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า กันเป็นแถว
คงลืมนึกไปว่าวันที่สายป่านขาด จะว่าวอะไรก็หัวปีกทิ่มดินทั้งนั้นแหละ!!!
ที่มา : บางกอกทูเดย์ 17 ส.ค.56
ล้างมาเฟียกีฬา แรงบันดาลใจจากน้องเมย์
วินาทีนี้ กลายเป็นกระแส “เมย์ ฟีเว่อร์”ไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะสาวน้อยมหัศจรรย์ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ หลังจากที่สามารถพิชิตแชมป์ศึกแบดมินตันชิงแชมป์โลก 2013 มาครองได้สำเร็จถือเป็นนักกีฬาอายุน้อยสุดที่ได้แชมป์รายการนี้ และเป็นนักแบดสาวคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ได้แชมป์รายการนี้ด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น
หอบถ้วยหอบตำแหน่งกลับมาเมืองไทย ก็เจอรายการแย่งซีนไปรับกันอุตลุด ไม่ว่าจะเป็นสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานรัฐ ชนิดที่พูดตรงๆต้องบอกว่าต่างกันยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลัง..มือ หากเทียบกับวันที่เดินทางไปแข่ง ที่วันนั้นไม่ได้มีหน่วยงานหรือสมาคมฯไปส่งเธอเลยสักนิด
จริงๆชีวิตของน้องเมย์ กับกีฬาแบดมินตัน ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ได้แชมป์โลกทัวร์นาเม้นนี้กลับมาเมืองไทย แต่เธอคร่ำหวอดทุ่มเทมานะบากบั่นในวงการกีฬาลูกขนไก่มาเป็น 10 ปีแล้ว โดยที่สมาคมเอย หน่ยงานภาครัฐเอย ไม่เคยดูดำดูดีเลยสักนิด
พอมาตอนนี้มีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์โลก สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ ก็มีคนพล่านเอาหน้ากันสุดๆ
แต่หากบอกว่าคนไทยที่ร่วมยินดีกับน้องเมย์ทั้งประเทศในเวลานี้ รู้หรือไม่ว่า การเดินทางไปแข่งขันชิงแชมป์โลก “บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปียนชิพส์ 2013” ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน ของน้องเมย์ในครั้งนี้ สโมสรบ้านทองหยอดเป็นคนส่งไปแข่งขันเอง
โดยที่สมาคมแบดมินตันแค่ให้การรับรอง แต่ไม่ได้เป็นผู้ส่งไปแต่อย่างใด
ที่สำคัญตลอดมาบนเส้นทางของการเป็นนักกีฬาแบดมินตันของน้องเมย์ตั้งแต่วัย 5-6 ขวบ ผู้ที่ปั้นผู้ที่ส่งเสริมสนับสนุนเธอมาโดยตลอดก็คือ สโมสรบ้านทองหยอด ที่มี “อาปุก” นางกมลา ทองกร เจ้าของโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เป็นคนดูแลมาโดยตลอด
คว้าแชมป์ครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ 7 ปี ในรายการ “อุดรธานี โอเพ่น” ก็จากสังกัดโรงเรียนบ้านทองหยอด นั่นแหละ
ที่สำคัญก่อนหน้านี้ น้องเมย์คว้าแชมป์ระดับเยาวชนโลก ด้วยวัย 14 ปี แถมสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันมาแล้วด้วยซ้ำ... แต่วันนั้นก็มีแต่โรงเรียนบ้านทองหยอด อาปุก และคนในครอบครัว คนรอบข้างตัวเธอนั่นแหละที่ยินดีร่วมกับเธอ
บรรดาผู้เสนอหน้าในวันนี้ ไม่เคยมีข่าวว่าเข้าไปร่วมยินดีกับเธอเลยเมื่อในวันนั้น ผิดกับวันนี้ที่วิ่งไปรับไปถ่ายรูปถึงสนามบินกันอุตลุด... เพราะแบบนี้หรือไม่ที่วงการแบดมินตันไทยถึงจมปลักมา 40 กว่าปี โดยที่ไม่เคยมีการสร้างดาวเด่นให้เกิดขึ้นมาได้เลยภายใต้ร่มเงาของสมาคมฯ
พอจะมีเด่นขึ้นมาได้บ้าง อย่างคู่ของ “เอ” มณีพงศ์ จงจิตร และ “อาร์ท” บดินทร์ อิสสระ แต่ก็มาเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น โดยว่ากันว่าส่วนหนึ่งก็สมาคมนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ แถมยังไม่สามารถประสานหรือแก้ปัญหาให้เด็ก จนสุดท้ายเด็กทั้งคู่ไประเบิดอารมณ์ กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ระดับโลก ระดับประเทศ
แย่กว่านั้นก็คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการแบดมินตัน ในวงการกีฬาทำ ก็คือ ซ้ำเติมเด็ก
นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น และบรรดาผู้ใหญ่ในแวดวงการกีฬาของไทยควรจะต้องยอมรับความเป็นจริง เพราะถามว่าไม่ใช่แค่เพียงสมาคมแบดมินตัน แต่สมาคมส่วนใหญ่ที่อยู่กันยาว อยู่กันจนรากงอก บางแห่งก็ยื้อแย่งกอดเก้าอี้กันอุตลุดนั้น สมาคมเหล่านี้เคยปั้นเคยสร้างนักกีฬาขึ้นมาจริงๆจังๆบ้างหรือไม่?!?
เห็นมีแต่เด็กไทยที่มีพรสวรรค์กันเอง แล้วก็ได้สโมสรได้โรงเรียนปั้น ต่อเมื่อดังแล้วนั่นแหละจึงเห็นสมาคมโผล่มาชุบมือเปิบกัน
อย่างในวงการเทนนิส ไทยเคยมีดาวรุ่งอย่าง ภราดร ศรีชาพันธุ์ ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยตนเอง จนขึ้นชั้นเป็นมือวางระดับโลก แต่สุดท้ายก็ไปได้สุดทางอย่างที่รับรู้กัน ก็เพราะไม่มีการสนับสนุนการสร้างอย่างจริงจังอย่างสมาคมฯ หรือจากหน่วยงานรัฐ
เช่นเดียวกับยอดนักสอยคิวของไทยในอดีต ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือ วัฒนา หรือ รัชพล ภู่โอบอ้อม ในปัจจุบัน ตอนที่รุ่งๆนั้นขึ้นสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลกในช่วงฤดูกาลปี 1994/95 โดยเป็นรองเพียงแค่ สตีเฟน เฮนดรี้ กับ สตีพ เดวิส เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็น ภราดร หรือ ต๋อง ล้วนมีสภาพคล้ายกัน คือ ไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานกีฬาระดับชาติระดับประเทศอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ไปได้เท่าที่ไปได้ ในขณะที่บรรดาสมาคมฯและหน่วยงานก็จะโทษว่า ที่สะดุดก็เพราะสไตล์ชีวิต... กิจกรรมลูกผู้ชายที่มาคู่กับความโด่งดัง
แต่หน่วยงานต่างๆไม่เคยที่จะช่วยเป็นแบบอย่าง เป็นกรอบเป็นวินัยให้กับเด็กไทยที่มีความสามารถเหล่านั้นอย่างจริงๆจังๆเลย ส่วนใหญ่สนใจแต่การกอดเก้าอี้ การสร้างอาณาจักร ขนาดไปไม่รอดแล้วจริงๆก็ยังสร้างนอมินี สร้างตัวแทนขึ้นมาให้ตนเองยังมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ก็ยังทำ
บรรดาเด็กไทยที่เก่งๆในด้านกีฬา ส่วนใหญ่จึงเกิดจากตัวเอง เกิดจากสโมสร ซึ่งก็ทำกันไปตามที่จะทำได้ อย่างสโมสรบ้านทองหยอด เชื่อว่า อาปุก ก็คงไม่ได้คิดหรอกว่าจะสร้างแชมป์โลก แต่เป็นเพราะต้องการสร้างเด็กๆในชุมชนไม่ให้ไปเสียคนกับอบายมุขสิ่งยั่วยุต่างๆ เมื่ออาปุกนั้นมีใจรักกีฬาแบดมินตันอยู่แล้ว จึงสร้างโรงยิมสร้างสนามแบด แล้วเอาเด็กเหล่านั้นมาเล่น มาสอนให้มีวินัย ให้ใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ ให้รู้จักมีน้ำใจนักกีฬา ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้กับสังคม
แต่เพราะรักที่จะทำอย่างจริงจังและทุ่มเท จึงกลายเป็นโรงเรียนบ้านทองหยอด เป็นสโมสรบ้านทองหยอดอย่างทุกวันนี้ และเด็กที่เติบโตมาด้วยความรักและทุ่มเทให้อย่างน้องเมย์ จึงทำให้สโมสรบ้านทองหยอด กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในตอนนี้
ผิดกับในอดีตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาด้วยตนเอง โดยไม่มีใครเหลียวแล ก็ขนาดบริษัทที่เด่นๆในเรื่องให้การสนับสนุนการกีฬา อย่าง บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด ที่ถือเป็นค่ายธุรกิจระดับแถวหน้าของไทยที่สนับสนุนกีฬามาโดยตลอดนั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้จักโรงเรียนบ้านทองหยอดเลย
เบียร์สิงห์ เพิ่งจะมาให้การสนับสนุนสโมสรบ้านทองหยอด ก็เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมานี้เอง
และครั้งนี้ก็เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับสโมสรในการส่งน้องเมย์ไปแข่งขันชิงแชมป์โลก แต่พอได้แชมป์โลกกลับมา ก็เจอปาดหน้าเค้กกันอุตลุดอย่างที่เห็น
ตลกร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ พอสิงห์มาสนับสนุน และน้องเมย์เริ่มดัง ทางสมาคมแบดมินตัน ก็มางอแงเรื่องเสื้อที่ใส่แข่งของน้องเมย์ ว่าจะไม่ให้ใส่เสื้อโลโก้สิงห์ แต่จะให้ใส่เสื้อโลโก้ SCG ด้วยเหตุผลว่า เอสซีจีเป็นสปอนเซอร์หลักของสมาคมฯ แต่ทางบ้านทองหยอดก็แย้งว่า สิงห์ก็เป็นสปอนเซอร์หลักของสโมสร
สุดท้ายจบแบบเห็นแก่หน้ามาเฟียในสมาคม ก็คือ หากเป็นการไปแข่งขันโดยสมาคมฯส่งไป ก็ให้น้องเมย์ในเสื้อโลกโก้ เอสซีจี แต่หากสโมสรบ้านทองหยอดส่งไปเอง ก็ให้เสื้อโลโก้สิงห์ได้
ก็อย่างในครั้งนี้แหละที่สโมสรส่งไปเอง น้องเมย์ ถึงได้ใส่เสื้อสีเหลือโลโก้สิงห์ลงแข่ง อย่างที่เห็นกันทั่วโลก
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงการกีฬาในบ้านเรา ที่ไม่รู้ว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้ง การกีฬาแห่งประเทศไทย เคยรับรู้และเคยคิดจะแก้ไขปัญหาเน่าๆ ปัญหามาฟียหน้าเดิมๆในสมาคมต่างๆเหล่านั้นหรือไม่
ไม่ใช่ทำแค่ที่เห็นในวันนี้ ที่นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มามอบเงินรางวัล มาเสนอขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น ตติยดิเรกคุณาภรณ์ อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่ง ให้กับน้องเมย์
ใช่สิ่งเหล่านั้นถือว่าเหมาะสมแล้วสำหรับรางวัลแก่น้องเมย์ที่สมควรได้รับ แต่ควรจะมองถึงการสร้างอนาคตนักกีฬาไทย วงการกีฬาของไทยด้วย
อย่างสโมสรบ้านทองหยอด อย่างอาปุก ที่ทุ่มเททำเพื่อเด็กไทย สร้างนักกีฬา จนได้พบเพชรอย่างน้องเมย์ เอามาเจียรนัย ขัดเกลา จนมีวันนี้ได้ กลายเป็นของขวัญชิ้นสำคัญให้กับวงการกีฬาของไทยนั้น ถามว่าสมาคมกีฬาทั้งหลาย เคยมีการสร้างเพชรให้กับวงการกันบ้างมั้ย มีความละอายกันบ้างมั้ย
บางคนบอกว่า แบบนี้มันน่าจะรื้อโครงสร้างมาฟียในสมาคมแบด แล้วให้อาปุกมาเป็นนายกสมาคม มีหวังสร้างเพชรให้วงการแบดได้อีกหลายคน หรือไม่เช่นนั้นก็ให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกีฬาไปเสียเลย เพราะพิสูจน์เห็นชัดเจนแล้วว่า มีวิสัยทัศน์ในการสร้างนักกีฬามากว่าคนระดับรัฐมนตรีหลายๆคนเสียด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาสมาคมฯและหน่วยงานรัฐ ทำอะไรกันบ้าง... ทำไมอาปุก ถึงได้ทุ่มเทใช้เงินทองส่วนตัวจ้าง โค้ชเซี๊ยะ จือหัว ซึ่งเป็นชาวจีน ให้มาฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านทองหยอดมากว่า 20 ปี และโค้ชคนนี้แหละที่ฝึกฝนให้น้องเมย์อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นแชมป์โลกในวันนี้
ขณะที่กระทรวงคิดได้แค่ต่อยอด จะให้รัฐบาลดึงน้องเมย์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้านการกีฬา เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนนำไปเป็นแบบอย่าง และให้เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของคนไทยในการมีสัมมาคารวะ อาทิ การไหว้ การยิ้ม ต่อคนทั่วโลก
ครั้งหนึ่งก็เคยทำกับภราดรอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ??? ติดรูปภราดรไหว้หราไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการสร้างเพชรจริงๆจังๆ.. พอภราดรจบ ภารกิจกระทรวงก็จบอย่างนั้นหรือ???... มันไม่ใช่เลย
ทำไมหน่วยงานและสมาคมกีฬาทั้งหลาย ไม่มองสโมสรบ้านทองหยอด หรือสโมสรกีฬาต่างๆเป็นตัวอย่างบ้างว่าเขาสร้างนักกีฬากันอย่างไร แล้วก็เข้าไปสนับสนุนอย่างจริงๆจังๆ… ให้ทุน สร้างวินัย สร้างทักษะด้านการกีฬา สนับสนุนให้ไปแข่งขันอยู่ตลอดเวลาทั้งในประเทศและต่างประเทศ... ถ้าทำแบบนี้แล้วยังสร้างนักกีฬาเก่งๆไม่ได้ก็ให้รู้กันไป
แต่ต้องไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเหมือนที่ผ่านมา คิดแต่จะต่อยอด พอดังขึ้นมาก็เฮ พอดับก็ทิ้ง นี่ยังดีที่น้องเมย์อายุยังน้อย เพิ่งอายุ 18 ปี โอกาสจะก้าวไปข้างหน้ายังมีอีกไกล ที่สำคัญคือการมีวินัยสูง มีการฝึกฝนอย่างหนัก ใช้ชีวิตฝึกซ้อมโดยไม่มีวันหยุด ซ้อมหนักสุด 7 ชั่วโมง ขนาดน้อยสุดยัง 3 ชั่วโมงต่อวัน
ที่สำคัญโชคดีที่น้องเมย์เป็นผู้หญิง โอกาสที่จะโดนโทษเหมือนนักกีฬาชายรุ่นพี่ๆ ว่าดังแล้วใช้ชีวิตในสไตล์ที่ตรงข้ามกับความเป็นนักกีฬาก็คงจะไม่มี
แต่จริงๆจะโทษนักกีฬาชายที่ไปไม่ถึงดวงดาวเหล่านั้นที่ใจแตกเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะในประเทศนี้ไม่ได้เป็นแค่นักกีฬาหรอกที่ดังแล้วเปลี่ยนไป จะวงการกีฬา บันเทิง ธุรกิจ หรือแม้แต่นักการเมืองก็ตัวดีกันทั้งนั้น พอดังพอใหญ่โตขึ้นมา ก็ทั้งส่ายทั้งซ่าเป็นว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า กันเป็นแถว
คงลืมนึกไปว่าวันที่สายป่านขาด จะว่าวอะไรก็หัวปีกทิ่มดินทั้งนั้นแหละ!!!
ที่มา : บางกอกทูเดย์ 17 ส.ค.56