เรื่องเกิดขึ้นในวันพุธต้นเดือนที่ผ่านมา วันนั้นก็เหมือนทุกๆวัน
ต่างคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าหน้าที่ที่ไดรับมอบหมายของตน
ตลอดช่วงเช้าทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แต่ตอนบ่ายมีเหตุการณ์สุดระทึกเกิดขึ้นในออฟฟิต
พี่ที่ทำงานของผมท่านหนึ่งอยู่ดีๆก็เกิดอาการเหมือนจะเป็นลม ขณะกำลังถ่ายเอกสาร
แกยืนถ่ายเอกสารยังไม่ทันจบแผ่น อยู่ดีๆขาอ่อน เหมือนจะล้ม แกพยายามยืนเกาะโต๊ะถ่ายเอกสาร ...
“นุช!! ช่วยประคองพี่ที!!!” แกบอกพี่อีกท่านที่อยู่ใกล้ๆ
“พี่เอ๋เป็นอะไร ?!?!? ” พี่นุชที่อยู่ข้างๆลุกพรวด เข้าไปประคองมานั่งที่โต๊ะ
“พี่เป็นอะไรไม่รู้ เหมือนจะเป็นลมยังไงไม่รู้!!!” พี่แกตอบเสียงสั่นๆ
ผมและคนอื่นๆ ก็เข้าลุกจากโต๊ะเข้าไปดูและถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง
นั่งได้สักพักแกเริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย แกเริ่มหายใจหอบถี่
“ขาที่เจ็บอยู่ อยู่ดีดีมันก็ไม่เจ็บ นุชพี่เป็นอะไร” แกกล่าวด้วยเสียงที่มีแต่ตื่นกลัว
“นุชลองหยิกพี่สิแขนพี่สิ” แกหยิกแขนตัวเอง พร้อมกับสั่งให้พี่อีกคนหยิกแขนแก
“หยิกทำไมพี่เอ๋”
“หยิกสิ หยิกเลย ... เนี่ยมือพี่ชาไปหมดเลย พี่เป็นอะไร . . . ”
“ใจเย็นๆครับพี่เอ๋ อย่างพึ่งพูดเลย นั่งพักก่อน” ผมบอก
นั่งได้สักพักอาการเหมือนจะแย่ลงอีก
พี่เขาหอบหายใจถี่ขึ้น เริ่มมีอาการเกร็ง เหมือนกำลังจะชัก !!!!
“ขี่มอเตอร์ไซค์ไปดูที่คลินิกให้ผมหน่อยว่าหมออยู่มั้ย!! เร็ว!!!” ผมหันไปบอกพี่อีกคน
ผ่านไปไม่นาน พี่แกก็กลับมา
“มีหมออยู่ที่คลินิก!!!”
“ไปเอารถมา!!! รีบพาไปคลินิกเลย ... พี่นุชเก็บของของพี่เอ๋แล้วไปกับผม!!!”
ผมและพี่อีกคนหามพี่แกไปขึ้นรถ . . .
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงมือหมอ . . . หมอท่านก็เริ่มตรวจอาการ
ในเบื้อง ต้นคุณหมอให้ยาคลายเครียดเพื่อให้คนไข้ได้พัก
แล้วบอกว่าในเบื้องต้นน่าจะเป็น
“อาการไฮเปอร์เวนติเลชั่น”
ที่เกิดจากสภาวะทางจิตใจ ในครั้งนี้จากที่หมอซักถามน่าจะมาจาก
“ความเครียด”
พี่เอ๋ เป็นคุณแม่ลูกสาม อายุสี่สิบต้น พี่เอ๋เรียกได้ว่าเป็น Working Woman เต็มพิกัด
แกเป็นพนักงานมือดี มือเก๋า เป็นเซลล์ที่มียอดขายมือต้นๆ ของบริษัทตลอดหลายปีที่ผ่านมา
พี่เขาอยู่กับบริษัทมามากกว่า 7 ปี ทำงานเต็มที่ จริงจังตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เป็นไข้ไม่สบายก็เป็นได้ไม่นานก็กลับมาลุยงานต่อ ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่สร้างความตกใจแก่ผม
พี่เอ๋เป็นเซลล์อิสระ ไม่มีกำหนดเวลาเข้างานหรือออกงาน ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ
ไม่มีเงินเดือน รับค่าคอมมิชชั่นอย่างเดียว สองปีหลังที่ผ่านมาแกเริ่มทำธุรกิจอื่นควบคู่ไปด้วย
พี่เอ๋ถือว่าเป็นคนเก่งและขยันมาก รายได้รวมของพี่เขาตกแล้วมากโขอยู่ในแต่ละเดือน
กิจการพี่เอ๋ แรกๆเริ่มอย่างราบรื่น ถ้าเรื่องงานนอกแกจะหลบออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกเสมอๆ
แต่พักหลังๆ ผมเห็นแกคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และ หน้าตาไม่สบายใจ
ไม่นานก่อนหน้าแกปรึกษาผมเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดี ผมจึงถามไถ่ถึงเรื่องธุรกิจของแก
ได้ความว่าโดนเบี้ยวหนี้ไปหลายล้านบาท ทวงแล้วทวงเล่าก็ไม่ได้ กำลังหาทางออกเรื่องนี้อยู่
นอกจากปัญหาทางด้านธุรกิจส่วนตัวของแกแล้วแกยังมีปัญหาทางครอบครัวรุมเร้าเข้ามา
คือ ลูกสาวคนโตของพี่เอ๋เขาสอบเข้า ม.1 ได้ และ ย้ายโรงเรียน หลังจากเริ่มเรียนไม่นาน
ก็เหมือนจะมีปัญหาเข้ามาเนืองๆโดนข่มขู่ทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจากพวกที่เป็นอริกันในโรงเรียน
ปัญหาลุกลามบานปลายจนถึงขั้นเด็กขอย้ายโรงเรียน พี่เอ๋จึงต้องไปโรงเรียนของน้องหลายครั้ง
ความกังวลทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องลูก จนเกิดเป็นความเครียดสะสม
นอนก็นอนไม่หลับ กลายเป็นพักผ่อนได้วันละไม่กี่ชั่วโมง นอนหลับตื่นมาก็เริ่มกังวลต่อ
หลายวันผ่านไปจนมาถึงขีดสุด ...
พักใหญ่ๆผ่านไป ผมเดินเข้าไปเยี่ยมที่เตียง
“เป็นยังไงบ้างครับพี่เอ๋?”
“พี่ดีขึ้นแล้ว ... ตอนพี่เป็นนะพี่นึกว่าพี่จะไม่รอดซะแล้ว คิดถึงแต่หน้าลูก”
“พี่คิดแต่ว่าถ้าพี่เป็นอะไรไป ลูกพี่จะอยู่อย่างไร” พี่เอ๋พูดไปพลางน้ำตาคลอเบ้า
ผมได้แต่บอกให้พี่เขาพักผ่อนให้เต็มที่ และผมจะไปส่งที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเอารถขับตามไปให้
วันถัดมาพี่เอ๋โทรมาลางานผมสักหลายวัน
เพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลตรวจร่างการชุดใหญ่ และของลาพักผ่อนสักหลายวัน
เพื่อค่อยๆ สะสางปัญหาและปรับร่างกายใหม่ หลังจากพี่เขากลับมาทำงาน
ผมก็ถามไถ่ ว่าหมอว่าอย่างไร และอาการเป็นอย่างไรบ้าง พี่เขาตอบผมว่า
“พี่คงใช้เค้า(ร่างกาย)มาเยอะแล้ว ครั้งนี้เค้าคงมาเตือน ...
คงทำงานหนักและเครียดมากเกินไป ตอนนี้พี่จะพยายามนอนแต่หัวค่ำเลย
เรื่องไหนปล่อยได้ก็ปล่อย ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ไป พี่มาคิดคิดดูแล้ว
ถ้าพี่เป็นอะไรไป หรือ ร่างกายมันไม่ไหว ทุกอย่างมันอาจจะแย่ลงกว่านี้ ...”
ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจ และ คิดตามอย่างในใจอย่างเงียบๆ
ปํญหาในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆปรับค่อยๆแก้กันไป ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ
ทำงานหนักมันดีก็จริง แต่ถ้าทำหักโหมนอกจากจะไม่สุขและอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว
ถ้าทำมันจนตึงเกินไป ร่างกายรับไม่ไหน ปัญหาสุขภาพจะถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จนในท้ายที่สุดอาจก่อให้เกิดเป็น
“ความทุกข์” ก็เป็นได้
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวที่ว่า ...
อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่เตือนพี่เอ๋ แต่ทำให้ผมผู้อยู่ในเหตุการณ์คิดได้หลายอย่าง
เพราะตัวผมเองก็เรียกได้ว่าบ้างานพอตัว เจอเหตุการณ์นี้ คิดได้ดังนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ไย
จะหวังรอโชคลาภให้สุขภาพดีอย่างเดียวคงไม่ทันการณ์ ว่าแล้วก็ไปออกกำลังกายเลยเถอะ!!!
ขอให้สุขภาพดีและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…
พี่ที่ทำงานผม แกเป็นลม มือเท้าเริ่มชา เกร็ง และ กำลังจะชัก!!!
ต่างคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าหน้าที่ที่ไดรับมอบหมายของตน
ตลอดช่วงเช้าทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แต่ตอนบ่ายมีเหตุการณ์สุดระทึกเกิดขึ้นในออฟฟิต
พี่ที่ทำงานของผมท่านหนึ่งอยู่ดีๆก็เกิดอาการเหมือนจะเป็นลม ขณะกำลังถ่ายเอกสาร
แกยืนถ่ายเอกสารยังไม่ทันจบแผ่น อยู่ดีๆขาอ่อน เหมือนจะล้ม แกพยายามยืนเกาะโต๊ะถ่ายเอกสาร ...
“นุช!! ช่วยประคองพี่ที!!!” แกบอกพี่อีกท่านที่อยู่ใกล้ๆ
“พี่เอ๋เป็นอะไร ?!?!? ” พี่นุชที่อยู่ข้างๆลุกพรวด เข้าไปประคองมานั่งที่โต๊ะ
“พี่เป็นอะไรไม่รู้ เหมือนจะเป็นลมยังไงไม่รู้!!!” พี่แกตอบเสียงสั่นๆ
ผมและคนอื่นๆ ก็เข้าลุกจากโต๊ะเข้าไปดูและถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง
นั่งได้สักพักแกเริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย แกเริ่มหายใจหอบถี่
“ขาที่เจ็บอยู่ อยู่ดีดีมันก็ไม่เจ็บ นุชพี่เป็นอะไร” แกกล่าวด้วยเสียงที่มีแต่ตื่นกลัว
“นุชลองหยิกพี่สิแขนพี่สิ” แกหยิกแขนตัวเอง พร้อมกับสั่งให้พี่อีกคนหยิกแขนแก
“หยิกทำไมพี่เอ๋”
“หยิกสิ หยิกเลย ... เนี่ยมือพี่ชาไปหมดเลย พี่เป็นอะไร . . . ”
“ใจเย็นๆครับพี่เอ๋ อย่างพึ่งพูดเลย นั่งพักก่อน” ผมบอก
นั่งได้สักพักอาการเหมือนจะแย่ลงอีก
พี่เขาหอบหายใจถี่ขึ้น เริ่มมีอาการเกร็ง เหมือนกำลังจะชัก !!!!
“ขี่มอเตอร์ไซค์ไปดูที่คลินิกให้ผมหน่อยว่าหมออยู่มั้ย!! เร็ว!!!” ผมหันไปบอกพี่อีกคน
ผ่านไปไม่นาน พี่แกก็กลับมา “มีหมออยู่ที่คลินิก!!!”
“ไปเอารถมา!!! รีบพาไปคลินิกเลย ... พี่นุชเก็บของของพี่เอ๋แล้วไปกับผม!!!”
ผมและพี่อีกคนหามพี่แกไปขึ้นรถ . . .
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงมือหมอ . . . หมอท่านก็เริ่มตรวจอาการ
ในเบื้อง ต้นคุณหมอให้ยาคลายเครียดเพื่อให้คนไข้ได้พัก
แล้วบอกว่าในเบื้องต้นน่าจะเป็น “อาการไฮเปอร์เวนติเลชั่น”
ที่เกิดจากสภาวะทางจิตใจ ในครั้งนี้จากที่หมอซักถามน่าจะมาจาก “ความเครียด”
พี่เอ๋ เป็นคุณแม่ลูกสาม อายุสี่สิบต้น พี่เอ๋เรียกได้ว่าเป็น Working Woman เต็มพิกัด
แกเป็นพนักงานมือดี มือเก๋า เป็นเซลล์ที่มียอดขายมือต้นๆ ของบริษัทตลอดหลายปีที่ผ่านมา
พี่เขาอยู่กับบริษัทมามากกว่า 7 ปี ทำงานเต็มที่ จริงจังตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เป็นไข้ไม่สบายก็เป็นได้ไม่นานก็กลับมาลุยงานต่อ ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่สร้างความตกใจแก่ผม
พี่เอ๋เป็นเซลล์อิสระ ไม่มีกำหนดเวลาเข้างานหรือออกงาน ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ
ไม่มีเงินเดือน รับค่าคอมมิชชั่นอย่างเดียว สองปีหลังที่ผ่านมาแกเริ่มทำธุรกิจอื่นควบคู่ไปด้วย
พี่เอ๋ถือว่าเป็นคนเก่งและขยันมาก รายได้รวมของพี่เขาตกแล้วมากโขอยู่ในแต่ละเดือน
กิจการพี่เอ๋ แรกๆเริ่มอย่างราบรื่น ถ้าเรื่องงานนอกแกจะหลบออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกเสมอๆ
แต่พักหลังๆ ผมเห็นแกคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และ หน้าตาไม่สบายใจ
ไม่นานก่อนหน้าแกปรึกษาผมเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดี ผมจึงถามไถ่ถึงเรื่องธุรกิจของแก
ได้ความว่าโดนเบี้ยวหนี้ไปหลายล้านบาท ทวงแล้วทวงเล่าก็ไม่ได้ กำลังหาทางออกเรื่องนี้อยู่
นอกจากปัญหาทางด้านธุรกิจส่วนตัวของแกแล้วแกยังมีปัญหาทางครอบครัวรุมเร้าเข้ามา
คือ ลูกสาวคนโตของพี่เอ๋เขาสอบเข้า ม.1 ได้ และ ย้ายโรงเรียน หลังจากเริ่มเรียนไม่นาน
ก็เหมือนจะมีปัญหาเข้ามาเนืองๆโดนข่มขู่ทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจากพวกที่เป็นอริกันในโรงเรียน
ปัญหาลุกลามบานปลายจนถึงขั้นเด็กขอย้ายโรงเรียน พี่เอ๋จึงต้องไปโรงเรียนของน้องหลายครั้ง
ความกังวลทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องลูก จนเกิดเป็นความเครียดสะสม
นอนก็นอนไม่หลับ กลายเป็นพักผ่อนได้วันละไม่กี่ชั่วโมง นอนหลับตื่นมาก็เริ่มกังวลต่อ
หลายวันผ่านไปจนมาถึงขีดสุด ...
พักใหญ่ๆผ่านไป ผมเดินเข้าไปเยี่ยมที่เตียง “เป็นยังไงบ้างครับพี่เอ๋?”
“พี่ดีขึ้นแล้ว ... ตอนพี่เป็นนะพี่นึกว่าพี่จะไม่รอดซะแล้ว คิดถึงแต่หน้าลูก”
“พี่คิดแต่ว่าถ้าพี่เป็นอะไรไป ลูกพี่จะอยู่อย่างไร” พี่เอ๋พูดไปพลางน้ำตาคลอเบ้า
ผมได้แต่บอกให้พี่เขาพักผ่อนให้เต็มที่ และผมจะไปส่งที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเอารถขับตามไปให้
วันถัดมาพี่เอ๋โทรมาลางานผมสักหลายวัน
เพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลตรวจร่างการชุดใหญ่ และของลาพักผ่อนสักหลายวัน
เพื่อค่อยๆ สะสางปัญหาและปรับร่างกายใหม่ หลังจากพี่เขากลับมาทำงาน
ผมก็ถามไถ่ ว่าหมอว่าอย่างไร และอาการเป็นอย่างไรบ้าง พี่เขาตอบผมว่า
“พี่คงใช้เค้า(ร่างกาย)มาเยอะแล้ว ครั้งนี้เค้าคงมาเตือน ...
คงทำงานหนักและเครียดมากเกินไป ตอนนี้พี่จะพยายามนอนแต่หัวค่ำเลย
เรื่องไหนปล่อยได้ก็ปล่อย ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ไป พี่มาคิดคิดดูแล้ว
ถ้าพี่เป็นอะไรไป หรือ ร่างกายมันไม่ไหว ทุกอย่างมันอาจจะแย่ลงกว่านี้ ...”
ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจ และ คิดตามอย่างในใจอย่างเงียบๆ
ปํญหาในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆปรับค่อยๆแก้กันไป ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ
ทำงานหนักมันดีก็จริง แต่ถ้าทำหักโหมนอกจากจะไม่สุขและอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว
ถ้าทำมันจนตึงเกินไป ร่างกายรับไม่ไหน ปัญหาสุขภาพจะถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จนในท้ายที่สุดอาจก่อให้เกิดเป็น “ความทุกข์” ก็เป็นได้
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวที่ว่า ...
อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่เตือนพี่เอ๋ แต่ทำให้ผมผู้อยู่ในเหตุการณ์คิดได้หลายอย่าง
เพราะตัวผมเองก็เรียกได้ว่าบ้างานพอตัว เจอเหตุการณ์นี้ คิดได้ดังนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ไย
จะหวังรอโชคลาภให้สุขภาพดีอย่างเดียวคงไม่ทันการณ์ ว่าแล้วก็ไปออกกำลังกายเลยเถอะ!!!
ขอให้สุขภาพดีและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…