เพียงเพราะมีสมาชิกท่านหนึ่ง โพสต์ข้อความของท่านพุทธทาสที่กล่าวว่า "ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด"
กลุ่มคนที่มีสภาวะทางจิตประสาทเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็ถึงกับ อดกลั้น อกุศลจิต เอาไว้ไม่ไหว
ถึงขนาดต้องออกมา ก่นด่า ปรามาส พระมหาเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม อย่างท่านพุทธทาส
ด้วยข้อความ "หยาบช้า" อย่างปราศจาก สติ และสามัญสำนึกของชาวพุทธที่ดี
ประเด็นที่พึงพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ คำกล่าวที่ว่า "ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด"
สมควรนับว่าเป็น ทิฐิอันวิบัติ สมดังคำของผู้ที่มีอาการทางจิตประสาท คนนั้น กล่าวเอาไว้ จริงหรือไม่ ?
เมื่อพิจารณา พุทธพจน์ จาก จินตสูตร ได้ความดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงเรื่องชายผู้หนึ่ง ที่เมาหมกครุ่นคิดเรื่อง "โลก"
ปรากฏว่า ชายผู้นั้น ได้พบเห็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งเข้า ซึ่งทั้งตัวของเขาเอง และ ชาวบ้านชาวเมืองโดยทั่วไป ล้วนกล่าวตรงกันว่า
เรื่องดังกล่าว มันเป็นไปไม่ได้ ชายคนนั้นก็เข้าใจว่าตนเอง บ้าไปแล้วแน่ๆ ชาวบ้านชาวเมือง ก็เห็นว่า ชายผู้นั้น เป็นบ้าไปแล้วเช่นกัน
โดยเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ เป็นกรณีที่ชายผู้นั้น ได้พบเห็นเรื่องเหล่านั้นจริงๆ นะครับ
ดังนั้น ประเด็นจึงมิได้อยู่ที่ว่า เรื่องที่เป็นประเด็นปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
เพราะแม้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่หากว่าตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจ
ต่อสิ่งที่พบเห็นได้อย่างถูกต้องตรงกับสภาวะธรรม ตามความเป็นจริง
หรือ ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ หรือมิอาจแสดงให้ผู้อื่นเห็น(จริง)ตามได้ มันก็ไม่มีประโยชน์
โดยไม่นับถึงพวกที่มักพูดว่า เชื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยที่ไม่เคยรู้เห็นด้วยตนเอง เลยแม้สักอย่างเดียว
ไอ้พวกนั้น เขาเรียกว่า การหลับหูหลับตาเชื่อ แบบโง่ๆ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง !
แต่ในท้ายที่สุด พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนว่า ................
(๑) "เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่อง "โลก" ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์ตายแล้วเกิดอีก ฯลฯ"
(๒) "เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ฯลฯ"
(๓) "เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดในเรื่อง ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ฯลฯ"
ซึ่งพุทธพจน์ดังกล่าว ที่ตรัสว่า ไม่พึงคิดเรื่อง "โลก" เช่น สัตว์ตายแล้วเกิด เป็นต้น เพราะไม่มีประโยชน์นั้น
มีความสอดคล้องกันอย่างยิ่งกับ พุทธพจน์จาก อจินติตสูตร ที่ตรัสว่า ความคิดเรื่องโลกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด
เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า (แบบเดียวกับชายผู้เมาหมกในการคิดเรื่องโลกจาก อจินตสูตร นั่นเอง)
ประเด็นที่ท่านทั้งหลาย น่าจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ก็คือ คำถามทำนองว่า สัตว์ตายแล้วเกิด(หรือไม่เกิด)
นั้นเป็น อัพยากฤตปัญหา ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเป็นการถามที่ไม่ประกอบด้วยอรรถ
ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ฯลฯ หลักฐานเรื่องนี้ ยังชัดเจนไม่พออีกหรือครับ ?
อีกทั้ง สิ่งที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพยากรณ์ ก็มีแต่เรื่องทุกข์และความดับทุกข์ เช่น อริยสัจ ๔
มรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ หรือ ก็คือ โพธิปักขิยธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เนื่องกับความดับทุกข์ ทั้งสิ้น
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คำสอนของท่านพุทธทาส จะจัดว่าเป็น ทิฐิ อันวิบัติ ได้อย่างไร ?
เพราะถ้าหาก นายคนนั้น ยังจะยืนยันว่า คำสอนของท่านพุทธทาสเป็นทิฐิอันวิบัติ
ก็จะเท่ากับการกล่าววจาบจ้วงไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากท่านพุทธทาส ก็สอนอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ดังที่ปรากฏหลักฐานจากพระไตรปิฎก อยู่อย่างชัดเจน !
อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ หากว่านายคนนั้น ไม่พอใจที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า
"ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด"
ในเมื่อ นายคนนั้นและพวก ไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็น "คนโง่" ที่เมาหมกอยู่แต่กับ "คำถามโง่ๆ"
ก็จงชี้แจง "เหตุผล" ต่อชาวพุทธทั้งหลายให้ได้สิว่า ต่อกรณีที่ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า
(๑) ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามธรรม และไม่เป็นประโยชน์ในทางดับทุกข์
(๒) ไม่ควรคิด เพราะจะทำให้ผู้คิด มีส่วนแห่งความเป็น บ้า เดือดร้อน
นั้นเป็นกรณี คำถาม หรือ การถาม ที่ "ไม่โง่" ได้ด้วยอาการอย่างไร ?
แต่สิ่งที่มันและพวก จำเป็นต้องอธิบายให้ได้ ก็คือ การปรามาสท่านพุทธทาส และการปฏิเสธคำสอนของท่านพุทธทาส
ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธและปรามาสพระรัตนตรัย เนื่องจาก คำสอนของท่านพุทธทาสนั้นสอดคล้องอย่างยิ่งกับพุทธพจน์
ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริงในพระไตรปิฎก ที่พวกมันมักอวดอ้างตนว่าเป็นผู้ "ปกป้อง" อยู่นั้นแหละ
เพียงเพราะ เกลียดพระ ที่สอนไม่ตรงกับใจ(ชั่วๆ)ของตน แม้ว่าท่านจะสอนอย่างสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันกับพุทธพจน์
ไอ้คนพวกนี้ ถึงกับกล่าวปรามาสว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ที่ท่านพุทธทาสนำมาสอน เป็นทิฐิอันวิบัติไปเสียได้
ดังนั้น เมื่อพวกมันปฏิเสธว่า คำสอน(ที่ถูกต้อง)ดังกล่าว มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เท่ากับเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าเสียเอง ซึ่งย่อมจะต้องประสบกับบาปกรรม มิใช่น้อย
ผมยังสงสัยอยู่ว่า นี่มันจะรู้สึกตัวบ้างไหมหนอ ?
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้เห็นความรับผิดชอบ จากคนพวกนี้
โดยปราศจาก การแกล้งตาย หรือ ฝลัดกระทู้ไร้สาระอย่างโง่ๆ นะครับ !
ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด
กลุ่มคนที่มีสภาวะทางจิตประสาทเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็ถึงกับ อดกลั้น อกุศลจิต เอาไว้ไม่ไหว
ถึงขนาดต้องออกมา ก่นด่า ปรามาส พระมหาเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม อย่างท่านพุทธทาส
ด้วยข้อความ "หยาบช้า" อย่างปราศจาก สติ และสามัญสำนึกของชาวพุทธที่ดี
ประเด็นที่พึงพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ คำกล่าวที่ว่า "ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด"
สมควรนับว่าเป็น ทิฐิอันวิบัติ สมดังคำของผู้ที่มีอาการทางจิตประสาท คนนั้น กล่าวเอาไว้ จริงหรือไม่ ?
เมื่อพิจารณา พุทธพจน์ จาก จินตสูตร ได้ความดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงเรื่องชายผู้หนึ่ง ที่เมาหมกครุ่นคิดเรื่อง "โลก"
ปรากฏว่า ชายผู้นั้น ได้พบเห็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งเข้า ซึ่งทั้งตัวของเขาเอง และ ชาวบ้านชาวเมืองโดยทั่วไป ล้วนกล่าวตรงกันว่า
เรื่องดังกล่าว มันเป็นไปไม่ได้ ชายคนนั้นก็เข้าใจว่าตนเอง บ้าไปแล้วแน่ๆ ชาวบ้านชาวเมือง ก็เห็นว่า ชายผู้นั้น เป็นบ้าไปแล้วเช่นกัน
โดยเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ เป็นกรณีที่ชายผู้นั้น ได้พบเห็นเรื่องเหล่านั้นจริงๆ นะครับ
ดังนั้น ประเด็นจึงมิได้อยู่ที่ว่า เรื่องที่เป็นประเด็นปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
เพราะแม้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่หากว่าตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจ
ต่อสิ่งที่พบเห็นได้อย่างถูกต้องตรงกับสภาวะธรรม ตามความเป็นจริง
หรือ ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ หรือมิอาจแสดงให้ผู้อื่นเห็น(จริง)ตามได้ มันก็ไม่มีประโยชน์
โดยไม่นับถึงพวกที่มักพูดว่า เชื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยที่ไม่เคยรู้เห็นด้วยตนเอง เลยแม้สักอย่างเดียว
ไอ้พวกนั้น เขาเรียกว่า การหลับหูหลับตาเชื่อ แบบโง่ๆ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง !
แต่ในท้ายที่สุด พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนว่า ................
(๑) "เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่อง "โลก" ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์ตายแล้วเกิดอีก ฯลฯ"
(๒) "เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ฯลฯ"
(๓) "เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดในเรื่อง ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ฯลฯ"
ซึ่งพุทธพจน์ดังกล่าว ที่ตรัสว่า ไม่พึงคิดเรื่อง "โลก" เช่น สัตว์ตายแล้วเกิด เป็นต้น เพราะไม่มีประโยชน์นั้น
มีความสอดคล้องกันอย่างยิ่งกับ พุทธพจน์จาก อจินติตสูตร ที่ตรัสว่า ความคิดเรื่องโลกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด
เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า (แบบเดียวกับชายผู้เมาหมกในการคิดเรื่องโลกจาก อจินตสูตร นั่นเอง)
ประเด็นที่ท่านทั้งหลาย น่าจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ก็คือ คำถามทำนองว่า สัตว์ตายแล้วเกิด(หรือไม่เกิด)
นั้นเป็น อัพยากฤตปัญหา ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเป็นการถามที่ไม่ประกอบด้วยอรรถ
ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ฯลฯ หลักฐานเรื่องนี้ ยังชัดเจนไม่พออีกหรือครับ ?
อีกทั้ง สิ่งที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพยากรณ์ ก็มีแต่เรื่องทุกข์และความดับทุกข์ เช่น อริยสัจ ๔
มรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ หรือ ก็คือ โพธิปักขิยธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เนื่องกับความดับทุกข์ ทั้งสิ้น
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คำสอนของท่านพุทธทาส จะจัดว่าเป็น ทิฐิ อันวิบัติ ได้อย่างไร ?
เพราะถ้าหาก นายคนนั้น ยังจะยืนยันว่า คำสอนของท่านพุทธทาสเป็นทิฐิอันวิบัติ
ก็จะเท่ากับการกล่าววจาบจ้วงไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากท่านพุทธทาส ก็สอนอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ดังที่ปรากฏหลักฐานจากพระไตรปิฎก อยู่อย่างชัดเจน !
อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ หากว่านายคนนั้น ไม่พอใจที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า
"ตายแล้วเกิดหรือไม่ เป็นคำถามที่โง่ที่สุด"
ในเมื่อ นายคนนั้นและพวก ไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็น "คนโง่" ที่เมาหมกอยู่แต่กับ "คำถามโง่ๆ"
ก็จงชี้แจง "เหตุผล" ต่อชาวพุทธทั้งหลายให้ได้สิว่า ต่อกรณีที่ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า
(๑) ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามธรรม และไม่เป็นประโยชน์ในทางดับทุกข์
(๒) ไม่ควรคิด เพราะจะทำให้ผู้คิด มีส่วนแห่งความเป็น บ้า เดือดร้อน
นั้นเป็นกรณี คำถาม หรือ การถาม ที่ "ไม่โง่" ได้ด้วยอาการอย่างไร ?
แต่สิ่งที่มันและพวก จำเป็นต้องอธิบายให้ได้ ก็คือ การปรามาสท่านพุทธทาส และการปฏิเสธคำสอนของท่านพุทธทาส
ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธและปรามาสพระรัตนตรัย เนื่องจาก คำสอนของท่านพุทธทาสนั้นสอดคล้องอย่างยิ่งกับพุทธพจน์
ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริงในพระไตรปิฎก ที่พวกมันมักอวดอ้างตนว่าเป็นผู้ "ปกป้อง" อยู่นั้นแหละ
เพียงเพราะ เกลียดพระ ที่สอนไม่ตรงกับใจ(ชั่วๆ)ของตน แม้ว่าท่านจะสอนอย่างสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันกับพุทธพจน์
ไอ้คนพวกนี้ ถึงกับกล่าวปรามาสว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ที่ท่านพุทธทาสนำมาสอน เป็นทิฐิอันวิบัติไปเสียได้
ดังนั้น เมื่อพวกมันปฏิเสธว่า คำสอน(ที่ถูกต้อง)ดังกล่าว มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เท่ากับเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าเสียเอง ซึ่งย่อมจะต้องประสบกับบาปกรรม มิใช่น้อย
ผมยังสงสัยอยู่ว่า นี่มันจะรู้สึกตัวบ้างไหมหนอ ?
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้เห็นความรับผิดชอบ จากคนพวกนี้
โดยปราศจาก การแกล้งตาย หรือ ฝลัดกระทู้ไร้สาระอย่างโง่ๆ นะครับ !