เพลิงพัดหวน - - - > บทที่ 2 < - - -

กระทู้สนทนา
กลับมาแล้วค่ะ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนด้วยนะคะ

อย่าลืมแสดงความเห็นให้กำลังใจกันหน่อยเน้อ

ย้อนอ่านของเก่าๆ ได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=looneywitch

บทนำ http://pantip.com/topic/30751938

บทที่ 1 http://pantip.com/topic/30773490

บทที่ 2

คอนโดมิเนียมกลางกรุงดูเล็กไปถนัดตาเมื่อกวิตราจัดงานฉลองวันเกิดให้สองแฝดซึ่งมีอายุครบห้าปี เพื่อนๆ ในโรงเรียนที่มีบ้านอยู่ในละแวกนี้แวะเข้ามาอวยพรพร้อมผู้ปกครอง กเชนทร์ขันรับอาสาเป็นพ่องานจัดอาหารและสถานที่ และยังสัญญาจะเก็บพื้นที่ให้หลังงานเลิก โดยน้องชายเธอให้เหตุผลว่าเธอเหนื่อยมากแล้ว เมื่อเวลาที่จะเป็นสุข ก็ขอให้ได้สุขเต็มที่ ไม่ต้องกังวลให้มากนัก


ผู้ปกครองเพื่อนร่วมชั้นของเด็กทั้งสองต่างประหลาดใจที่เด็กแฝดมีแม่เป็นคนไทย เนื่องด้วยทั้งไทยสันต์และอันนาหน้าตาลอกเค้ามาจากเคเลบไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนจึงสรุปเอาว่า เด็กฝรั่งที่มีชื่อและนามสกุลไทย น่าจะมีแม่เป็นฝรั่งชาติใดชาติหนึ่ง จึงเตรียมตัวพูดภาษาอังกฤษกันเต็มที่ แต่เมื่อกวิตราแนะนำตัว บรรดาแม่ๆ ต่างพากันทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็มีมารยาทเกินกว่าจะถามออกมา


“น้องไท พ่อน้องไทไปไหนน่ะทำไมเราไม่เคยเห็นมารับน้องไทกับหนูนาที่โรงเรียนเลย”เด็กชายภัคพงศ์ถามขึ้นอย่างสงสัย ผู้ใหญ่ในห้องต่างเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ แม้ว่าสายตากำลังจ้องเขม็งไปที่ทีวีจอยักษ์ กวิตราชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินแต่ก็เลือกที่จะวางเฉยเสีย ไม่เก็บนำคำพูดเด็กเล็กๆ มาเป็นอารมณ์ ผิดกับกเชนทร์ที่เดินลุกหนีเข้าไปในครัว


“ไม่รู้สิ เราก็ไม่เคยเห็น แต่แม่จ๋าบอกว่า พ่อจ๋าอยู่ไกล ไกลมากๆ ถึงคิดถึงเรากับหนูนาแค่ไหนก็มาหาไม่ได้ เราเลยยังไม่เคยเจอพ่อเล้ย ตอนนี้น้าเชนเลยเป็นพ่อเราไปก่อน น้าเจเคยบอกเราว่าเดี๋ยวแม่จ๋าจะหาพ่อใหม่ให้ แต่ต้องรอคนดีๆ เหมือนพ่อเราก่อน แม่จ๋าถึงจะยอม”เด็กชายไทยสันต์ตอบน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ปราศจากความเศร้า บรรดาผู้ปกครองในห้องต่างส่งสายตาเห็นใจไปให้เด็กน้อยทั้งสองที่ยังคงเจื้อยแจ้ว ตอนนี้ที่เปลี่ยนเป็นเรื่องการ์ตูนที่เปิดในโรงเรียนเมื่อตอนบ่าย


กวิตราเห็นขันกับเรื่องที่ไทยสันต์เล่าให้เพื่อนฟัง เธอเลี่ยงที่จะตอบลูกๆ ของเธอเกี่ยวกับพ่อของเด็กทั้งสอง เพื่อไม่ให้ลูกๆ รู้สึกมีปมด้อย และเธอเชื่อว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็คงเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน มีเพียงผู้ใหญ่ที่คิดได้ลึกซึ้งกว่า ก็คงจะตีความกันไปว่าพ่อผู้ให้กำเนิดเด็กทั้งสองได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ นั่นกลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะกวิตราอึดอัดที่จะต้องคอยตอบคำถามของใครต่อใคร และไม่อยากทนเห็นสายตาตัดสินจากผู้คนที่ไม่เคยรู้จักเธอ อย่างน้อยการที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะสามีตายก็ดูไม่แย่เท่าไรนัก


เมื่อเข้าหัวค่ำ บรรดาแขกงานเลี้ยงวันเกิดก็พร้อมใจกันกลับด้วยต้องเข้าเรียนในเช้าวันถัดไป สายตาเห็นใจและสงสารยังคงถูกส่งมาจากทุกทิศทาง


“ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ ของให้น้องไทกับน้องหนูนาเป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายๆ นะคะ คุณเกดนี่เก่งจังเสียสามีไปแล้วแต่ก็ยังเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดีเด็กเก่งได้”เสาวภา หนึ่งในบรรดาคุณแม่ทิ้งท้าย กวิตราเพียงแค่กล่าวคำขอบคุณอย่างสุภาพ โดยที่กเชนทร์ยืนเหยียดปากอยู่ในครัว


“เป็นหม้ายตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เป็นไรนะคะ น้องๆ น่ารักแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนเข้ามายื่นใบสมัครเป็นพ่อค่ะ”ณัฐณุชจูงมือเด็กชายภัคพงศ์ที่ถามไทยสันต์เรื่องเคเลบออกจากห้อง เด็กน้อยตัวป้อมหันมาไหว้เธอและกเชนทร์อย่างเรียบร้อยก่อนวิ่งไปหอมแก้มอันนาเข้าฟอดใหญ่ ณัฐณุชหัวเราะคิกคักและต่อว่าลูกชายพอเป็นพิธี หญิงสาวไม่ได้ว่าอะไร ด้วยเห็นว่ายังเด็กกันทั้งคู่ ได้แต่ร่วมหัวเราะไปกับคนอื่นๆ ด้วย



กเชนทร์เก็จานใบสุดท้ายเข้าตู้ และหันมาพบว่ากวิตรากำลังต้อนมนุษย์ย่อส่วนทั้งสองเข้านอน ไทยสันต์หอมแก้มหญิงสาวก่อนที่จะวิ่งเข้ามาหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่ เมื่ออันนาเห็นดังนั้นก็ทำตามบ้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเข้าห้องนอนไป โดยที่ไทยสันต์เสนอจะเล่านิทานให้อันนาฟังก่อนนอน ชายหนุ่มเช็ดแก้มแฉะๆ ของตัวเองที่เด็กทั้งสองฝากรักเอาไว้เต็มเหนี่ยว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“เป็นอะไรไป ถอนหายใจเป็นคนแก่ไปได้”กวิตราหยิบเอาผ้าขี้ริ้วขึ้นมาซักก่อนจะเอาไปเช็ดเคาน์เตอร์ในครัวซ้ำๆ

“กำลังเซ็ง ดันถามถึงไอ้ห่ะนั่นขึ้นมาได้ เสียอารมณ์หมด ดีนะที่ไทมันเล่าซะฟังเหมือนว่ามันตายห่ะไปแล้ว ไม่งั๊นเรื่องคงยาวกว่านี้ พวกแม่ๆ เด็กพวกนั้นก็หูผึ่งกันเชียว เห็นจ้องกันตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว”กเชนทร์สบถออกมาอย่างหยาบคายก่อนจะโดนมือเรียวฟาดเข้าให้เต็มรัก

“นี่ พูดจาน่าเกลียด รู้อยู่ว่าเด็กๆ ถามตามประสาซื่อ ยังเก็บเอามาเป็นอารมณ์”

“ไม่ได้หงุดหงิดเด็ก หงุดหงิดแม่พวกมะ-”ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อฝ่ามือฟาดกลับมาแรงกว่าเดิม

“พอเลยๆ เก็บเสร็จแล้วก็รีบกลับห้องไปเลย มีรายงานต้องรีบทำส่งไม่ใช่หรอ”กวิตราเอ่ยปากไล่ ทำเอาชายหนุ่มทำท่ากระฟัดกระเฟียดออกจากครัวไปก่อนจะหันกลับมาเหมือนนึกขึ้นได้

“พี่เกดอย่าคิดเยอะนะ มันไม่มีค่าหรอก”น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ที่ออกมาทำให้กวิตราส่งยิ่มกลับไป

“มันผ่านมาตั้งนานแล้ว ชั้นคิดจนไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ”แม้จะพูดออกไป แต่ทั้งกเชนทร์และเธอต่างรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลย ชายหนุ่มได้แต่โบกมือแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้เธอมีความรู้สึกเหมือนร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา


เมื่อคเชนทร์ออกไป หญิงสาวก็ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้บาร์และปล่อยให้ความคิดตัวเองล่องลอยกลับไปถึงเรื่องที่เธอพยายามลืมเลือนไป

นานเท่าไหร่แล้วหนอ ที่เธอต้องทนกล้ำกลืนมองสายตาแปลกๆ ของคนรอบตัวโดยที่ทำได้เพียงฝืนยิ้มและเงยหน้าต่อไป คอยบอกคนสนิทว่าไม่เป็นไร ทุกครั้งที่คนเหล่านั้นแสดงความเห็นใจและด่าทอเคเลบอย่างเจ็บแสบ ข้อความล่าสุดที่เธอได้รับจากผู้ชายคนนั้นยิ่งทำให้เธอยิ่งสับสน ไม่เข้าใจว่าเขาจะกลับมาทำไมให้เธอเจ็บใจมากขึ้นไปอีก ลูกๆ ของเธอ เติบโตมาโดยไม่มีพ่อมาตั้งแต่ต้น และได้เข้าใจว่าพ่อของเขาได้ตายจากไปแล้ว กวิตราไม่แน่ใจว่าเธอควรจะปล่อยให้เขามาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อกับลูกๆ ของเธอ หรือควรจะกีดกันไม่ให้เขาได้พบเจอกับเด็กทั้งสองดีหนอ นี่ก็เป็นเวลาเดือนกว่าแล้วที่เธอได้รับการติดต่อจากคนที่อ้างว่าจะยืดอกรับผิดชอบ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความคืบหน้าใดๆ จากนั้นอีก


อาการใจโลเลที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอนานมาแล้วกลับก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ แม้กวิตราจะมั่นใจว่าเธอไม่ได้รักใคร่เคเลบแล้วแม้แต่น้อย แต่หัวใจเธอกระตุกวูบทุกครั้งที่เห็นเขาเขียนอะไรขึ้นบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค และหญิงสาวเหมือนจะหยุดหายใจทุกครั้งที่เห็นรูปภาพที่เขาส่งขึ้นหน้ากระดานของตัวเอง อีกทั้งยังความรู้สึกโหยหาลึกๆ อย่างที่ตัวเธอก็อธิบายไม่ได้ หากต้องเผชิญหน้ากันขึ้นมาจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ใจหนึ่งก็คงจะโล่งใจ เพราะเธอคิดว่าเธอคงทำตัวไม่ถูก หากต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง แต่อีกใจก็อดจะโกรธเคืองไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาได้ทำกับเธอไว้มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน


มีหลายครั้งที่เธอพยายามนึกย้อนกลับไปในคืนนั้น พยายามเรียกความทรงจำจากคืนนั้นและค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่เรียกคืนมาได้มีเพียงความรู้สึกละเมียดละไม อ่อนหวาน และความรู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปบนอากาศและระเบิดออกมาดังดอกไม้ไฟ ซึ่งเธอแน่ใจว่าคืนนั้นเคเลบคงไม่ได้ทำลงไปเพราะความรู้สึก ‘ละเมียดละไม อ่อนหวาน’ อย่างแน่นอน มันเป็นเพียงความมักง่ายและความต้องการเบื้อต่ำของคนสองคนเท่านั้น แต่แม้พยายามจะหาคำตอบให้ได้มากกว่านั้น กลับไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นมาเลย แม้จะมีบางครั้งที่เธอฝันว่าได้ยินเสียงบอกรักกระซิบรำพันของชายคนหนึ่งซึ่งหญิงสาวจำได้ลางๆ ว่าเป็นเสียงเคเลบ แต่ทุกครั้งเธอต้องคอยย้ำกับตัวเองว่ามันคงเป็นเพียงจิตใต้สำนึกของเธอที่คาดหวังว่าจะได้ยินคำรักอย่างลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

****************************

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่