คิดใหญ่ไหม อายุ 25 เงินเดือน 15,000 กับบ้านของครอบครัวยอดหนี้ 800,000 บาทหนูจะทำได้ใช่ไหม?ช่วยมาแชร์กันนะขอบคุณคะ

สวัสดีคะพี่พี่ วันนี้ดราม่านิดนึง เพราะตอนนี้ อายุจะ 25 แล้วคะ มีเรื่องมาปรึกษาคะ
เรื่องเดียว คือตอนนี้ กำลังจะหาทางออกในการปลดหนี้บ้าน คิดใหญ่ไหม แต่สำหรับหนูคิดว่าไม่นะ
เพราะ บ้านคือสิ่งเดียวที่พ่อสร้างมา และเหลือยอดหนี้ประมาณ 8 แสนบาท จาก 1 ล้านสี่
มันก็มากพอควรนะคะ แต่พอไปเทียบกับคนที่เคยล้มละลาย คนที่มีหนี้เป็นสิบล้าน คนเหล่านั้นยังทำได้
ในอดีตพ่อเช่าบ้านจนหนูเข้ามหาลัยพ่อมีเงินดาวน์บ้านและสร้างมันขึ้นมา เพื่อเป็นรังรักของครอบครัวเรา
ก่อนนี้พ่อเจออะไรมากมาย หกล้มคลุกคลานจากเจ้าของธุรกิจ กลับมาเป็นลูกจ้างอีกครั้ง เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
หนูคิดว่า หนูน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้พ่อหนูมีความสุขได้คะ ฝากเอาใจช่วยหนูด้วยนะคะ
ขณะนี้ หนูอายุ 25
พ่ออายุ 48
ที่บ้านรายได้มาจากพ่อคนเดียว จริงๆพ่อคงจะสร้างฝันมีบ้านของตัวเองนานแล้วถ้าวันนี้ ไม่ได้ส่งเสียหนู จนเรียนจบ
วันนี้หนูจริงจังกับโพสนี้พอควร หลังจากที่ศึกษาในห้องการบริหารจัดการ มีพี่พี่หลายท่านน่าจะชี้แนะได้
พ่อหนูเองเป็นผู้จัดการที่หนึ่ง รายได้ประมาณ 3-4 หมื่น ตอนนี้ผ่อนบ้านเดือนละ 15000
และพ่อยังต้องช่วยปลดหนี้ อื่นๆของครอบครัวฝั่งแม่ ตั้งแต่หนูจำความได้ พ่อก็ช่วยมาตลอด แม้แต่น้าชายเรียนพ่อก็ช่วยส่งเสีย
บ้านยายที่เป็นหนี้พ่อก็ช่วยผ่อน แม้น้องชายแม่จะมี ห้าคน ก็เพิ่งมาช่วยผ่อนในระยะหลัง หนูละเชื่อในความดีของพ่อจริงๆ  ระหว่างนี้ชีวิตพ่อไม่ได้เรียนสูง เพราะยอมให้พี่พี่เรียนจบ ป ตรี ตัวเองทำงานตั้งแต่เด็ก พ่อหนูจบ ป สี่นะ แต่หนูภูมิใจมากๆ ในพ่อคนนี้ ก่อนปู่เสียพ่อไม่ได้สมบัติใดเลย แต่พี่พี่ของพ่อก็ได้ไปเยอะพอควร ช่างเถอะคะไม่ใช่ประเด็น แต่วาระสุดท้ายของชีวิตพ่อได้อยู่ดูแลปู่ ซึ่งพ่อบอกหนูว่านี่แระสมบัติที่มีค่ามากมากในชีวิต หนูจำคำนี้ได้และมันคือสิ่งเดียวที่ยึดใจหนูให้มีกำลังใจต่อสู้หลายๆอย่างเพื่อพ่อ ในช่วงที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้เจออะไรหลายอย่างธุรกิจล้ม ในปี 40 หนูยืนมองอย่างไร้เดียงสา เพราะเด็ก ป สี่ คนนั้น ทำอะไรไม่ได้เพียงแต่ตั้งใจเรียน ไม่ได้เข้าใจว่าเกิดสถานการณ์อะไรในครอบครัว จากปกติแม่ซึ่งเป็นแม่บ้าน จากไปซื้อกับข้าวมาทำเองเปลี่ยนเป็นซื้อแกงถุง ซึ่งหนูไม่ได้คิดอะไร จนย้าย รร จาก รร เอกชน มาอยู่ รร มูลนิธิ ธรรมดา มันไม่ได้ทำให้หนู ลด มานะในการเรียนเลยมีแต่ถีบตัวเองจาก สอบได้ที่ ปลายๆ เป็นที่ 1 ของห้อง
   หนูสรุปเลยนะคะพี่พี่ ตอนนี้ หนูทำงานเงินเดือน 16500 บางเดือนก็เกือบ 20000
คชจ โดยสรุป
ค่าเช่าหอ 3500
ค่าเดินทาง 500
ค่าประกันชีวิตสะสมทำมา 7 ปี จ่ายเดือนละ 1500
ค่าประกันชีวิตพ่อ ทำมา 9 ปี จ่ายเดือนละ 1550
ค่ากินเฉลี่ยต่อวัน 200 ก็ 6000 บาท (อันนี้ ถ้าจ่ายน้อยก้อจะมีเงินเก็บเยอะ)
ค่าผ่อนโนตบุค 1600
ค่าสำรองเลี้ยงชีพ 900
ค่าประกันสังคม 700

ตอนนี้บอกตรงๆ ไม่มีเงินเก็บเลย  มีเงินก้อนแค่น้อยนิดบอกตรงๆ 10000 ได้คะ

วันนี้จริงจังกับการมาเปลี่ยนตัวเอง เลยเข้ามาปรึกษาในช่วงวันแม่ เพราะรู้สึกว่าแต่ละปีมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
พ่อแม่เราก็แก่ไปหน้า ยิ่งเศรษฐกิจเปลี่ยนไปมา รายรับของพ่ออาจจะสั่นคลอนได้ อีกอย่างพ่อเรามีจะแก่ไปหน้า อยากให้พ่อสบาย
แล้วเราจะทำหน้าที่เอง

รายได้อื่นๆมาจากแม่ด้วยคะ แม่ขายข้าวราดแกงหน้าบ้าน วันนิงรายได้ประมาณ 4-5 ร้อยบาทคะ เงินส่วนนี้นำมาใช้จ่ายในบ้าน

ส่วนที่ก่อนี้เจอปัญหามากมาย พ่อต้องกู้เงิน speedy rabbit มาใช้ แต่ตอนนี้ใช้หมดแล้วคะ เพราะ พี่ชายไปทำคนอื่นท้อง
พ่อเราก็ต้องจัดการคะ เสียเงินไปหลายแสน อีกอย่างเลี้ยงหลานไหนจะค่านม ค่ายา ไร้ความรับผิดชอบมากพี่ชายเรา
ไม่เคยจะแบ่งเงินให้พ่อแม่เลย ค่านมยังไม่เคยจ่ายเลยคะ พ่อเราคนเดียวหมด เลยค่อนข้างที่จะรู้สึกสงสารพ่อเรามากมาก แต่พ่อเราก็เป็นปู่ที่รักหลานสาวคนนี้มากมากเลยคะ หนูยังรักมากเลยเพราะเค้าก็เป็นอีกคนในครอบครัว
พ่อทั้งเก่ง ทั้งทน ทั้งรับผิดชอบ พ่อเราไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ตรงต่อเวลา หลังๆ เวลาแกเครียด เราก็ให้กำลังใจ นั่งสมาธิ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อเราหายเหนื่อยก็เรื่องเราเรียน จบ ทำให้พ่อภูมิใจ
เวลาพี่ชายเราเอาเรื่องมาให้ ก็มีแต่เสียตังค์ ขับรถไปชน เป็นต้น ตั้งแต่เด็กพี่ชายเราเข้าออกตารางเป็ยว่าเล่น ใครประกันอีกละคะ พ่อหนูนี่เระคะ เพลียจริง มีช่วงนิงไม่อยากคุยกับ พี่มันเลย เอาแต่สร้างเรื่อง

เรื่องทั้งหมดประมาณนี้ ตอนนี้เราทำงาน กทม ไม่ได้อยู่ ตจว กับที่บ้าน มาทำงานที่นี่ เพราะ อยากมีประสบการณ์วันนิงไม่ได้
หวังแค่ เป็นลูกจ้างเหมือนเดิม แต่อยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นจุดเปลี่ยน ของครอบครัว

พ่อเหนื่อยมาเยอะ หนูอยากทำให้พ่อมีความสุข เท่านี้ละคะ ที่อยากเรียนปรึกษา
ไม่ต้องมองจุดพ่อหนูะว่า พ่อจะปรับการบริหารอย่างไร แต่อยากให้มองที่หนู ว่าหนูจะทำอย่างไร

แต่แพลนในหัวตอนนี้เริ่มมี คือ 1 เก็บเงิน
                                       2 ทำงานเก็บประสบการณ์
                                       3 ถ้ามีลู่ทางอาจเปลี่ยนงานเพื่อเรียนรู้ในช่วงมีไฟ
                                       4 ศึกษาเรียนรู้ เรื่องการทำธุรกิจ สิ่งที่อยากทำ คือค้าขาย อาจเปิดร้านขายเสื้อผ้า
                                          หรือร้านข้าว อาหาร เพราะเราเคยมีประสบการณ์ ตรงด้านอาหาร
                                      
ประมาณนี้อะคะ ใครที่มีประสบการณ์หรือคิดคล้ายๆกันเข้ามาแชร์หน่อยนะคะ จขกท แค่อยากมีพี่พี่ที่ชี้แนะ คราวนี้เอาจริงแล้วคะ เพราะรู้สึกว่าช้าไปไหม อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ เพื่อพ่อแม่จริงๆ

ในหัวไม่เคยคิดว่า จะต้องแต่งงานกับคนที่รวย จะได้มาช่วยที่บ้าน พอดีไปปรึกษามามีคนพูดงี้ ค่อนข้างไม่เข้าใจ เพราะอยากแก้ทุกอย่างได้ ด้วยตัวเอง ด้วยมือของเรา เพื่อนคนไหน เจออะไรคล้ายๆแบบนี้มาแชร์กันนะ มาหาทางออกกัน เราไม่ได้เกิดมารวย มีทรัพย์สมบัติแต่อยากจะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ขอบคุณทุกโพสล่วงหน้าคะ ขอบคุณมากๆคะ



คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
ประทับใจในความคิดมากๆครับ
ขอปรบมือให้จากใจจริง

ขอเล่าประสบการณ์พี่บ้างนะครับ
เผื่อเอาไปเป็นแนวทางได้บ้าง

แต่ก่อนบ้านพี่ก็จนเหมือนกันครับ
ที่บ้านพี่ค้าขาย ขายของชำ ข้าว แป้ง น้ำตาล น้ำปลา ไรพวกนี้
วันนึงๆรายได้ก็ประมาณ 1000-3000 บาท รายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 2 หมื่น ถึง 4 หมื่น แต่ต้องเลี้ยงทั้ง 7 ชีวิตในครอบครัว
บางวันก็ขายไม่ค่อยได้เลย แม่พี่บอกใช้จ่ายเข้าเนื้อ รายจ่ายมากกว่ารายได้ด้วยซ้ำไป
ตั้งแต่สมัยเรียนม.1 แล้ว พี่ต้องช่วยงายพ่อพี่
ม. 1 พี่ก็ช่วยพ่อพี่แบกข้าวเป็นกระสอบๆแล้วครับ (เป็นคนร่างใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆครับ)
ต้องคอยเข็นของส่งลูกค้าในตลาดสด
ตื่นตี 5 ลงมาช่วยพ่อแม่เปิดร้าน จัดร้าน
พ่อแม่พี่ก็สู้เหมือนกันครับ ไม่เคยท้อ ทำงานส่งลูกๆ 5 คน
พอมีเงินหน่อย พ่อพี่ก็ไปหุ้นกับเพื่อนทำผับคาเฟ่
โดนเพื่อนโกง หมดไปเกือบล้าน แทบจะหมดตัวเลยด้วยมั้งครับ
พี่คิดไว้ว่าซักวันนึง พี่จะทำให้ชีวิตครอบครัวพี่เปลี่ยน
จะต้องเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่พี่ให้ได้
ต้องเป็นคนดี และมีหน้าที่การงานที่ดีให้ได้

พอพี่เข้ามหาวิทยาลัย พี่ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าซักวันนึงพี่จะต้องมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทให้ได้
ถ้าพี่ทำได้ ชาตินี้พี่จะถือว่าพี่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว
เชื่อไหมครับ ว่าพี่เล่าให้เพื่อนฟัง มีแต่คนหัวเราะเยาะ ดูถูก ว่าฝันกลางวัน.....
พอพี่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตแล้ว สิ่งต่อไปที่พี่คิดอยู่ในหัวคือ...
....แล้วพี่จะมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทได้อย่างไรล่ะ??....
ขั้นต่อไปที่พี่ต้องคิดก็คือ พี่ต้องหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้
ถ้าพี่ไปทำงานบริษัทเป็นมนุษย์เงินเดือน
คงต้องเป็นระดับกรรมการผู้บริหาร CEO ถึงจะมีเงินเดือนๆละ 1 ล้านบาทได้
ทำงานให้ตาย ชาตินี้ก็ไม่มีวันไปถึงเป้าหมายที่วางไว้
แต่ถ้าพี่ทำธุรกิจส่วนตัว รายได้เดือนละ 1 ล้านบาท มันสามารถเป็นจริงได้
เมื่อพี่คิดได้แบบนี้ พี่ก็รู้แล้วว่าพี่จะต้องเลือกเดินไปเส้นทางไหนในชีวิตพี่
พอพี่เรียนจบมา พี่ก็ไม่คิดจะทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนเลยครับ

พี่เรียนจบมาตอนอายุ 21 ปี พี่วางแผนทำธุรกิจอย่างนึง
แต่พี่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง เพราะความคิดต่างของพี่กับพี่น้องด้วยกันเองในบ้าน
เพราะบ้านพี่ไม่มีเงินครับ พี่ต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมด 7 แสนบาท
แต่พ่อกับแม่พี่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่แสนเดียวเอง
พี่ๆน้องๆในบ้าน ไม่มีใครสนับสนุนให้ทำเลย
เพราะถ้าพี่ทำ พ่อกับแม่พี่ต้องไปกู้เงินเค้ามาอีก 6 แสนบาทมาให้พี่ลงทุน
คนในบ้านกลัวพี่ทำเจ๊ง

แต่ด้วยกำลังใจที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตครอบครัวพี่ให้ดีขึ้น
พี่พยายามทุกอย่าง ขอร้องคนในบ้านทุกคน
จนในที่สุด พ่อแม่พี่ก็ไปกู้เค้ามา 6 แสนบาทมาให้พี่ทำธุรกิจจนได้

ธุรกิจพี่ไปได้สวย รายได้ดีมากๆ
พี่ๆน้องๆที่ตอนแรกต่างก็คอยกีดกันพี่ ไม่ให้พี่ได้ทำ
ก็เข้ามาช่วยเหลือกัน
ผ่านไป 6 เดือน พี่มีเงิน 6 แสนให้พ่อพี่เอาไปใช้หนี้เค้า
หลังจากนั้น พี่สามารถมีเงินล้านได้ในปีแรก ตั้งแต่พี่อายุ 21 ปีครับ

ถ้าอ่านมาถึงตรงจุดนี้แล้ว น้องคงมีคำถามอยู่ในใจว่า
"แล้วพี่จะมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทได้อย่างไร" ใช่ไหมครับ
ตอนนั้นพี่คิดแบบน้องต๊อบเถ้าแก่น้อย ตอนที่เค้าขายเกาลัด ได้กำไรเดือนละ 2 หมื่น ถ้าทำ 10 สาขา ก็ได้กำไรเดือนละ 2 แสน
พี่ก็คิดเช่นกันครับ พี่ได้กำไรสาขาละแสนกว่าบาท พี่ต้องทำให้ได้ 10 สาขา พี่ก็จะมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทแล้วครับ
แค่มีความคิดนี้อยู่ในหัวตั้งแต่ตอนทำสาขาแรก พี่ก็มีความสุข มีกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยครับ
เพราะเริ่มเห็นเป้าหมายอยู่รำไรแล้วครับ

หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มขยายสาขาไปเรื่อยๆ
พี่ใช้ชีวิตแบบอดเปรี้ยวไว้กินหวานครับ
"ของที่ไม่จำเป็น ถึงแม้มันจะถูกแค่ไหน พี่ก็ไม่ซื้อครับ"
"ของที่จำเป็น ถ้าซื้อมาแล้วสามารถเพิ่มรายได้ให้เรา คิดแล้วยังไงก็คุ้มค่า ถึงแพงแค่ไหน พี่ก็จะซื้อมันมาให้ได้ครับ"

เงินกำไรที่ได้มา พี่ไม่เคยเอามาใช้ส่วนตัวเลยครับ ใช้แค่กินอยู่เท่านั้น
เก็บสะสมไว้เปิดสาขาไปเรื่อยๆ

จนพี่สามารถมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทได้จริงๆตอนพี่อายุ 28 ปีครับ
พอพี่มาถึงเป้าหมายที่พี่วางไว้ พี่ก็ตั้งเป้าหมายถัดไปว่าพี่จะต้องมีเงิน + ทรัพย์สินให้ได้ 100 ล้าน ก่อนพี่อายุ 40 ปี
ตอนนี้พี่อายุ 34 ปี มีเงิน + ทรัพย์สินที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อพี่เอง ประมาณ 40 ล้านกว่าๆ
มีธุรกิจอยู่ 11 สาขา มีหอพัก 1 หอ มีอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 2 หลัง  1 คูหาอีกหนึ่งหลัง
ทุกอย่าง เริ่มต้นด้วยเงินพ่อแม่แค่ 1 แสนบาทเท่านั้นครับ

ทุกวันนี้พี่ให้พ่อกับแม่พี่เลิกขายของชำไปแล้ว
ให้เค้าอยู่บ้านเฉยๆ คอยเก็บเงินให้พี่อย่างเดียว ไม่ต้องทำงานอะไร
พี่สามารถเปลี่ยนชีวิตครอบครัวพี่ได้จริงๆ เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่
คนแถวบ้าน ไม่มีใครดูถูกครอบครัวพี่อีกเลย

**************************************************
น้องมีความคิดแบบนี้ดีมากๆแล้วครับ กตัญญูพ่อแม่ด้วย พี่สนับสนุนครับ
พี่แนะนำให้น้องทำธุรกิจส่วนตัวดีที่สุดครับ
เพราะธุรกิจส่วนตัว เราวางระบบให้ดีไม่ให้ลูกน้องโกงได้ เสร็จแล้วเราก็จ้างคนอื่นมาทำแทนเรา
เราก็จะมีเวลาว่างไปทำสาขาอื่นต่อได้
ธุรกิจส่วนตัวเป็นงานที่ทำน้อย ก็ได้น้อย ... ทำเยอะ ก็ได้เยอะครับ
แตกต่างจากงานประจำที่กินเงินเดือนคือ
ทำน้อย ก็ได้แค่เงินเดือน  
ทำเยอะ ก็ได้แค่เงินเดือน + โอทีอีกแค่หยิบมือ
ส่วนจะทำธุรกิจอะไร น้องต้องเป็นคนเลือกเองครับ ว่าธุรกิจอะไร ที่เหมาะกับตัวน้องมากที่สุด

สิ่งที่พี่อยากจะสอนน้องจากหลักการที่พี่ได้จากชีวิตจริงคือ
1. ต้องตั้งเป้าหมายในชีวิต กำหนด Time Line ไว้ ว่าเราจะต้องทำให้ได้ก่อนเราอายุ ....   อย่าใช้ชีวิตแบบเช้าชามเย็นชาม โดยไม่มีเป้าหมายของชีวิต เพราะนั่นจะทำให้เราก้าวหน้าช้า และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต กรณีของน้องคือ อยากให้พ่อแม่สบาย อยากปลดหนี้ให้พ่อกับแม่ นั่นคือเป้าหมายแล้วครับ
2. เมือเราได้เป้าหมายในชีวิตแล้ว ขั้นต่อไปให้เราคิดว่า เราจะหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร กรณีของพี่ ก็คือ พี่ต้องทำธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น และต้องขยายสาขาไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มรายได้ต่อเดือน จนในที่สุด ก็ถึงเป้าหมายครับ ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างรอสะสมเงินกำไรเพื่อมาเปิดสาขาใหม่ พี่ก็ยังสามารถเพิ่มรายได้ได้อีก โดยพี่เอารายจ่ายทุกอย่างต่อเดือนมาแจกแจงดู ว่าตรงไหนที่เราจ่ายเยอะเกินไป ตรงไหนเราลดได้บ้าง ซึ่งถ้าเราลดรายจ่ายลงได้ นั่นหมายถึงเราได้กำไรเพิ่มขึ้นครับ
3. สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราก้าวไปถึงเป้าหมายในชีวิตได้ ก็คือ "กำลังใจ" ครับ   พยายามเสริมสร้างกำลังใจให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา กรณีของพี่ พี่แค่คิดว่า พี่จะต้องทำให้พ่อแม่พี่สบาย ไม่ต้องเหนื่อยกับงานที่ทำ จะต้องเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่ให้ได้ จะไม่ให้ใครมาดูถูกครอบครัวของเรา แค่คิดแค่นี้ตอนที่พี่เริ่มรู้สึกท้อ กำลังใจพี่ก็กลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนเดิมพร้อมที่จะสู้ต่อไปแล้วครับ
4. อย่ามองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป เพราะการมองโลกในแง่ร้าย เป็นการบั่นทอนกำลังใจของเรา ให้พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ว่าทุกอย่าง มันไม่ยากเกินความสามารถของเรา เราจะต้องทำให้ได้ อะไรที่ยังไม่เกิด ก็อย่าไปกลัวมันครับ ..... บางคนคิดจะลงมือทำอะไรซักอย่าง ก็มองแต่ในแง่ลบตลอด กลัวเจ๊ง กลัวนู่นกลัวนี่  สุดท้าย ไม่ได้ลงมือทำครับ เพราะไม่กล้า  ..... อยากจะบอกน้องว่า.... "ความสำเร็จ วัดกันที่ใจ" ครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้น้องได้บ้างนะครับ
จำไว้ครับ
อย่าไปมองว่า "ทำไมคนอื่นถึงทำได้ขนาดนี้" หรือ "ทำไมเราทำไม่ได้อย่างเขาบ้างนะ"
ให้คิดว่า        "คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน"

สู้ๆครับ !!!
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 37
คุณทำได้อยู่แล้วค่ะ ขอแค่มีทัศนคติที่ดี คิดในแง่บวกเข้าไว้ค่ะ อย่าตัดทอนกำลังใจตัวเอง
เรื่องในอดีตที่ผ่านมาอย่าเอามาตอกย้ำทำลายฝันตัวเองนะคะ สู้ๆ ^^

เราเองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เรากำลังจะเรียนจบค่ะ ตอนนี้อายุ 22 ปี แต่เราเพิ่งเปิดร้านขายชานมไข่มุกในช่วงที่กระแสมันกำลังมา เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมค่ะ  
ตอนนั้นกลับจาก กทม. หลังจากไปฝึกงานมา เลยคิดได้ว่าน่าจะเริ่มทำอะไรซักอย่างได้แล้ว
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เราเป็นคน อยากรวย อยากเป็นที่พึ่งของครับครัว ด้วยภาระหนี้สินของครอบครัวตอนนี้เฉียด 3 ล้านบาท แต่มันเป็นเงินที่เล็กน้อยมากนะ สำหรับเรา เราคิดว่าอีกไม่เกิน 2 ปีเราต้องตัดมันออกไปให้ได้
ธุริกจขายชานมไข่มุกของเรา เริ่มต้นด้วยการเช่าที่ เป็นออฟฟิศเล็กๆ ตกแต่งด้วยของเก่าๆ ที่เก็บสะสมมาค่ะ
ด้วยความที่เราทำแบบเต็มที่ ชิมเอง ทำสูตรเอง เพราะชอบกินหลายที่ รสชาติจึงติดปากคนในท้องที่ได้ในเวลาเพียง 2 เดือน
ตอนนี้ร้านเราเรียกว่าขายดีที่สุดในอำเภอเลยก็ว่าได้ค่ะ มีรายได้ประมาณ 5000-6000 บาทต่อวัน
(ต้องบอกก่อนนะคะว่า ร้านเราขายของไม่แพงค่ะ ^^ แค่แก้วละ 25 บาท) ลูกค้านั่งรอ ต่อคิว ช่วงเย็นนักเรียนเลิกเรียนจะแน่นมาก
เราคิดจะขยายธุรกิจหลังจากเรียนจบ ไปเป็นร้านค้าส่งวัตถุดิบอุปกรณ์ขายชานมไข่มุก เครื่องดื่ม เบเกอรี่ แบบครบวงจร ทำร้านนั่งดื่ม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บ้านเช่าจากการประมูลบ้านที่กรมบังคับคดี ฯลฯ
เนื่องจากที่ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้ค่ะ เมื่อเราคิดแบบนี้แล้ว เราก็เริ่มมองหาที่ทางมาเรื่อยๆค่ะ เพราะเราคิดว่า
ซักวันทุกๆความฝันของเราจะต้องเป็นจริง
นอกจากนั้น ความโชคดีหรือบุญนำพาก็ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ ที่มีที่มีทางในอำเภออยู่มากโขค่ะ จากการทำร้าน
จึงทำให้เราพอจะมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปในแขนงอื่นอีกมาก ทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า เราไม่มีเงิน
นะคะ บ้านเราไม่ได้ร่ำรวย เราต้องดิ้นรน ต้องเก็บออม ลงทุนทำในสิ่งเล็กๆ ค่อยๆวางแผน เราคิดว่าเราจะกู้ธนาคาร
จากที่ดินเล็กๆ น้อยๆ ที่แม่เราอนุญาตให้ยืม มาทำธุรกิจอื่นๆ เพื่อต่อยอดไปในธุรกิจค้าส่งของเราในที่สุดค่ะ

คงต้องขอคำแนะนำจากกูรูหลายๆท่านในห้องนี้อีกเยอะค่ะ ยิ้ม ที่บ้านเรากำลังเป็นเมืองร้อนแรง อสังหาริมทรัพย์ แมคโคร บิ้กซีกำลังจะก่อต้ัง เราพยายามมองให้เห็นโอกาสก่อนคนอื่นเสมอ เพื่อในซักวันนึง เราจะต้องเป็นผู้ชนะในเกมส์นี้ให้ได้
เป็นกำลังใจให้คุณ จขกท นะคะ ยิ้ม


**แก้ไขคำผิดค่ะ
*เดี๋ยวขอเบลอชื่อร้านก่อนนะคะ ขะมาลงรูปชานมเมนูดังของร้านให้ชมค่ะ ^^
ความคิดเห็นที่ 41
เท่าที่ดูๆ ก็ยังพอได้ครับ หนี้ของคุณเองไม่มี  แค่รายจ่ายพอๆ กับรายได้ ทำให้ไม่มีเงินเก็บ  คห.อื่นก็แนะนำมาเยอะแล้ว ลองดูอันนี้บ้างนะ คือค่าเบี้ยประกันกันชีวิต
"ค่าประกันชีวิตสะสมทำมา 7 ปี จ่ายเดือนละ 1500 + ค่าประกันชีวิตพ่อ ทำมา 9 ปี จ่ายเดือนละ 1550" รวมแล้วปีละ 36,600 บาท
แสดงว่าจ่ายค่าเบี้ยแบบรายเดือน  แนะนำให้จ่ายแบบรายปีแทนครับ จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย  
สมมุติว่าค่าเบี้ย 12000 ต่อปี (ควรจะเดือนละ 1000) เวลาเราแบ่งจ่ายรายเดือน หรือ 3/6 เดือน บ.ประกันจะคิดดอกเบี้ยเรา ทำให้เราต้องจ่ายเบี้ยต่อเดือน >1000 เช่น 1020 บาท
ให้โทรหา บ.ประกัน แล้วบอกว่าจะจ่ายรายปี เบี้ยเท่าไหร่  ถ้าถูกกว่า 12 เดือนรวมกัน ให้
1. เปลี่ยนเป็นจ่ายรายปี
2. ไปเปิด บช.เงินฝาก ดอกเบี้ยสูง เช่น ME หรือกรุงศรีมีแต่ได้ หรือไปซื้กองทุนรวมตราสารหนี้ก็ได้  เอาที่ความเสี่ยงต่ำ เพราะต้องรักษาเงินต้นไว้จ่ายค่าเบี้ย
3. เอาเงินที่จ่ายรายเดือน มาเข้า บช.แทน
4. พอครบปี ก็ถอนไปจ่ายค่าเบี้ย และสะสมใหม่
วิธีนี้ นอกจากไม่ต้องจ่ายดอกแล้ว ยังได้ดอกเบี้ยเงินฝากอีก  แต่ปีแรกจะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องจ่ายค่าเบี้ยแบบรายเดือนพร้อมกับต้องหยอดกระปุกเอาไว้จ่ายปีถัดไปอีก  แต่ปีถัดไปจะสบายเพราะจะหยอดกระปุกอย่างเดียว  กองนี้ให้แยก บช.ออกไปเลย และห้ามใช้เด็ดขาด  ถ้าจะใช้ ให้ถอนเฉพาะส่วนดอกเบี้ยออกมา
ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ทำบัตรเครดิตที่จ่ายค่าเบี้ยแล้วมีส่วนลด  (ผมทำ AIA VISA ลด AIA) เอาไว้จ่ายค่าเบี้ยอย่างเดียว จ่ายแล้วได้เงินคืน 150 บาท  ให้ถาม บ.ประกันว่าบัตรไหนลดได้
บัตรเครดิต ทำแล้วให้จ่ายเต็มวงเงินทุกครั้ง อย่าให้เกิดดอกเบี้ยเด็ดขาด
ผมคิดว่าคุณมีความคิดเช่นนี้ น่าจะมีวินัยทางการเงินพอควร  เพราะการจะมีบัตรเครดิต ต้องมีวินัย ห้ามรูดปรื๊ด รูดปรื๊ด เด็ดขาด

ปล. เคยอ่านกรมธรรม์ตัวเองบ้างหรือเปล่าว่ามีสิทธิอะไรบ้าง   ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินก้อน สามารถกู้กรมธรรม์ตัวเองได้  ดอกถูกว่านอกระบบอีก
ความคิดเห็นที่ 7
มาให้กำลังใจครับทุกอย่างเป็นไปได้แต่ต้องท่อง อดทน-อดทน
ที่ผ่านมาผมก็มีประสบการณ์คล้ายๆกันแต่เปลียนจากพ่อเป็นแม่ที่เป็นหลักของครอบครัว มีกิจการของครอบครัวแต่ก็มีหนี้อยู่เกือบๆ 9ล้าน ณ วันที่ผมเข้ามารับช่วงต่อก็อาศัยคำว่า อดทน นี่แหละครับกว่าจะปลดหนี้ ได้จนมีเงินเก็บเล็กน้อยแล้วก็แยกตัวออกมาประกอบกิจการส่วนตัว อีกอย่างส่วนกิจการของครอบครัวก็ยกให้พี่สาวดูแลต่อครับ

ปล.ชอบความคิดตรงนี้ครับ "ในหัวไม่เคยคิดว่า จะต้องแต่งงานกับคนที่รวย จะได้มาช่วยที่บ้าน พอดีไปปรึกษามามีคนพูดงี้ ค่อนข้างไม่เข้าใจ เพราะอยากแก้ทุกอย่างได้ ด้วยตัวเอง ด้วยมือของเรา เพื่อนคนไหน เจออะไรคล้ายๆแบบนี้มาแชร์กันนะ มาหาทางออกกัน เราไม่ได้เกิดมารวย มีทรัพย์สมบัติแต่อยากจะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง " เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่