มีเรื่องที่อยากจะขอแชร์ไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ
เมื่อสมัยวัยรุ่นผมก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และได้พักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย โดยในห้องพักของผมจะมีเพื่อนที่อยู่ร่วมกันสามคน คละคณะกัน ซึ่งเพื่อน ๆ และตัวผมเองจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่ประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยู่ในปีถัดไป
ในเทอมแรกชีวิตของพวกเราทั้งสามก็ดำเนินไปตามปกติครับ ได้ร่วมรับน้องหอ และได้ทำกิจกรรมของหอร่วมกัน พร้อมกับเรียนหนังสือไปตามวิชาที่ตนเองถนัด แต่ด้วยนิสัยของผมค่อนข้างจะอ่อนไหว และที่สำคัญผมยอมรับว่าผมเป็นชายรักชาย (ไม่แสดงออก) ทำให้ผมเริ่มหลงไปกับความสนิทสนมกับเพื่อนที่เป็นชายแท้ โดยเฉพาะรูมเมทคนหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกแอบชอบมาตั้งแต่แรกเห็น ผมเองในช่วงเย็นหลังจากการเรียนก็จะออกไปหางานพิเศษทำตามโรงแรม ก็ชอบที่จะซื้อของกินในละแวกนั้นมาฝากเพื่อนในห้องอยู่ประจำ โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่น (ไม่ขอระบุชนิดของอาหาร) ซึ่งเพื่อนผมคนนี้จะชอบเป็นพิเศษ และจะวานให้ผมช่วยซื้อมาให้กินบ่อย ๆ ซึ่งผมก็ยินดีจะทำให้เสมอ (เพราะแอบชอบเขานินะ)
แต่เมื่อนาน ๆ เข้า จนล่วงเทอมปลาย ความรู้สึกชอบมันก็กลายเป็นความลุ่มหลง และจากความหลงมันก็กลายเป็นหลงผิดครับ ผมจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่่เลวร้ายที่สุดในชีวิตลงไป เพราะผมได้แอบใส่ยานอนหลับให้ปนไปในอาหารที่ซื้อมาฝากนั้นด้วย ในคืนวันนั้นเพื่อนเขาก็กินมันลงไปโดยไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไร และมันก็ได้ผลครับ เขามีอาการง่วงนอนและบ่นว่าปวดหัวอยู่พักใหญ่ก่อนจะหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ในใจผมเองตอนนั้นก็ยังถูกคอบงำด้วยความหลงผิดอยู่จึงรอให้เพื่อนอีกคนหลับไป ผมแกล้งทำเป็นหลับบ้างแล้วดับไฟห้อง ก่อนที่จะลุกไปหาที่เตียงเขาเพื่อจะดูว่าหลับสนิทหรือยัง ผมลองเขย่าและลูบที่ขาของเขาสองสามครั้ง แต่ก่อนที่จะทำอะไรไปมากกว่านั้น...เขาตื่นครับ และถามขึ้นว่า "ทำอะไร" ตอนนั้นผมเองตกใจสุดขีดและความละอายต่อบาปก็เข้ามาปลุกสติผมให้ตื่นขึ้นแล้ว แต่ความที่ยังกลัวผิดผมก็ตอบไปว่า "กูจะยืมของหน่อย" เพื่อนผมตอบกลับมาว่า "กูไม่มีของให้ยืม ไปให้พ้นเลย" แล้วผมก็รีบผละจากเตียงเขารีบกลับมานอนคลุมโปงทั้งคืนจนหลับไป
หลังจากคืนนั้น ความสัมพันธ์ของเมทกับผมก็เปลี่ยนไป เราไม่ได้คุยกันอีกเลยแม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกัน ผมเองก็ไม่ได้ซื้อของมาฝากเหมือนเคย คิดว่าเขารู้และจะระแวงไม่กล้ากินของที่ผมซื้อมาอีก และผมก็แทบจะมองหน้าเขาไม่ติดอีกเลย ในขณะที่เพื่อนอีกคนก็ไม่ได้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน ผมได้ทำให้มิตรภาพที่ดีที่เคยมีมานั้นสูญสิ้นไปอย่างไม่น่าให้อภัย ความจริงเขาอาจจะฟ้องอาจารย์คุมหอหรือเรียกตำรวจมาจับผมเสียก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ ซึ่งผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาอายหรือเพราะเหตุอย่างใด แต่มันก็ยังเป็นเช่นนั้นไปจนหมดปี 1 เขาเองได้ตัดสินใจย้ายออกไปจากหอ ส่วนผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งก็ยังอยู่ในหอต่อไปแต่แยกย้ายกันไปอยู่ห้องอื่น ในช่วงปี 2 ผมยังได้เจอเมทเก่าคนนั้นอยู่ข้างนอกโดยบังเอิญบ้าง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการทักทายกันอย่างผิวเผินแล้วรีบเดินผ่านไปให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลยจนจบการศึกษา และหลังจากเรื่องนั้นผมก็เลยไม่เคยสั่งอาหารญี่ปุ่นที่เคยซื้อให้เขากินอีกเลย ถ้าไปกินอาหารญี่ปุ่นกับคนอื่นผมก็จะไม่แตะต้องอาหารจานนั้นด้วย เพราะมันเป็นเครื่องเตือนถึงความเลวที่ผมได้เคยทำไว้ในชาตินี้
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผมได้ทราบข่าวจากเมทอีกคนของผมนั้นว่า เมทเก่าที่ผมเคยแอบชอบมีหน้าที่การงานที่ดีและกำลังจะแต่งงาน ผมได้แต่นึกยินดีอยู่ในใจแต่ก็คงไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งของเขาแน่นอน ผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเขาจะยังเห็นผมเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า แต่ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกก็อยากจะขอโทษเขาสักครั้ง ...แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ เมทคนนั้นได้เสียชีวิตลงกระทันหันจากอุบัติเหตุ เป็นข่าวที่ค่อนข้างสะเทือนใจคนในครอบครัวเขามาก ผมเองเมื่อรู้ข่าวแล้วก็ถึงกับช็อคพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่นั่งนึกเสียใจ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ว่าเราได้เคยทำให้คนที่เป็นที่รักของหลาย ๆ คนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน และผมก็จะไม่ได้มีโอกาสได้ขอโทษเขาหรือขอให้เขาอโหสิให้เลย ผมก็รู้สึกปลงตกมากขึ้นเมื่อได้ทราบข่าวการตายของเมทเก่าคนนี้ และความตายของเขาก็ได้สอนชีวิตผมมากมาย เพราะเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องความเฉลียวฉลาด ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่นในการงานที่รัก ความสัมพันธ์กับสังคมรอบตัวเขาที่งดงาม และคุณธรรม ซึ่งต่างกับชีวิตผมมากนัก ความตายของเขาทำให้ผมได้สำนึกและตระหนักในการใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในทุก ๆ วัน เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนถึงตัวเมื่อไร
ในปัจจุบันผมได้เปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตไปจากเดิมเพราะได้ธรรมะช่วยขัดเกลาชีวิตให้ผมรอดจากความลุ่มหลงไปในความเป็นชายรักชายของผม แต่ก็เหมือนเป็นกรรมของคนจำพวกอย่างผมครับ ที่จะไม่ได้สมหวังในความรักเหมือนอย่างคนทั่ว ๆ ไป เพราะในพระวินัยระบุว่า เพศชายรักชายหรือบัณเฑาะก์ เป็นเพศที่มากด้วยกำหนัดเป็นวิสัย ถ้าไม่ได้รับการขัดเกลาก็จะไม่สามารถระงับดับความกระวนกระวายในความต้องการได้ ก็จะแสวงหาเรื่อยไป และบัณเฑาะว์บางจำพวกก็ถูกห้ามมิให้บวชด้วย แต่ส่วนตัวแล้วผมเคยบวชเป็นพระในวัดที่สงบแห่งหนึ่ง (ผมไม่ใช่กลุ่มที่ถูกห้ามโดยพระวินัย) ก็ได้พยายามสำรวมระวังอยู่กิจวัตรอยู่ในพรรษาโดยไม่มีความเสื่อมเสียอย่างใด แต่ก็อาจจะมีอารมณ์อย่างคนธรรมดาทั่วไปที่มีรักโลภโกรธหลงบ้าง แต่ก็พยายามรักษาเพศสมณะไว้ได้อยู่ 9 เดือน จึงออกมาใช้ชีวิตฆราวาสตามเดิม
ในช่วงเข้าพรรษานี้ผมก็ได้ตั้งใจแล้วว่า จะพยายามรักษากายใจให้พ้นไปจากเรื่องความลุ่มหลงในกำหนัดแบบชายรักชายสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการไถ่ถอนและอุทิศเป็นบุญให้กับเมทคนนี้ที่เสียชีวิตไป ผมคิดว่าการทำบุญด้วยการปฏิบัติเช่นนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะตัวผมเองไม่มีเวลาได้ไปวัดเหมือนก่อนแล้ว แต่จะพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยมีชีวิตอยู่ เพื่อหวังว่าถ้าชาติภพต่อไปมีจริง ผมจะได้ไม่ต้องมาเกิดเป็นเพศนี้อีก ถึงแม้ว่าในสังคมยุคนี้จะยอมรับเพศสภาพและความหลากหลายทางเพศแล้วก็ตาม
ถ้าใครจะสาปส่งผม ผมก็ไม่ว่าครับ เพราะมันเป็นตัวตนของผมในอดีต ผมเข้าใจดี และคิดว่าที่ผมกล้าที่จะนำเรื่องราวที่เล่านี้มาแชร์ ก็เพื่อจะเตือนใจคนทุกคนว่า จะทำอะไร ก็ต้องคิดถึงใจคนที่ถูกเรากระทำบ้าง เพราะไม่รู้ว่า เราจะได้มีโอกาสได้กล่าวคำขอโทษ หรือคำขออโหสิ ในยามที่พวกเรา ยังมีชีวิตกันอยู่หรือไม่
ผมมีเรื่องอยากสารภาพครับ และอยากถามว่า ผมเลวมากมั้ยกับเรื่องที่เกิดขึ้น?
เมื่อสมัยวัยรุ่นผมก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และได้พักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย โดยในห้องพักของผมจะมีเพื่อนที่อยู่ร่วมกันสามคน คละคณะกัน ซึ่งเพื่อน ๆ และตัวผมเองจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่ประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยู่ในปีถัดไป
ในเทอมแรกชีวิตของพวกเราทั้งสามก็ดำเนินไปตามปกติครับ ได้ร่วมรับน้องหอ และได้ทำกิจกรรมของหอร่วมกัน พร้อมกับเรียนหนังสือไปตามวิชาที่ตนเองถนัด แต่ด้วยนิสัยของผมค่อนข้างจะอ่อนไหว และที่สำคัญผมยอมรับว่าผมเป็นชายรักชาย (ไม่แสดงออก) ทำให้ผมเริ่มหลงไปกับความสนิทสนมกับเพื่อนที่เป็นชายแท้ โดยเฉพาะรูมเมทคนหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกแอบชอบมาตั้งแต่แรกเห็น ผมเองในช่วงเย็นหลังจากการเรียนก็จะออกไปหางานพิเศษทำตามโรงแรม ก็ชอบที่จะซื้อของกินในละแวกนั้นมาฝากเพื่อนในห้องอยู่ประจำ โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่น (ไม่ขอระบุชนิดของอาหาร) ซึ่งเพื่อนผมคนนี้จะชอบเป็นพิเศษ และจะวานให้ผมช่วยซื้อมาให้กินบ่อย ๆ ซึ่งผมก็ยินดีจะทำให้เสมอ (เพราะแอบชอบเขานินะ)
แต่เมื่อนาน ๆ เข้า จนล่วงเทอมปลาย ความรู้สึกชอบมันก็กลายเป็นความลุ่มหลง และจากความหลงมันก็กลายเป็นหลงผิดครับ ผมจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่่เลวร้ายที่สุดในชีวิตลงไป เพราะผมได้แอบใส่ยานอนหลับให้ปนไปในอาหารที่ซื้อมาฝากนั้นด้วย ในคืนวันนั้นเพื่อนเขาก็กินมันลงไปโดยไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไร และมันก็ได้ผลครับ เขามีอาการง่วงนอนและบ่นว่าปวดหัวอยู่พักใหญ่ก่อนจะหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ในใจผมเองตอนนั้นก็ยังถูกคอบงำด้วยความหลงผิดอยู่จึงรอให้เพื่อนอีกคนหลับไป ผมแกล้งทำเป็นหลับบ้างแล้วดับไฟห้อง ก่อนที่จะลุกไปหาที่เตียงเขาเพื่อจะดูว่าหลับสนิทหรือยัง ผมลองเขย่าและลูบที่ขาของเขาสองสามครั้ง แต่ก่อนที่จะทำอะไรไปมากกว่านั้น...เขาตื่นครับ และถามขึ้นว่า "ทำอะไร" ตอนนั้นผมเองตกใจสุดขีดและความละอายต่อบาปก็เข้ามาปลุกสติผมให้ตื่นขึ้นแล้ว แต่ความที่ยังกลัวผิดผมก็ตอบไปว่า "กูจะยืมของหน่อย" เพื่อนผมตอบกลับมาว่า "กูไม่มีของให้ยืม ไปให้พ้นเลย" แล้วผมก็รีบผละจากเตียงเขารีบกลับมานอนคลุมโปงทั้งคืนจนหลับไป
หลังจากคืนนั้น ความสัมพันธ์ของเมทกับผมก็เปลี่ยนไป เราไม่ได้คุยกันอีกเลยแม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกัน ผมเองก็ไม่ได้ซื้อของมาฝากเหมือนเคย คิดว่าเขารู้และจะระแวงไม่กล้ากินของที่ผมซื้อมาอีก และผมก็แทบจะมองหน้าเขาไม่ติดอีกเลย ในขณะที่เพื่อนอีกคนก็ไม่ได้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน ผมได้ทำให้มิตรภาพที่ดีที่เคยมีมานั้นสูญสิ้นไปอย่างไม่น่าให้อภัย ความจริงเขาอาจจะฟ้องอาจารย์คุมหอหรือเรียกตำรวจมาจับผมเสียก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ ซึ่งผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาอายหรือเพราะเหตุอย่างใด แต่มันก็ยังเป็นเช่นนั้นไปจนหมดปี 1 เขาเองได้ตัดสินใจย้ายออกไปจากหอ ส่วนผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งก็ยังอยู่ในหอต่อไปแต่แยกย้ายกันไปอยู่ห้องอื่น ในช่วงปี 2 ผมยังได้เจอเมทเก่าคนนั้นอยู่ข้างนอกโดยบังเอิญบ้าง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการทักทายกันอย่างผิวเผินแล้วรีบเดินผ่านไปให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลยจนจบการศึกษา และหลังจากเรื่องนั้นผมก็เลยไม่เคยสั่งอาหารญี่ปุ่นที่เคยซื้อให้เขากินอีกเลย ถ้าไปกินอาหารญี่ปุ่นกับคนอื่นผมก็จะไม่แตะต้องอาหารจานนั้นด้วย เพราะมันเป็นเครื่องเตือนถึงความเลวที่ผมได้เคยทำไว้ในชาตินี้
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผมได้ทราบข่าวจากเมทอีกคนของผมนั้นว่า เมทเก่าที่ผมเคยแอบชอบมีหน้าที่การงานที่ดีและกำลังจะแต่งงาน ผมได้แต่นึกยินดีอยู่ในใจแต่ก็คงไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งของเขาแน่นอน ผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเขาจะยังเห็นผมเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า แต่ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกก็อยากจะขอโทษเขาสักครั้ง ...แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ เมทคนนั้นได้เสียชีวิตลงกระทันหันจากอุบัติเหตุ เป็นข่าวที่ค่อนข้างสะเทือนใจคนในครอบครัวเขามาก ผมเองเมื่อรู้ข่าวแล้วก็ถึงกับช็อคพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่นั่งนึกเสียใจ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ว่าเราได้เคยทำให้คนที่เป็นที่รักของหลาย ๆ คนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน และผมก็จะไม่ได้มีโอกาสได้ขอโทษเขาหรือขอให้เขาอโหสิให้เลย ผมก็รู้สึกปลงตกมากขึ้นเมื่อได้ทราบข่าวการตายของเมทเก่าคนนี้ และความตายของเขาก็ได้สอนชีวิตผมมากมาย เพราะเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องความเฉลียวฉลาด ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่นในการงานที่รัก ความสัมพันธ์กับสังคมรอบตัวเขาที่งดงาม และคุณธรรม ซึ่งต่างกับชีวิตผมมากนัก ความตายของเขาทำให้ผมได้สำนึกและตระหนักในการใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในทุก ๆ วัน เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนถึงตัวเมื่อไร
ในปัจจุบันผมได้เปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตไปจากเดิมเพราะได้ธรรมะช่วยขัดเกลาชีวิตให้ผมรอดจากความลุ่มหลงไปในความเป็นชายรักชายของผม แต่ก็เหมือนเป็นกรรมของคนจำพวกอย่างผมครับ ที่จะไม่ได้สมหวังในความรักเหมือนอย่างคนทั่ว ๆ ไป เพราะในพระวินัยระบุว่า เพศชายรักชายหรือบัณเฑาะก์ เป็นเพศที่มากด้วยกำหนัดเป็นวิสัย ถ้าไม่ได้รับการขัดเกลาก็จะไม่สามารถระงับดับความกระวนกระวายในความต้องการได้ ก็จะแสวงหาเรื่อยไป และบัณเฑาะว์บางจำพวกก็ถูกห้ามมิให้บวชด้วย แต่ส่วนตัวแล้วผมเคยบวชเป็นพระในวัดที่สงบแห่งหนึ่ง (ผมไม่ใช่กลุ่มที่ถูกห้ามโดยพระวินัย) ก็ได้พยายามสำรวมระวังอยู่กิจวัตรอยู่ในพรรษาโดยไม่มีความเสื่อมเสียอย่างใด แต่ก็อาจจะมีอารมณ์อย่างคนธรรมดาทั่วไปที่มีรักโลภโกรธหลงบ้าง แต่ก็พยายามรักษาเพศสมณะไว้ได้อยู่ 9 เดือน จึงออกมาใช้ชีวิตฆราวาสตามเดิม
ในช่วงเข้าพรรษานี้ผมก็ได้ตั้งใจแล้วว่า จะพยายามรักษากายใจให้พ้นไปจากเรื่องความลุ่มหลงในกำหนัดแบบชายรักชายสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการไถ่ถอนและอุทิศเป็นบุญให้กับเมทคนนี้ที่เสียชีวิตไป ผมคิดว่าการทำบุญด้วยการปฏิบัติเช่นนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะตัวผมเองไม่มีเวลาได้ไปวัดเหมือนก่อนแล้ว แต่จะพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยมีชีวิตอยู่ เพื่อหวังว่าถ้าชาติภพต่อไปมีจริง ผมจะได้ไม่ต้องมาเกิดเป็นเพศนี้อีก ถึงแม้ว่าในสังคมยุคนี้จะยอมรับเพศสภาพและความหลากหลายทางเพศแล้วก็ตาม
ถ้าใครจะสาปส่งผม ผมก็ไม่ว่าครับ เพราะมันเป็นตัวตนของผมในอดีต ผมเข้าใจดี และคิดว่าที่ผมกล้าที่จะนำเรื่องราวที่เล่านี้มาแชร์ ก็เพื่อจะเตือนใจคนทุกคนว่า จะทำอะไร ก็ต้องคิดถึงใจคนที่ถูกเรากระทำบ้าง เพราะไม่รู้ว่า เราจะได้มีโอกาสได้กล่าวคำขอโทษ หรือคำขออโหสิ ในยามที่พวกเรา ยังมีชีวิตกันอยู่หรือไม่