sub prime มันเกิดจาก พวกเครื่องมือทางการเงินอย่าง cds
ซึ่งโดนผลกระทบมาจากการเก๋งกำไรกันมากเกินปในกลุ่มสินค้า commodity
ทำให้โลกปั่นป่วน ประจวบเหมาะกับอสังหาของอเมริกามันกำลังบูมมาก
คนที่นู่นมีบ้านหลายหลัง บางคนหลังแรกยังผ่อนไม่หมด ก็กู้หลังที่สองได้อีก
พอเจอการบริโภคหดตัวจากราคาสินค้า commodity ขึ้น ก็พังกันเป็นโดมิโน
แล้วยิ่งไปเจอการปล่อยกู้แบบหละหลวม พอมาทำปฏิกิริยากับ cds mbs ที่มันพัวพันกันจนแกะไม่ออก
สุดท้ายก็กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ในโลกการเงิน เพราะมันเล่น leverage กันสูงมาก
สุดท้ายเพื่อจนปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลาย มันเลยต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อตัดจบปัญหาไม่ให้ลุกลามต่อเนื่อง
ตัวสังเวยก็ คือ morgan stanley นั้นเอง
จากนั้นก็เริ่มขบวนการ too big, to fail โกงตายผ่าน QE จนถึงปัจจุบัน
ร่ายซะยาว ย้อนกลับไปมาดูของเราบ้าง
หนี้ของเราตอนนี้คุมเข้มกว่าของอเมริกาเยอะ เพราะเราเคยพลาดมาแล้ว จากการเปิดความเสี่ยงกับภาคเอกชนมากเกินไป
พูดง่ายๆ ลืมดู DE ratio ของบ.ว่าสูงแค่ไหน เปิดความเสี่ยงมากแค่ไหน จะมีปัญยาจ่ายหนี้ได้หรือไม่
จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ภาคธนาคารค่อนข้างคุมเรื่องความเสี่ยงค่อนข้างดี
(ไม่ได้พูดถึงเรื่อง basel อะไรนะ พวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไอ้คนออกมาตรฐาน basel มันก็มาจากพวกที่เจ๊งคราวที่แล้ว
มันอยู่ที่ตัวธ.เองตะหากว่า จะโลภมากแค่ไหน)
รวมถึงบ้านเราไม่ได้ไปยุ่งกับ cdo cds mbs มากนัก โอกาสที่จะเจอระเบิดในกรณีปัญหาหนี้เสียลุกลามจึงเป็นไปได้น้อย
ดังนั้นโอกาสที่เราจะพังเพราะหนี้เสียมากเกินไปจนถึงขั้นวิกฤติ ผมว่า น้อยมาก
แต่ที่เราจะเจอคือ ปัญหาการบริโภคหดตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ภาครัฐกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย
เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ปชช.ไม่กลัวการเป็นหนี้อย่างไม่จำเป็น
ซึ่งสิ่งที่เกิด คือ ปชช.ดึงเงินในอนาคตมาใช้จนมากเกินไป
ผลที่เกิด คือ อนาคตเราจะมีเงินใช้น้อยลง
แต่ของดันแพงขึ้น แถมกดไม่ลงแล้ว มีแต่จะขึ้นต่อไป
ค่าใช้จ่ายในอนาคตต่อให้เราประหยัดแค่ไหน มันก็มีแต่เพิ่ม เพราะมันเป็นสินค้าจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ซื้อได้ยาก
การบริโภคจะหดตัว ไม่ก็เติบโตได้ช้ามากไปอีกซักพัก จนกว่าหนี้ที่ก่อไว้ลดลง
ผลที่เกิด คือ พวกสินค้าฟุ่มเฟื่อย สินค้าที่มีราคาสูง สินค้าชิ้นใหญ่ๆ อย่าง บ้าน รถ จะขายได้ยากขึ้น
เมื่อขายได้ยากขึ้น ก็ต้องทำการตลาดกันนักขึ้น เพื่อจูงใจให้คนอยากซื้อ
(ผมถึงบอกโอกาสเป็นของคนมีเงิน เร็วๆนี้จะเป็นตลาดของผู้ซื้อ)
ดังนั้น มุมมองผม C : consumption เครื่องกำลังดับ จะกระตุ้นก็ไม่ได้ผลมากแล้ว เพราะไม่มีเงินอะ ค่าใช้จ่ายเพิ่มอะ ก่อหนี้ก็ไม่ได้แล้วอะ
ที่นี้ที่ต้องลุ้น คือ อะไร ต้องไปลุ้น G : Government expenditure ครับ
โครงการน้ำ โครงการสองล้านๆ เพื่อไปทำอะไรครับ ไปกระตุ้น I : investment
ใช่ครับ ต้องไปกระตุ้นภาคเอกชนแทนครับ ทำให้เกิดงาน เกิดรายได้กับบ.เอกชน
เอกชนมีงาน ก็ต้องมีการจ้างาน เกิดการจ้างงาน C ก็จะเกิดครับ
ถ้าอยากให้ GDP โต โครงการน้ำ โครงการ 2ล้านๆ ต้องเกิดครับ
ไม่ใช่ว่า ผมสนับสนุนโครงการพวกนี้นะ และก็ไม่ได้ต่อต้านด้วยเพียงแต่ ค่อยๆทำ เดินช้าๆ ทำดีๆ โกงแต่พอดี อย่าเยอะ คุณภาพต้องมี
ตัวรถไฟความเร็วสูงทำได้เลย ประโยชน์ทางอ้อมมีแน่นอน ทำไปเถอะ อนาคตเราต้องมีครับ
เมื่องั้นแย่แน่ๆครับ คือ ถ้ารัฐไม่ทำ มีปัญหาตรงนี้ ดังนั้นก็เลือกที่จะไปตายดาบหน้า
เหมือนอเมริกาเลือกที่จะใช้ QE ดีกว่าล้มตอนนั้นนะครับ
รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง ประมาณนั้น
ขอพูดถึงเรื่องหนี้ครัวเรือน จะทำให้เกิดวิกฤติซ้ำรอย sub prime นะครับ
ซึ่งโดนผลกระทบมาจากการเก๋งกำไรกันมากเกินปในกลุ่มสินค้า commodity
ทำให้โลกปั่นป่วน ประจวบเหมาะกับอสังหาของอเมริกามันกำลังบูมมาก
คนที่นู่นมีบ้านหลายหลัง บางคนหลังแรกยังผ่อนไม่หมด ก็กู้หลังที่สองได้อีก
พอเจอการบริโภคหดตัวจากราคาสินค้า commodity ขึ้น ก็พังกันเป็นโดมิโน
แล้วยิ่งไปเจอการปล่อยกู้แบบหละหลวม พอมาทำปฏิกิริยากับ cds mbs ที่มันพัวพันกันจนแกะไม่ออก
สุดท้ายก็กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ในโลกการเงิน เพราะมันเล่น leverage กันสูงมาก
สุดท้ายเพื่อจนปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลาย มันเลยต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อตัดจบปัญหาไม่ให้ลุกลามต่อเนื่อง
ตัวสังเวยก็ คือ morgan stanley นั้นเอง
จากนั้นก็เริ่มขบวนการ too big, to fail โกงตายผ่าน QE จนถึงปัจจุบัน
ร่ายซะยาว ย้อนกลับไปมาดูของเราบ้าง
หนี้ของเราตอนนี้คุมเข้มกว่าของอเมริกาเยอะ เพราะเราเคยพลาดมาแล้ว จากการเปิดความเสี่ยงกับภาคเอกชนมากเกินไป
พูดง่ายๆ ลืมดู DE ratio ของบ.ว่าสูงแค่ไหน เปิดความเสี่ยงมากแค่ไหน จะมีปัญยาจ่ายหนี้ได้หรือไม่
จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ภาคธนาคารค่อนข้างคุมเรื่องความเสี่ยงค่อนข้างดี
(ไม่ได้พูดถึงเรื่อง basel อะไรนะ พวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไอ้คนออกมาตรฐาน basel มันก็มาจากพวกที่เจ๊งคราวที่แล้ว
มันอยู่ที่ตัวธ.เองตะหากว่า จะโลภมากแค่ไหน)
รวมถึงบ้านเราไม่ได้ไปยุ่งกับ cdo cds mbs มากนัก โอกาสที่จะเจอระเบิดในกรณีปัญหาหนี้เสียลุกลามจึงเป็นไปได้น้อย
ดังนั้นโอกาสที่เราจะพังเพราะหนี้เสียมากเกินไปจนถึงขั้นวิกฤติ ผมว่า น้อยมาก
แต่ที่เราจะเจอคือ ปัญหาการบริโภคหดตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ภาครัฐกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย
เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ปชช.ไม่กลัวการเป็นหนี้อย่างไม่จำเป็น
ซึ่งสิ่งที่เกิด คือ ปชช.ดึงเงินในอนาคตมาใช้จนมากเกินไป
ผลที่เกิด คือ อนาคตเราจะมีเงินใช้น้อยลง
แต่ของดันแพงขึ้น แถมกดไม่ลงแล้ว มีแต่จะขึ้นต่อไป
ค่าใช้จ่ายในอนาคตต่อให้เราประหยัดแค่ไหน มันก็มีแต่เพิ่ม เพราะมันเป็นสินค้าจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ซื้อได้ยาก
การบริโภคจะหดตัว ไม่ก็เติบโตได้ช้ามากไปอีกซักพัก จนกว่าหนี้ที่ก่อไว้ลดลง
ผลที่เกิด คือ พวกสินค้าฟุ่มเฟื่อย สินค้าที่มีราคาสูง สินค้าชิ้นใหญ่ๆ อย่าง บ้าน รถ จะขายได้ยากขึ้น
เมื่อขายได้ยากขึ้น ก็ต้องทำการตลาดกันนักขึ้น เพื่อจูงใจให้คนอยากซื้อ
(ผมถึงบอกโอกาสเป็นของคนมีเงิน เร็วๆนี้จะเป็นตลาดของผู้ซื้อ)
ดังนั้น มุมมองผม C : consumption เครื่องกำลังดับ จะกระตุ้นก็ไม่ได้ผลมากแล้ว เพราะไม่มีเงินอะ ค่าใช้จ่ายเพิ่มอะ ก่อหนี้ก็ไม่ได้แล้วอะ
ที่นี้ที่ต้องลุ้น คือ อะไร ต้องไปลุ้น G : Government expenditure ครับ
โครงการน้ำ โครงการสองล้านๆ เพื่อไปทำอะไรครับ ไปกระตุ้น I : investment
ใช่ครับ ต้องไปกระตุ้นภาคเอกชนแทนครับ ทำให้เกิดงาน เกิดรายได้กับบ.เอกชน
เอกชนมีงาน ก็ต้องมีการจ้างาน เกิดการจ้างงาน C ก็จะเกิดครับ
ถ้าอยากให้ GDP โต โครงการน้ำ โครงการ 2ล้านๆ ต้องเกิดครับ
ไม่ใช่ว่า ผมสนับสนุนโครงการพวกนี้นะ และก็ไม่ได้ต่อต้านด้วยเพียงแต่ ค่อยๆทำ เดินช้าๆ ทำดีๆ โกงแต่พอดี อย่าเยอะ คุณภาพต้องมี
ตัวรถไฟความเร็วสูงทำได้เลย ประโยชน์ทางอ้อมมีแน่นอน ทำไปเถอะ อนาคตเราต้องมีครับ
เมื่องั้นแย่แน่ๆครับ คือ ถ้ารัฐไม่ทำ มีปัญหาตรงนี้ ดังนั้นก็เลือกที่จะไปตายดาบหน้า
เหมือนอเมริกาเลือกที่จะใช้ QE ดีกว่าล้มตอนนั้นนะครับ
รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง ประมาณนั้น