แล้วเราก็มาเจอกัน....เรื่องเล่าของเจนนิเฟอร์ คิ้ม ต่อแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต 45 ปี (พอร์ช และ พี่ต่ายเพ็ญพักตร์)





เล่นหูเล่นตา:แล้วเราก็มาเจอกัน

แล้วเราก็มาเจอกัน : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม




          ทันทีที่ฉันก้าวเท้าลงจากเวทีคอนเสิร์ต 45 ปีของตัวเอง ที่รอยัลพารากอนฮอลล์ ทุกอย่างจะถูกรื้อถอนย้ายออกไป เหลือเพียงห้องว่างเปล่าราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ... ทุกสิ่งจะกลายเป็นแค่ ... ความทรงจำ ... มันเป็นของมันเช่นนั้นในชีวิตคนเรา

           ฉันยังคงจดจำเรื่ิองราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องซ้อมก่อนมาถึงการแสดงในวันจริงได้ดี คนแรก "พอร์ช ศรัณย์" เด็กหนุ่มตัวสูงหน้าตาน่ารักที่เตี่ยกับแม่ชื่นชอบจากการดูละครช่อง 7 มาปรากฎตัวในห้องซ้อมครั้งแรกในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์มตัวโคร่ง เขาถอดรองเท้าผ้าใบวางไว้ข้างๆ เพราะคิดว่าพื้นในห้องซ้อมปูพรมห้ามใส่รองเท้าเข้ามา ฉันเปิดประตูเข้าไปเห็นรอยสักรูปมังกรพาดจากไหล่ขวาลงไปครึ่งตัว ... เอิ่ม ... ไม่ผิดตัวแล้วล่ะ ฉันจำรอยสักนี้ได้จากงานอีเว้นท์งานหนึ่ง เขาเป็นเด็กน่่ารัก ร่าเริง มีรอยยิ้มของเด็กและดวงตาสดใสเป็นประกายใคร่รู้ เขาหันมามองหน้าฉันทันทีที่ฉันโผล่หน้าเข้าไป ทำหน้างงๆ ฉันจึงทักขึ้นว่า

           "อ่า ... ป้าเอง ... วันนี้ไม่ได้แต่งหน้า น้องอย่างงสิลูก ป้าไม่ได้แอบเข้ามาขายล็อตเตอรี่บนตึกแกรมมี่!"
  
           เขาหัวเราะแล้วรีบยกมือไหว้แก้เขิน ... พอจับไมค์ปุ๊บเขาก็ตั้งอกตั้งใจซ้อม เสียงดีเกินกว่านักแสดงทั่วไป "เอิ่ม ... จะครบเครื่องเกินไปมั้ยลูก แสดงก็เก่ง ร้องเพลงก็เก่ง แล้วรุ่นป้าจะหารับทานยังไงล่ะลูก ไม่ต้องตั้งใจร้องบ้างก็ได้นะ!" ฉันแอบคิดในใจเวลาที่ฉันแนะนำให้เขาร้องขึ้นเสียงสูงหรือเลื่อนเสียงขึ้นไปให้มีลูกเล่น เขาก็ทำตามได้อย่างง่ายๆ ทันที (อือ ... อีเด็กรุ่นนี้พ่อแม่มันเอาอะไรเลี้ยงกันมานะ มันถึงได้หัวไว สอนง่ายสอนดายขนาดนี้)
  
           "พอร์ชเขาชอบร้องเพลงครับพี่ เมื่อก่อนตอนอยู่จันทบุรี เขาก็ร้องที่ร้านป้าเขา" ผู้จัดการที่มาด้วยบอกที่มาที่ไปของเขาให้ฉันหายสงสัย ช่วงซ้อมก็ตั้งใจซ้อม พอหยุดพักก็ตั้งใจคุย ... "ป้าขอเม้าท์เรื่องนี้หน่อย ป้าว่าไม่ไหวมะ ทำไมพอร์ชไม่เล่นเรื่องนี้ล่ะ" อือ ... คราวนี้คุยกันยาวเลย 45 เจอกับ 20 ป้ากะหลานเม้าท์กันอย่างเมามัน หัวเราะลั่นห้อง แต่ไม่สามารถนำมาเล่าต่อได้เพราะเป็นเรื่องเม้าท์มอยต่อยหอย! หัวใจของการซ้อมเพลงกับแขกรับเชิญ มันอยู่ตรงนี้แหละค่ะคุณตำรวจ!
  
           คนที่ 2 คือ พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล .... ฉันเคยเจอพี่ต่ายครั้งหนึ่งในห้องพักรายการอะไรสักอย่าง นางนั่งถักโครเชต์อยู่ใกล้ๆ อย่างมีสมาธิ ใบหน้าเรียวงามนั้นช่างดูงดงามและมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาแม้ว่าจะไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มก็ตาม นั่นมันนานหลายปีมาแล้ว ... แต่เวลานี้นางก้าวเท้าเข้ามาในห้องซ้อม รวบผมตึง ใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสวมแจ็กแก็ตทับกันหนาวอีกหนึ่งตัว ... นี่แหละพี่ต่ายตัวจริง! ดูเท่ห์ๆ สบายๆ แต่เซ็กซี่ที่สุด! คนมันจะเซ็กซี่มันไม่ต้องเผยอปากหรี่ตาหรือทำท่าอะไร แค่นางปรายตาก็เซ็กซี่แล้วเพราะมันคือความเซ็กซี่โดยธรรมชาติอ่ะค่ะคุณตำรวจ!
  
           ฉันยกมือไหว้สวัสดีพี่ต่ายขณะที่นางกางแขนเข้ามากอดทักทาย ... นางไม่ดุอย่างที่คิด แต่กลับเป็นกันเองมาก แค่นั้นฉันก็โล่งใจที่เลือกแขกรับเชิญคนที่ 2 ไม่ผิด เริ่มต้นดีที่เหลือก็ไม่ยาก แต่ ... ตอนซ้อมครั้งแรกเละกันทั้งคู่ ร้องไปหัวเราะไป พี่ต่ายดูจะเขินมากกว่าฉันเพราะเพลงของนางเอง แต่ความที่ไม่ได้ร้องมาเป็นสิบๆ ปี ก็เลยยังไม่เข้าปาก ... ฉันเลยยังไม่โอเค! ยิ่งตอนท่อนที่ร้องว่า "ฉันเลยโอเค" เข้ากันไม่ถูกจังหวะ ร้องไป เขินไป แลบลิ้นไป อือ ... นางน่ารักดี! ... มาถึงตอนต้องซ้อมเต้น นางใส่เสื้อยืดมา ฉันถึงได้เห็นว่า แม่เจ้า! นั่นเอวนางหรือนั่น ต้นขาฉันยังใหญ่กว่ามะ นางเล่าว่าตอนสาวๆ เอว 22 นิ้ว ตอนนี้ 24 นิ้ว นางเป็นผู้หญิงโบราณ มีอก มีก้น มีสะโพก มีเอวเล็กกะติ๊ด เท้านางก็เล็กมาก แค่นางยืนเฉยๆ ก็เซ็กซี่แล้ว พอ "ครูอาร์ท" ที่ออกแบบท่าเต้นและสอนเต้นบอกให้ฉันเดินเข้าไปประกบนางประมาณว่าท้าทายรุ่นพี่ ฉันมองหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า ... "จะไหวเหรอคะคุณตำรวจ!" ครูอาร์ทใช้สรรพนามเรียกฉันว่า "พระมเหสี" เรียกพี่ต่ายว่า "พระมหาเทวี" แล้วเรียกตัวเองว่า "ช่า" (มาช่า) ... เพ้อกันตั้งแต่ยังไม่แสดงจริง! ซ้อมเต้นเสร็จก็ต้องกลับมาซ้อมร้องต่ออีกรอบ วงทาเคชิของฉันอยู่กันครบยกเว้นโก้ มิสเตอร์แซกแมน ที่ช่วงนั้นไถนาอยู่ต่างประเทศ ยังไม่เข้ามาซ้อม ... พวกนักดนตรีอัดเสียงพี่ต่ายเพลง "คนไม่รักดี" ตัดเฉพาะท่อนที่ว่า "ตายไปเถอะ รีบไปตายซะที จะไปตายที่ไหนก็ไป ..." ซ้ำๆ แล้วเปิดฟังกันเล่นๆ ... ฉันตะโกนกลับไปว่า "ร้องให้พวกและผัวเก่า" การซ้อมเป็นไปอย่างเถิดเทิงและสนุกสนาน นักดนตรีระริกระรี้มาก อีจิ๊บ มือเบสเดินมากระซิบกับฉันว่า "ผมไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงแก สมัยเป็นวัยรุ่นรุ่นผมจะต้องมีรูปพี่ต่ายแปะอยู่ที่ฝาผนังกันเกือบทุกคน แกเซ็กซี่จริงๆ นะพี่ ..."
  
           "อือ ... กูรู้แล้วว่าพวกดีใจ ดีใจออกนอกหน้าเกินไปมั้ยพวก เดี๋ยวกูจะถ่ายรูปท่าเดียวกันกับพี่เขาแล้วแจกพวกเอาไปติดฝาบ้านจะได้สงบใจได้ซะที ... เอามั้ย?" พวกมันวงแตกแยกกันเดินออกจากห้องกินข้าวทิ้งให้ฉันยืนโง่อยู่คนเดียว "ชิ! พี่ต่ายเขามีนิดเดียว ฉันนี่สิมีมากกว่าพี่ต่ายทุกอย่าง ปริมาณคับฝาผนัง ... ยังจะเดินหนี ... ไอ้คนไม่รักดี!"
  
           ตอนซ้อมร้องไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับฉันเพราะอย่างเก่งก็แค่เสียงสูงเสียงต่ำ แต่ตอนเต้นเนี่ยเซ่ ... เข่าที่ทำท่าจะสึกจนหมอต้องบอกให้ลดน้ำหนักดันมาเจอท่ายากเข้าให้อีก ฉันต้องขอร้องครูอาร์ทว่ "ขอท่าง่ายๆ นะคะคุณน้อง พระมเหสีไม่ถนัดท่ายาก ถ้าเก่งขนาดนั้นมีผัวไปนานแล้วมะ? คุณพี่ยังเข่าไม่ดีอยู่เกรงว่าพอถึงตอนแสดงจริงอาจต้องใช้วอล์คเกอร์ช่วยเดินบนเวที เกรงว่าจะไม่งามนะคะ" ฉันหันไปมองหน้าพี่ต่ายแล้วนั่งบ่นกันเรื่องสังขาร ต่างคนต่างลองกานอยด์ทั้งคู่ หน้ายังพอใช้โบท็อกซ์ช่วยได้ แต่เข่านี่ไม่รู้จะเอาอะไรฉีด พี่ต่ายเล่าว่า ...
  
           "ของพี่นี่เข่าไม่ค่อยดีเพราะส้นสูง พี่เคยล้มที่ร้าน (ร้านไวน์ของนางที่ถ.นิมมานเหมินทร์ เชียงใหม่) ดังตึงลั่นร้าน พนักงานรีบมาช่วยกันพยุง เจ็บก็เจ็บ อายก็อาย แต่เสียฟอร์ไม่ได้ ต้องกัดฟันลุกขึ้นเองแค่เกาะแขนลูกน้องไว้. ..." เล่าไปนางก็หัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี ยิ่งซ้อมมากขึ้นก็ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ขอบคุณอะไรไม่รู้ที่ทำให้เรามาเจอกัน ... ตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังเรื่องพี่นก ฉัตรชัย รับรองสนุกแน่!

.......................................
(หมายเหตุ แล้วเราก็มาเจอกัน : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตาโดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20130729/164515/เล่นหูเล่นตา:แล้วเราก็มาเจอกัน.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่