สื่อต่างประเทศยังคงเกาะติดผลกระทบจากนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทย โดยนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ฉบับล่าสุดในส่วนของเศรษฐกิจไทย ได้ตีพิมพ์รายงานหัวเรื่องว่า "ภูเขาข้าว" (The rice mountain) ให้คำโปรยว่า รัฐบาลที่ไม่เป็นที่นิยมมากขึ้นยึดติดกับนโยบายที่เลวร้ายที่สุดและราคาแพงที่สุด
ดิอีโคโนมิสต์ กล่าวว่า การอุดหนุนข้าวเป็นนโยบายประชานิยมเดิมของทักษิณระหว่างหาเสียง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็เคยรับปากจะซื้อข้าวเปลือกโดยตรงจากชาวนาในราคาสูงกว่าตลาดราว 2 เท่า หรือตันละ 15,000 บาท เพื่อกระจายรายได้ให้ชาวนาและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ แม้ฝ่ายต่อต้านจะเตือนว่านโยบายนี้เปลืองงบประมาณ แต่เหล่าที่ปรึกษาของทักษิณยังเชื่อว่าการดึงข้าวออกจากตลาดโลกจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และเพราะไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด รัฐบาลก็สามารถหาเงินคืนได้ภายหลังจากผลกำไรของการขายข้าวในสต็อก ทว่าทฤษฎีแปลกประหลาดนี้ ในทางปฏิบัติกลับทำให้ประเทศอื่นตัดราคาข้าวไทย อินเดียและเวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่แทนที่ไทย เมื่อหาผู้ซื้อไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องเก็บข้าวไว้ในสต็อกถึง 18 ล้านตัน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณข้าวที่ค้าขายทั่วโลกแต่ละปี การซื้อข้าวจากชาวนาเป็นค่าใช้จ่ายแพงระยับ ต้องใช้งบประมาณถึง 12,500 ล้านดอลลาร์ในปีแรก ส่วนปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4% ของจีดีพี ข้าวในสต็อกยังสิ้นเปลืองค่าบริหารจัดการและใช้โกดังใหม่ที่ราคาแพงอีก
นอกจากค่าใช้จ่าย ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพข้าวในโกดัง การเสื่อมสภาพและยังมีข้อกังขาเรื่องการปนข้าวที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน การลักลอบนำข้าวราคาถูกจากเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาและพม่ามาสวมสิทธิ์ เมื่อถูกปนกับข้าวไทย ซึ่งมีข้าวเกรดสูงขึ้นชื่อเช่นข้าวหอมมะลิ จึงทำให้คุณภาพและชื่อเสียงข้าวไทยถูกกระทบตาม
รายงานนี้สรุปปิดท้ายว่า การเปิดโปงการไร้ประสิทธิภาพและการคอรัปชั่นยังส่งผลกระทบต่อสถานะของรัฐบาล และนักลงทุนก็พากันวิตกถึงผลกระทบต่อฐานะทางการคลังของประเทศ หนี้สินของประเทศพอกพูนขึ้น และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ ยังได้เตือนความเสี่ยงว่านโยบายรับจำนำข้าวส่งผลเสียต่อวินัยทางการคลังของประเทศ
ดิอิโคโนมิสต์ บอก ภูเขาข้าว นโยบายที่เลวร้ายและราคาแพงที่สุด
ดิอีโคโนมิสต์ กล่าวว่า การอุดหนุนข้าวเป็นนโยบายประชานิยมเดิมของทักษิณระหว่างหาเสียง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็เคยรับปากจะซื้อข้าวเปลือกโดยตรงจากชาวนาในราคาสูงกว่าตลาดราว 2 เท่า หรือตันละ 15,000 บาท เพื่อกระจายรายได้ให้ชาวนาและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ แม้ฝ่ายต่อต้านจะเตือนว่านโยบายนี้เปลืองงบประมาณ แต่เหล่าที่ปรึกษาของทักษิณยังเชื่อว่าการดึงข้าวออกจากตลาดโลกจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และเพราะไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด รัฐบาลก็สามารถหาเงินคืนได้ภายหลังจากผลกำไรของการขายข้าวในสต็อก ทว่าทฤษฎีแปลกประหลาดนี้ ในทางปฏิบัติกลับทำให้ประเทศอื่นตัดราคาข้าวไทย อินเดียและเวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่แทนที่ไทย เมื่อหาผู้ซื้อไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องเก็บข้าวไว้ในสต็อกถึง 18 ล้านตัน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณข้าวที่ค้าขายทั่วโลกแต่ละปี การซื้อข้าวจากชาวนาเป็นค่าใช้จ่ายแพงระยับ ต้องใช้งบประมาณถึง 12,500 ล้านดอลลาร์ในปีแรก ส่วนปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4% ของจีดีพี ข้าวในสต็อกยังสิ้นเปลืองค่าบริหารจัดการและใช้โกดังใหม่ที่ราคาแพงอีก
นอกจากค่าใช้จ่าย ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพข้าวในโกดัง การเสื่อมสภาพและยังมีข้อกังขาเรื่องการปนข้าวที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน การลักลอบนำข้าวราคาถูกจากเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาและพม่ามาสวมสิทธิ์ เมื่อถูกปนกับข้าวไทย ซึ่งมีข้าวเกรดสูงขึ้นชื่อเช่นข้าวหอมมะลิ จึงทำให้คุณภาพและชื่อเสียงข้าวไทยถูกกระทบตาม
รายงานนี้สรุปปิดท้ายว่า การเปิดโปงการไร้ประสิทธิภาพและการคอรัปชั่นยังส่งผลกระทบต่อสถานะของรัฐบาล และนักลงทุนก็พากันวิตกถึงผลกระทบต่อฐานะทางการคลังของประเทศ หนี้สินของประเทศพอกพูนขึ้น และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ ยังได้เตือนความเสี่ยงว่านโยบายรับจำนำข้าวส่งผลเสียต่อวินัยทางการคลังของประเทศ