เมื่อวานผมได้มีโอกาสดูข่าวเกี่ยวกับน้ำมันรั่วเลยได้ยินคำสัมภาษณ์ของรองกก.ผจก.ใหญ่ บมจ. PTT โกลบอล เคมีคอลชื่อ นายพรเทพ บุตรนิพันธ์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ที่ออกจะแปลกๆในหลายๆคำพูด ซึ่งตัวผมเผอิญจบด้วยวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้พอดี เลยขอลองนำความรู้ที่ตัวเองพอจะมี ถ้าท่านใดมีข้อโต้แย้งก็ขอรบกวนด้วยนะครับ
ก่อนอื่นขออ้างอิงจากคลิปสรยุทธเจาะข่าวเด่น - น้ำมันรั่วพัดเข้าเกาะเสม็ด

1. นำสารเคมีโปรยทำให้น้ำใสไปแล้ว
ก่อนอื่น ไม่ได้บอกว่าสารเคมีที่ใช้นั้นมาจากไหน มีอยู่แล้วหรือนำเข้ามาจากสิงคโปรหลังเกิดเหตุ ถ้านำเข้ามาหลังเกิดเหตุแสดงว่าตัวบริษัทเองไม่มีแผนในการรับมือเมื่อเกิดการรั่วไหล เพราะสารเคมีพวกนี้จำเป็นต้องมีเตรียมไว้พร้อมตลอดเวลา แถมหลายประเทศเขาจะมีกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติของสารเคมีที่สามารถใช้ได้ แสดงว่าประเทศเราไม่มีกฎหมายกำหนดสารเคมีที่ใช้ได้อย่างนั้นหรือ? และสารเคมีนั้นเหมาะสมกับน้ำมันที่นำไปใช้ย่อยสลาย แล้วไม่กลายเป็นสารตกค้างที่เป็นพิษหรือไม่? ทางบริษัทได้คิดถึงจุดนี้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์รั่วไหลของ Deepwater Horizon ที่อ่าวเม็กซิโก 3 ปีผ่านมานั้น จากการตรวจสอบ Corexit สารเคมีหลักที่ใช้ในครั้งนั้นทำให้ความเป็นพิษของน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 52 เท่า
และที่บอกน้ำใสแล้ว เท่าที่ผมเคยทดลอง มันต้องกลายเป็นสีกาแฟและมีส่วนที่ตกค้างอยู่แน่นอน จะใสเลยนั้นเป็นไปไม่ได้

หรือถ้าจะบอกเป็นแบบผง ก็ยังต้องมีการตักเก็บ แต่ในคำสัมภาษณ์ไม่มีการบอกไม่น่าจะใช้สารแบบผง ยิ่งโปรยจากเครื่องบินยิ่งไม่น่าเป็นไปได้
2. ใช้ออยเฟนกั้นน้ำมันไว้แล้ว แต่เพราะคลื่นลมแรงทำให้หลุดออกมา แถมยังบอกว่าตะกอนที่ตกจากการโปรยสร้างนั้นรอดจากออยเฟนเข้าฝั่ง
เมื่อน้ำมันถูกสารเคมีเข้าทำปฎิกิริยากลายเป็นตะกอนแล้วนั้น มันจะไม่กลับไปเป็นน้ำมันอีก อย่างมากก็เป็นน้ำทะเลสีกาแฟก็เท่านั้น แต่ที่เข้ามาถึงเกาะเสม็ดมันน้ำมันเต็มๆ แสดงว่าส่วนที่ยังไม่โดยสารเคมีนั้นรอดหรือลอยผ่านโดยคลื่นจากออยเฟน แล้วที่บอกว่าโปรยหมดแล้วเนี่ย โกหกใช่ไหม?
นอกจากนี้การใช้ออยเฟนของบริษัทนั้น ถูกตามหลักการใช้หรือไม่?

ออยเฟนคืออุปกรณ์ยับยั้งการรั่วไหลของน้ำมันที่สำคัญชิ้นหนึ่ง เป็นรั้วกันลอยเหนือน้ำใช้สำหรับจำกัดบริเวณและบังคับการขยายขอบเขตของน้ำมัน ภายในรั้วจะบรรจุอากาศหรือก๊าซคาร์บอนเพื่อให้ลอยตัว ส่วนกระโปรงด้านข้างจะใช้วัตถุยับยั้งน้ำมันผ่าน ใต้ของรั้วก็จะเป็นน้ำหนักถ่วงป้องกันการพลิกของรั้ว แต่ก็ใช้ว่าออยเฟนจะสามารถหยุดยั้งน้ำมันได้หมด ยังมีกรณียกเว้นที่ความสามารถของออยเฟนไม่เพียงพอต้องการยับยั้งได้ จึงจำเป็นต้องศึกษาความสามารถของออยเฟนเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกวิธี
(ก.) เป้าหมายการใช้งาน ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจำเป็นต้องกางหรือไม่ การกางนั้นไร้ประโยชน์หรือไม่
(ข.) การกางออยเฟนนั้นไม่สามารถหยุดยั้งการขยายขอบเขตของน้ำมันได้ 100 เปอร์เซ็นต์
(ค.) โดยส่วนใหญ่กระแสน้ำมากกว่า 0.5 น็อต น้ำมันจะรอดใต้กระโปรงรั้วได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออยเฟน
(ง.) โดยส่วนใหญ่คลื่นทะเลมากกว่า 1-2 เมตร น้ำมันจะลอยข้ามได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออยเฟน
(จ.) ออยเฟนจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่สามารถใช้เพียงอย่างเดียวได้
3. หนึ่งอาทิตย์หาดขาว ธรรมชาติช่วยคืน น้ำมันดิบสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ
เหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันไม่เคยใช้เวลาสั้นๆในการจัดการให้หมด และยังไงก็ต้องเหลือความเสียหายอยู่แน่นอน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนบริเวณชายฝั่ง ธุรกิจท่องเที่ยว ประมง และสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น ส่วนการย่อยสลายตามธรรมชาตินั้นทำได้จริง แต่ต้องอาศัยเวลาที่ยาวนาน สภาพอากาศทั้งแดด คลื่นและลม รวมถึงสภาพของชายหาดว่าเอื้อต่อการย่อยสลายได้หรือไม่ ภาพด้านล่างคือการย่อยสลายโดยวิธีไบโอเรมิเดชั่นที่มีการควบคุมปัจจัยทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่เหมือนตามธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ เปอร์เซ็นต์ในการย่อยสลายในหนึ่งเดือนยังได้มากสุดแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ นี่แค่เจ็ดวันจะสลายทั้งหมด แถมควบคุมปัจจัยก็ไม่ได้ บอกได้คำเดียวว่า เป็นไปไม่ได้
และปิดท้ายประเด็นข่าวค่ำ - ความคืบหน้า PTT GC แก้ไขสถานการณ์น้ำมันรั่ว

ไม่รู้ว่าโกหกหรือไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบ
จับพิรุธคำสัมภาษณ์ของรองกก.ผจก.ใหญ่ บมจ. PTT โกลบอล เคมีคอล
ก่อนอื่นขออ้างอิงจากคลิปสรยุทธเจาะข่าวเด่น - น้ำมันรั่วพัดเข้าเกาะเสม็ด
1. นำสารเคมีโปรยทำให้น้ำใสไปแล้ว
ก่อนอื่น ไม่ได้บอกว่าสารเคมีที่ใช้นั้นมาจากไหน มีอยู่แล้วหรือนำเข้ามาจากสิงคโปรหลังเกิดเหตุ ถ้านำเข้ามาหลังเกิดเหตุแสดงว่าตัวบริษัทเองไม่มีแผนในการรับมือเมื่อเกิดการรั่วไหล เพราะสารเคมีพวกนี้จำเป็นต้องมีเตรียมไว้พร้อมตลอดเวลา แถมหลายประเทศเขาจะมีกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติของสารเคมีที่สามารถใช้ได้ แสดงว่าประเทศเราไม่มีกฎหมายกำหนดสารเคมีที่ใช้ได้อย่างนั้นหรือ? และสารเคมีนั้นเหมาะสมกับน้ำมันที่นำไปใช้ย่อยสลาย แล้วไม่กลายเป็นสารตกค้างที่เป็นพิษหรือไม่? ทางบริษัทได้คิดถึงจุดนี้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์รั่วไหลของ Deepwater Horizon ที่อ่าวเม็กซิโก 3 ปีผ่านมานั้น จากการตรวจสอบ Corexit สารเคมีหลักที่ใช้ในครั้งนั้นทำให้ความเป็นพิษของน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 52 เท่า
และที่บอกน้ำใสแล้ว เท่าที่ผมเคยทดลอง มันต้องกลายเป็นสีกาแฟและมีส่วนที่ตกค้างอยู่แน่นอน จะใสเลยนั้นเป็นไปไม่ได้
หรือถ้าจะบอกเป็นแบบผง ก็ยังต้องมีการตักเก็บ แต่ในคำสัมภาษณ์ไม่มีการบอกไม่น่าจะใช้สารแบบผง ยิ่งโปรยจากเครื่องบินยิ่งไม่น่าเป็นไปได้
2. ใช้ออยเฟนกั้นน้ำมันไว้แล้ว แต่เพราะคลื่นลมแรงทำให้หลุดออกมา แถมยังบอกว่าตะกอนที่ตกจากการโปรยสร้างนั้นรอดจากออยเฟนเข้าฝั่ง
เมื่อน้ำมันถูกสารเคมีเข้าทำปฎิกิริยากลายเป็นตะกอนแล้วนั้น มันจะไม่กลับไปเป็นน้ำมันอีก อย่างมากก็เป็นน้ำทะเลสีกาแฟก็เท่านั้น แต่ที่เข้ามาถึงเกาะเสม็ดมันน้ำมันเต็มๆ แสดงว่าส่วนที่ยังไม่โดยสารเคมีนั้นรอดหรือลอยผ่านโดยคลื่นจากออยเฟน แล้วที่บอกว่าโปรยหมดแล้วเนี่ย โกหกใช่ไหม?
นอกจากนี้การใช้ออยเฟนของบริษัทนั้น ถูกตามหลักการใช้หรือไม่?
ออยเฟนคืออุปกรณ์ยับยั้งการรั่วไหลของน้ำมันที่สำคัญชิ้นหนึ่ง เป็นรั้วกันลอยเหนือน้ำใช้สำหรับจำกัดบริเวณและบังคับการขยายขอบเขตของน้ำมัน ภายในรั้วจะบรรจุอากาศหรือก๊าซคาร์บอนเพื่อให้ลอยตัว ส่วนกระโปรงด้านข้างจะใช้วัตถุยับยั้งน้ำมันผ่าน ใต้ของรั้วก็จะเป็นน้ำหนักถ่วงป้องกันการพลิกของรั้ว แต่ก็ใช้ว่าออยเฟนจะสามารถหยุดยั้งน้ำมันได้หมด ยังมีกรณียกเว้นที่ความสามารถของออยเฟนไม่เพียงพอต้องการยับยั้งได้ จึงจำเป็นต้องศึกษาความสามารถของออยเฟนเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกวิธี
(ก.) เป้าหมายการใช้งาน ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจำเป็นต้องกางหรือไม่ การกางนั้นไร้ประโยชน์หรือไม่
(ข.) การกางออยเฟนนั้นไม่สามารถหยุดยั้งการขยายขอบเขตของน้ำมันได้ 100 เปอร์เซ็นต์
(ค.) โดยส่วนใหญ่กระแสน้ำมากกว่า 0.5 น็อต น้ำมันจะรอดใต้กระโปรงรั้วได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออยเฟน
(ง.) โดยส่วนใหญ่คลื่นทะเลมากกว่า 1-2 เมตร น้ำมันจะลอยข้ามได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออยเฟน
(จ.) ออยเฟนจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่สามารถใช้เพียงอย่างเดียวได้
3. หนึ่งอาทิตย์หาดขาว ธรรมชาติช่วยคืน น้ำมันดิบสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ
เหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันไม่เคยใช้เวลาสั้นๆในการจัดการให้หมด และยังไงก็ต้องเหลือความเสียหายอยู่แน่นอน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนบริเวณชายฝั่ง ธุรกิจท่องเที่ยว ประมง และสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น ส่วนการย่อยสลายตามธรรมชาตินั้นทำได้จริง แต่ต้องอาศัยเวลาที่ยาวนาน สภาพอากาศทั้งแดด คลื่นและลม รวมถึงสภาพของชายหาดว่าเอื้อต่อการย่อยสลายได้หรือไม่ ภาพด้านล่างคือการย่อยสลายโดยวิธีไบโอเรมิเดชั่นที่มีการควบคุมปัจจัยทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่เหมือนตามธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ เปอร์เซ็นต์ในการย่อยสลายในหนึ่งเดือนยังได้มากสุดแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ นี่แค่เจ็ดวันจะสลายทั้งหมด แถมควบคุมปัจจัยก็ไม่ได้ บอกได้คำเดียวว่า เป็นไปไม่ได้
และปิดท้ายประเด็นข่าวค่ำ - ความคืบหน้า PTT GC แก้ไขสถานการณ์น้ำมันรั่ว
ไม่รู้ว่าโกหกหรือไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบ