เสียงข้างมาก ตัดสินใจ ให้ไปปล้น เสียงข้างน้อย สวดมนต์ ทนไปก่อน

กระทู้สนทนา
เป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ยังมีคนจำนวนหนึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จะลงมือปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง

ทั้งๆ ที่ พฤติกรรมบรรดามีของรัฐบาลและพวกนั้น ล้วนแต่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิรูปทั้งสิ้น

เอาแค่เรื่องที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิด โดยเร่งรัดตัดตอนความจริง ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกกระทำในเหตุการณ์ทั้งหลาย ใช้เสียงข้างมากลากไปในสภา โดยที่ตัวนายกรัฐมนตรีทำลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่เข้าไปรับฟังเสียงคัดค้านในสภา หรือร่วมประชุมในสภาแม้สักวินาทีเดียว

แบบนี้ ถ้าใครต้องการอำนาจรัฐ ก็สามารถใช้สูตรแก้ว 3 ประการ พรรคการเมือง มวลชน กองกำลังติดอาวุธ เหมือนที่ขบวนการเสื้อแดงเคยใช้ในปี 2553 ก่อเหตุร้าย เผาบ้านเผาเมือง ฆ่าทหาร ฆ่าตำรวจ ฆ่าประชาชน ฯลฯ หากมีคนทำย้อนรอยแบบเดียวกัน แล้วค่อยมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมเอาภายหลัง ก็ถือเป็นการกระทำที่มีความชอบธรรม อย่างนั้นหรือ?

1) ตัวอย่างของเสียงสนับสนุนรัฐบาลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบอีเหละเขละขละ ได้แก่ “สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” นักวิชาการที่ฝ่ายเสื้อแดงยกย่องสุดฤทธิ์ เขียนบทความ “โค่นทำไมระบอบทักษิณ” เผยแพร่อยู่สื่อเสื้อแดง บูชากันเอง เออออกันเองแบบไม่ลืมหูลืมตา

เนื้อหาบางตอน มั่วได้ใจมาก

“...ความจริงแล้ว เหตุผลแห่งการสร้างกระแสการต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นก็มาจากการบิดเบือน เพราะเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัยเหมะ ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ก็ได้เสนอหลักการชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ต้องการที่จะนิรโทษกรรมประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีและติดคุก ไม่มีข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเรื่องที่จะกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาเข้าจริงไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมถึงขนาดนี้ การสร้างกระแสต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นเรื่องอันไร้เหตุผล...”

ข้อเขียนแบบนี้ คงหลอกได้แต่เฉพาะควายที่อ่านหนังสือไม่ออก หรือตัวที่โง่ดักดานถึงขีดสุดเท่านั้น

กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัยที่ผ่านวาระ 1 ด้วยเสียงข้างมากลากไปแล้วนั้น มาตรา 3 ระบุว่า

“ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงการกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว”

เท่ากับว่า บุคคลที่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด ตลอดจนถูกดำเนินคดีอาญาแผ่นดินร้ายแรง ฆ่าทหาร ฆ่าตำรวจ ฆ่าประชาชน เผาศาลากลาง เผาบ้านเผาเมือง ล้มการประชุมอาเซียน หมิ่นประมาทด้วยการโกหกปลุกระดมใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อให้เกิดความเกลียดชังในสังคม รวมถึงคดีดูหมิ่นขู่อาฆาตมาดร้ายสถาบันเบื้องสูง มาตรา 112 ที่เกิดขึ้นในช่วง 19 กันยายน 2549-10 พ.ค.2554 จะพ้นผิดทันที ตัดตอนคดีทั้งหมดทันที ไม่ต้องดำเนินคดีอีกต่อไป!

แม้ถ้อยคำตามกฎหมายฉบับนายวรชัยไม่ได้กล่าวถึงคดีของทักษิณก็จริง แต่คดีต่างๆ ของทักษิณที่ไม่ใช่คดีทุจริตโกงกิน ก็ยังเข้าข่ายจะได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วยอยู่ดี อาทิ คดีก่อการร้าย คดีหมิ่นประมาทผู้อื่น ฯลฯ ดังนั้น ที่อ้างว่า “ไม่มีการละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเรื่องที่จะกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์” จึงหลอกได้แต่ควายเท่านั้นดอกกระมัง

2) การเสนอเรื่องสภาปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้พยายามดึงคนมีชื่อเสียงระดับโลกมาประดับฉาก พยายามดึงหัวหน้าพรรคการเมืองเข้าร่วม แถมให้บริวารขี้ข้ากล่าวหาคนที่รู้ทันเกมว่าเป็นพวกขวางการปฏิรูป ฯลฯ แต่ทำอย่างไรก็คงไม่พ้นจะถูกมองว่าเป็น “สภาโจ๊กระดับอินเตอร์”

ตราบใดที่รัฐบาลระบอบทักษิณยังมีพฤติกรรมเอาเสียงข้างมากลากไป ตราบนั้น ไม่ว่าจะตั้งสภาในชื่ออะไร ก็จะต้องมีบทสรุปไปตามความต้องการของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

แค่พยายามหาคำตอบ ให้ตรงกับความต้องการของตน

ดร.อภิชาติ ดำดี เคยเขียนกลอนสะท้อนการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ เรื่อง “คืนนี้ไปสวดมนต์ หรือปล้นดี” ว่า

โจร 9 เสียง กับพระ มี 1 เสียง ต่างพร้อมเพรียง ชุมนุม ประชุมใหญ่

มีญัตติ เร่งรัด ตัดสินใจ “คืนนี้ไป สวดมนต์ หรือปล้นดี ?”

อภิปราย ประท้วงลั่น สนั่นเสียง โจรกับพระ ถกเถียง กันเต็มที่

แล้วยกมือ ลงมติ ในทันที ญัตตินี้ โจรชนะ พระแน่นอน

เสียงข้างมาก ตัดสินใจ ให้ไปปล้น เสียงข้างน้อย สวดมนต์ ทนไปก่อน

จึงต้องปล้น อุกอาจ ราษฎร ตามขั้นตอน เสียงข้างมาก ลากกันไป

เสียงข้างมาก ต้องมีธรรม นำชีวิต สุจริต เพื่อประโยชน์ คนส่วนใหญ่

เสียงข้างมาก ไม่มีธรรม ส่องนำใจ จะพาชาติ บรรลัย ในไม่ช้า

ประชาธิปไตย ใช่ดูแต่ แค่รูปแบบ ต้องยลแยบ ดูให้ซึ้ง ถึงเนื้อหา

เสียงข้างมาก ไม่มีธรรม คอยนำพา ก็เป็นเพียง โจรา ธิปไตย...”

วันนี้... ชัดเจนแล้วว่า “เสียงข้างมาก ตัดสินใจ ให้ไปปล้น เสียงข้างน้อย สวดมนต์ ทนไปก่อน”

จึงขอสนับสนุนท่าทีของพรรคฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภา สถาบันวิชาการ รวมถึงองค์กรภาคประชาชน มิให้ยอมตนเข้าไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยที่มีบทเรียนปรากฏเป็นตัวอย่างตำตา ไม่ว่าจะเป็นกรณีแนวทางปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า หรือรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ที่ถูกรัฐบาลนำไปตัดต่อดัดแปลงจนผิดเพี้ยนจากข้อเสนอเดิม เพียงเพื่อรับใช้เป้าหมายทางการเมืองของระบอบทักษิณ

อย่าได้เข้าไปร่วมขบวนการปล้นหลักนิติธรรม ย่ำยีสิทธิมนุษยชนระดับโลกครั้งนี้เด็ดขาด!

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/8092


ปล.ช่วงนี้ต้อง สวดมนต์กันหน่อยครับ..เอิ๊ก ๆ ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่