จากกระทู้เก่าๆที่เคยตั้งตอนไปเที่ยวตะลุยกินนะครับ
ตะลุยกินแหลก!! โตเกียว-คิวชูเหนือ 7วัน 6คืน
http://pantip.com/topic/30120700
ตะลุยกินแหลก!! ณ โอซาก้า 5วัน 4คืน
http://pantip.com/topic/30553819
มีหลายท่านถามมาเกี่ยวกับรายละเอียดการเที่ยว พอดีเพิ่งมีเวลาบวกกับช่วงนี้ไปญี่ปุ่นไม่ต้องขอVisaแล้ว เผื่อใครจะไปจะได้เป็นประโยชน์ เลยขอตั้งกระทู้ทีเดียวเก็บไว้เลยแล้วกันนะครับ
แต่ก็ขอออกตัวก่อนนะครับ ว่ามาจากประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองล้วนๆ บางอย่างอาจจะไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดนะครับ
1. ตั๋วเครื่องบิน
หลายคนที่ไม่ได้เที่ยวบ่อยๆ นานๆเที่ยวทีอยากหาตั๋วไม่รู้หาที่ไหน ไปถามเอเย่นแต่ล่ะที่ก็ชั้นประหยัดก็ 2-3หมื่น โปรสะสมไมล์ก็ไม่ได้มีกับเค้า โดยส่วนตัวถ้าอยากได้ตั๋วญี่ปุ่นถูกๆแนะนำให้ลองติดตามพวกงานท่องเที่ยวที่มีการจัดบูธครับ ถ้าไปครั้งแรกภาษาไม่ค่อยแข็งแรงก็ดูของการบินไทยก็ดีครับ อย่างน้อยก็อุ่นใจสอบถามแอร์ด้วยภาษาไทยได้ ถ้าไปโตเกียว หรือโอซาก้าส่วนใหญ่ราคาจะอยู่ที่ 18,000 บาท (รวมค่าน้ำมันกับภาษีสนามบินแล้ว) แต่ถ้าจะไปที่อื่นๆอย่างฟุกุโอกะ ฮิโรชิม่า ฮอกไกโด อันนี้แล้วแต่โปรที่จัดครับ บางทีมีทัวร์ที่ทำการเหมาลำ แล้วมีตั๋วเครื่องบินมาแบ่งขายด้วยราคาก็ถูกครับ อย่างล่าสุดเห็นมีทัวร์ของ HIS ขายตั๋วการบินไทยไปฮิโรชิม่า ราคา 17,500 แต่พวกนี้จะกำหนดวันไปกลับตายตัวครับ
อีกกรณีนึงสำหรับคนอยากเที่ยวยาวๆเอาคุ้มๆ คือซื้อตั๋วแบบแวะเปลี่ยนเครื่อง เที่ยวได้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น China Airline แวะเที่ยวที่จีน หรือ Korea Airline แวะเที่ยวเกาหลีซัก 2-3 วันแล้วค่อยเที่ยวฮอกไกโดต่ออะไรทำนองนี้ครับ ถ้าแบบนี้จะเสียค่าตั๋วเพิ่มเล็กน้อย(หลักร้อย)แต่ได้เที่ยวเยอะขึ้นมาก อย่างกรณีที่ผมเคยใช้บริการตั๋ว Korea Airline ไปซัปโปโร อยู่ที่ 22,000 แวะเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ช่วงเวลาที่ไปเที่ยวด้วยครับ ถ้าเป็นช่วง ไฮซีซั่น อย่างช่วงซากุระบาน พวกนี้ก็หาตั๋วราคาถูกลำบากครับ
2. ที่พัก
ส่วนใหญ่แล้วผมจะจองผ่านเว็บ agoda ครับ ถ้าไป 2 คนอยากได้ที่พักดีๆประหยัดๆ แนะนำให้หาห้อง Twin Room คือมี 2 เตียงเดี่ยว ราคาแบบโปรประหยัดๆจะอยู่ที่ราวๆ 2,400+ แล้วแต่จังหวะครับ หรือถ้าเป็นผู้หญิงมาพักกัน 2 คน หรือมาเที่ยวกับแฟน แล้วอยากใกล้ชิดกันก็เลือกแบบ ดับเบิ้ลเบด อันนี้ราคาก็ถูกลงมาอีกครับ
ตัวอย่างราคาที่พักของโรงแรม Osaka Floral Inn Namba อยู่กลางเมืองโอซาก้าเลยครับ (แต่ไม่ได้ราคานี้ทุกช่วงเวลานะครับ ผมคัดมาให้ดูเป็นตัวอย่าง)
หรือถ้าใครอยากได้ประหยัดกว่านี้ก็มีพวก Guest House แต่จะลำบากนิดนึงเรื่องการเก็บของ และความเป็นส่วนตัวครับ (ไม่เหมาะกับคนที่ไปช้อปปิ้ง)
3. การวางแผนการเดินทาง
สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปหลายๆจังหวัดก็มองๆตั๋ว JR Rail Pass ไว้นะครับ ถ้าใครเที่ยวจังหวัดเดียว หรือเที่ยวระแวกใกล้ๆก็ข้ามไปได้เลยครับ
คร่าวๆสำหรับ JR Rail Pass ขออธิบายสั้นๆแล้วกันครับ มันก็คือตั๋วแบบบุฟเฟต์ของรถไฟที่ใช้ขึ้นไปไหนมาไหน (เฉพาะของสาย JR) อันนี้จะใช้คุ้มมากๆ เมื่อใช้นั่งรถไฟวิ่งข้ามไปแต่ล่ะจังหวัด โดยเฉพาะรถไฟชินกังเซ็น โดยตั๋ว JR Rail Pass จะมีหลายราคาครับ ทั้งใช้ทั่วญี่ปุ่น หรือ ใช้เฉพาะฮอกไกโด ใช้เฉพาะคิวชู หรือใช้เฉพาะคิวชูเหนือ วางแผนว่าเราไปจังหวัดไหน แล้วปรึกษาเอเย่นที่ขายตั๋วได้เลยครับ
สำหรับคนที่ไปเที่ยวแค่ในตัวเมืองและระแวกใกล้ๆ เช่น เที่ยวโอซาก้า เกียวโต โกเบ แบบนี้ไม่ต้องครับผม หยอดตู้ซื้อดีกว่าครับ
ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Rail Pass ก็ Search ใน Google ว่า "วิธีใช้ JR Rail Pass" ได้เลยครับ มีเพียบเลย
4.การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น
หลายๆคนที่ไปญี่ปุ่นมาต่างพูดกันว่า การเดินทางในประเทศญี่ปุ่นนั้นสะดวกมาก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปก็คงกลัวและลำบาก เพราะว่ากันว่าสายรถไฟในญี่ปุ่นนั้นดูแล้วงงมาก แล้วอีกทั้งมีหลายยี่ห้ออีก ซื้อตั๋วถูกซื้อผิดกันก็บ่อย
วิธีการง่ายๆเลยครับที่ผมจะแนะนำครั้งนี้ นั่นคือใช้ Google Map
ตัวอย่าง ในกรณีที่ผมอยากไป Shinjuku แล้วที่พักอยู่ Ueno ก็จิ้มปลายทางที่ Shinjuku ครับ
ส่วนถ้าเป็นการเดินทาง ณ ตอนนั้นก็เป็น My Location อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการวางแผนการเดินทางก็ใส่ที่ต้นทางลงไปครับ (หรือในกรณีที่ GPS บอกพิกัดเราผิด ก็ใส่ต้นทางเป็นสถานีรถไฟก็ชัวร์สุดครับ) จะเห็นเที่ยววิ่งของรถไฟที่จะออก รวมถึงระยะเวลา และราคาด้วย สะดวกมากๆ
*และที่สำคัญมากๆ*อย่าลืมดูสีเส้นรถไฟด้วยนะครับ อย่างในรูปเส้นทางที่เลือกคือ เส้นสีเขียว Yamanote Line มุ่งไป Ikebukuro เช็คเส้นและปลายทางดีๆนะครับ จะได้ไม่ขึ้นผิดขบวน
กดเลือกสายรถไฟและเที่ยววิ่งที่ต้องการ (ในกรณีนี้จะมีสายเดียวที่วิ่งครับ)
สามารถคลิกดูสถานีที่รถไฟวิ่งผ่านได้ครับ เวลาอยู่บนรถไฟก็เช็คได้ว่าเราอยู่ตรงไหนจะได้ไม่เลยป้าย
ตัวอย่างที่ผ่านมาคือในกรณีที่นั่งรถไฟแบบไม่ซับซ้อนไม่ต้องเปลี่ยนขบวนนะครับ เดี๋ยวยกตัวอย่างที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกอย่างนะครับ
ในกรณีที่ผมจะไปเที่ยว Odaiba โดยมาจากที่พักที่ Ueno คราวนี้จะเห็นว่ามีทั้งรถไฟ JR และ รถไฟใต้ดินให้เลือก แถมยังต้องต่อรถอีก
อันนี้ผมเลือกที่จะไปด้วย JR แล้วต่อไปต่อรถอีกที รายละเอียดจากภาพจะเห็นว่าก็นั่งรถไฟสายสีเขียว Yamanote มุ่งสู่สถานี Tokyo แล้วลงที่สถานนี Shinbashi แล้วไปต่อรถ Tokyo Waterfront New Transit Yurikamome มุ่งสู่ Ariake ไปอีก 5 สถานี
*ข้อสังเกต ถ้าเกิดมีการเปลี่ยน Icon ของยี่ห้อรถไฟ แบบในรูป คือการออกจากสถานีแล้วซื้อตั๋วใหม่นะครับ ถ้าเปลี่ยนแค่สีแต่ Icon เดิมแปลว่าเปลี่ยนแค่ขบวนรถเฉยๆ ไม่ต้องออกไปนอกชานชาลานะครับ ไม่งั้นได้ซื้อตั๋วใหม่อีกใบ
*ข้อควรระวังอีกจุด ถ้า Google บอกอะไรให้ขึ้นขบวนไหน กี่โมง ก็ทำตามอย่างเคร่งครัดนะครับ บางทีจะมีรถไฟมาก่อนเวลาที่ Google แจ้ง ถ้าไม่แน่ใจ "อย่าขึ้น" นะครับ ถึงมุ่งไปทางเดียวกัน แต่บางขบวนไม่จอดในสถานีที่เราจะไปครับ ถ้าใครไปใหม่ๆจะพลาดได้ง่ายๆ รถไฟญี่ปุ่นมาตรงเวลามากๆ บอกว่าออก 13.03น. ก็คือ 13.03น. เป๊ะๆครับ
วิธีนี้ใช้ร่วมกับปักดาวที่สถานที่ที่เราต้องการไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่เล็งๆไว้ หรือสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม จะสะดวกสุดๆเลยครับ
5. ถ้าใช้ Google Map แล้ว Internet ล่ะ หาจากที่ไหน?
บางคนก็อาศัยโรมมิ่ง แต่หลายคนก็ไม่อยากเปิดกลัวโรมมิ่งรั่ว นี่เลยครับ SIM เติมเงินของญี่ปุ่น เน้นใช้ Internet อย่างเดียว แนะนำเลยครับ ราคา 4000เยน ใช้ได้ 1GB อยู่ได้ 15วัน ตีเป็นเงินไทยราคา 1,200บาท คุ้มกว่าโรมมิ่งเยอะครับผม
สั่งซื้อได้ที่เว็บนี้เลยครับ เลือกขนาดซิมที่ต้องการแล้วให้เค้าจัดส่งที่โรงแรมได้เลยครับ หรือจะนัดรับที่สนามบินก็ได้ครับผม สะดวกมากๆ
http://www.bmobile.ne.jp/english/index.html
*ข้อควรระวัง ถ้าใครไป 2 คนแล้วจะแชร์เน็ตเล่นกัน ระวังเรื่อง Data นะครับ เพราะอีกเครื่องที่รับแชร์ผ่าน Wifi เครื่องจะอัพเดทนู่นนี่ดูด Feed โหลดไม่รู้ตัว อาจจะทำให้ Data หมด ทีนี้ลำบากเลยครับ
----------------------------------------------------------------------------------------
Tip เพิ่มเติมครับ
1. สิ่งที่แนะนำให้เตรียมไปด้วยเมื่อไปเที่ยว
- รางปลั๊ก สำหรับชาร์จโทรศัพท์ แบตกล้อง พาวเวอร์แบงค์ เกม ไอแพด โน๊ตบุ๊ค สารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะที่โรงแรมจะมีเต้ารับจำกัดครับ และต้องเป็นรางปลั๊กที่เต้าเสียบเป็นแบบหัวแบน 2ขา เท่านั้นครับ
- ยาพารา อันนี้เผื่อไว้ ถ้าเป็นไข้อะไร ถ้าไม่ได้ภาษาคงไปซื้อยาลำบาก
- กระเป๋าเปล่าๆ เอาไว้ขนของที่ช้อปปิ้งกลับบ้านครับ โดยเฉพาะขาช้อปครับ จะได้ไม่ต้องลำบากหาซื้อกระเป๋าเพิ่มที่นู่น
- สำหรับขาช้อปเสื้อผ้า ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะนะครับ ไปหาซื้อที่นู่นเลยก็ได้ เห็นหลายท่านชอบบ่นตอนกลับว่าไม่น่าเอาของมาเยอะเลย
2. การเอาตัวรอดในร้านอาหาร ในกรณีไม่รู้ภาษา
- ถ้าไม่ทำการบ้านมาก่อน แนะนำร้านที่เป็นตู้กดๆครับ หลายๆร้าน(แต่ไม่ทุกร้าน) จะมีภาพและหมายเลขกำกับ ใส่เงินจิ้มกดได้เลยครับ หรือร้านที่ป้ายรูปอาหารใหญ่ๆหน้าร้าน พวกนี้จะมีรูปให้ดู จิ้มๆได้ครับ ไม่ก็ร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยวมีภาษาอังกฤษอะไรพวกนี้
- ถ้าทำการบ้านอยากลิ้มร้านอร่อยๆ ถ้าไม่รู้ภาษา แนะนำให้เซฟรูปไปด้วยครับ แล้วชี้เอาเลย ถ้าไม่มีหรือหมดทางร้านเดี๋ยวใส่ภาษาใบ้ทำมือกากบาทเองครับ

เพราะเมนูร้านอาหารหลายๆร้านจะเป็นแบบนี้ (โดยเฉพาะร้านที่เปิดกลางคืน เน้นกินเหล้า) อันตรายมากครับ
3. การซื้อของฝาก
หลายคนเวลาเที่ยวๆอยู่ ก็มีจิตศรัทธาต้องการซื้อของฝาก ฝากเพื่อน และส่วนใหญ่มักนึกถึงขนมญี่ปุ่น ไม่ว่าเป็น คิทแคทชาเขียว โตเกียวบานาน่า ฯลฯ แนะนำเลยครับ ถ้าไม่ได้เจอร้านที่กำลังขายส่ง หรือร้านที่ลดราคาแหลก ก็ยังไม่ต้องซื้อครับ แบกหนักเปล่าๆ ซื้อที่สนามบินทีเดียวเลยครับ ราคาเท่ากับข้างนอกที่ขายนี่ล่ะครับ แต่ไม่ต้องแบกหนัก แต่ถ้าบังเอิญไปร้านขายส่งหรือลดแหลกก็เต็มที่ครับ (อ้างอิงราคาคิทแคทชาเขียวที่เป็นห่อใหญ่ๆ ขายตามร้านถูกๆราวๆ 300เยน หรือประมาณ 90บาทครับ)
How to วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นและการเอาตัวรอดด้วย Google Map
ตะลุยกินแหลก!! โตเกียว-คิวชูเหนือ 7วัน 6คืน
http://pantip.com/topic/30120700
ตะลุยกินแหลก!! ณ โอซาก้า 5วัน 4คืน
http://pantip.com/topic/30553819
มีหลายท่านถามมาเกี่ยวกับรายละเอียดการเที่ยว พอดีเพิ่งมีเวลาบวกกับช่วงนี้ไปญี่ปุ่นไม่ต้องขอVisaแล้ว เผื่อใครจะไปจะได้เป็นประโยชน์ เลยขอตั้งกระทู้ทีเดียวเก็บไว้เลยแล้วกันนะครับ
แต่ก็ขอออกตัวก่อนนะครับ ว่ามาจากประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองล้วนๆ บางอย่างอาจจะไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดนะครับ
1. ตั๋วเครื่องบิน
หลายคนที่ไม่ได้เที่ยวบ่อยๆ นานๆเที่ยวทีอยากหาตั๋วไม่รู้หาที่ไหน ไปถามเอเย่นแต่ล่ะที่ก็ชั้นประหยัดก็ 2-3หมื่น โปรสะสมไมล์ก็ไม่ได้มีกับเค้า โดยส่วนตัวถ้าอยากได้ตั๋วญี่ปุ่นถูกๆแนะนำให้ลองติดตามพวกงานท่องเที่ยวที่มีการจัดบูธครับ ถ้าไปครั้งแรกภาษาไม่ค่อยแข็งแรงก็ดูของการบินไทยก็ดีครับ อย่างน้อยก็อุ่นใจสอบถามแอร์ด้วยภาษาไทยได้ ถ้าไปโตเกียว หรือโอซาก้าส่วนใหญ่ราคาจะอยู่ที่ 18,000 บาท (รวมค่าน้ำมันกับภาษีสนามบินแล้ว) แต่ถ้าจะไปที่อื่นๆอย่างฟุกุโอกะ ฮิโรชิม่า ฮอกไกโด อันนี้แล้วแต่โปรที่จัดครับ บางทีมีทัวร์ที่ทำการเหมาลำ แล้วมีตั๋วเครื่องบินมาแบ่งขายด้วยราคาก็ถูกครับ อย่างล่าสุดเห็นมีทัวร์ของ HIS ขายตั๋วการบินไทยไปฮิโรชิม่า ราคา 17,500 แต่พวกนี้จะกำหนดวันไปกลับตายตัวครับ
อีกกรณีนึงสำหรับคนอยากเที่ยวยาวๆเอาคุ้มๆ คือซื้อตั๋วแบบแวะเปลี่ยนเครื่อง เที่ยวได้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น China Airline แวะเที่ยวที่จีน หรือ Korea Airline แวะเที่ยวเกาหลีซัก 2-3 วันแล้วค่อยเที่ยวฮอกไกโดต่ออะไรทำนองนี้ครับ ถ้าแบบนี้จะเสียค่าตั๋วเพิ่มเล็กน้อย(หลักร้อย)แต่ได้เที่ยวเยอะขึ้นมาก อย่างกรณีที่ผมเคยใช้บริการตั๋ว Korea Airline ไปซัปโปโร อยู่ที่ 22,000 แวะเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ช่วงเวลาที่ไปเที่ยวด้วยครับ ถ้าเป็นช่วง ไฮซีซั่น อย่างช่วงซากุระบาน พวกนี้ก็หาตั๋วราคาถูกลำบากครับ
2. ที่พัก
ส่วนใหญ่แล้วผมจะจองผ่านเว็บ agoda ครับ ถ้าไป 2 คนอยากได้ที่พักดีๆประหยัดๆ แนะนำให้หาห้อง Twin Room คือมี 2 เตียงเดี่ยว ราคาแบบโปรประหยัดๆจะอยู่ที่ราวๆ 2,400+ แล้วแต่จังหวะครับ หรือถ้าเป็นผู้หญิงมาพักกัน 2 คน หรือมาเที่ยวกับแฟน แล้วอยากใกล้ชิดกันก็เลือกแบบ ดับเบิ้ลเบด อันนี้ราคาก็ถูกลงมาอีกครับ
ตัวอย่างราคาที่พักของโรงแรม Osaka Floral Inn Namba อยู่กลางเมืองโอซาก้าเลยครับ (แต่ไม่ได้ราคานี้ทุกช่วงเวลานะครับ ผมคัดมาให้ดูเป็นตัวอย่าง)
หรือถ้าใครอยากได้ประหยัดกว่านี้ก็มีพวก Guest House แต่จะลำบากนิดนึงเรื่องการเก็บของ และความเป็นส่วนตัวครับ (ไม่เหมาะกับคนที่ไปช้อปปิ้ง)
3. การวางแผนการเดินทาง
สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปหลายๆจังหวัดก็มองๆตั๋ว JR Rail Pass ไว้นะครับ ถ้าใครเที่ยวจังหวัดเดียว หรือเที่ยวระแวกใกล้ๆก็ข้ามไปได้เลยครับ
คร่าวๆสำหรับ JR Rail Pass ขออธิบายสั้นๆแล้วกันครับ มันก็คือตั๋วแบบบุฟเฟต์ของรถไฟที่ใช้ขึ้นไปไหนมาไหน (เฉพาะของสาย JR) อันนี้จะใช้คุ้มมากๆ เมื่อใช้นั่งรถไฟวิ่งข้ามไปแต่ล่ะจังหวัด โดยเฉพาะรถไฟชินกังเซ็น โดยตั๋ว JR Rail Pass จะมีหลายราคาครับ ทั้งใช้ทั่วญี่ปุ่น หรือ ใช้เฉพาะฮอกไกโด ใช้เฉพาะคิวชู หรือใช้เฉพาะคิวชูเหนือ วางแผนว่าเราไปจังหวัดไหน แล้วปรึกษาเอเย่นที่ขายตั๋วได้เลยครับ
สำหรับคนที่ไปเที่ยวแค่ในตัวเมืองและระแวกใกล้ๆ เช่น เที่ยวโอซาก้า เกียวโต โกเบ แบบนี้ไม่ต้องครับผม หยอดตู้ซื้อดีกว่าครับ
ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Rail Pass ก็ Search ใน Google ว่า "วิธีใช้ JR Rail Pass" ได้เลยครับ มีเพียบเลย
4.การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น
หลายๆคนที่ไปญี่ปุ่นมาต่างพูดกันว่า การเดินทางในประเทศญี่ปุ่นนั้นสะดวกมาก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปก็คงกลัวและลำบาก เพราะว่ากันว่าสายรถไฟในญี่ปุ่นนั้นดูแล้วงงมาก แล้วอีกทั้งมีหลายยี่ห้ออีก ซื้อตั๋วถูกซื้อผิดกันก็บ่อย
วิธีการง่ายๆเลยครับที่ผมจะแนะนำครั้งนี้ นั่นคือใช้ Google Map
ตัวอย่าง ในกรณีที่ผมอยากไป Shinjuku แล้วที่พักอยู่ Ueno ก็จิ้มปลายทางที่ Shinjuku ครับ
ส่วนถ้าเป็นการเดินทาง ณ ตอนนั้นก็เป็น My Location อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการวางแผนการเดินทางก็ใส่ที่ต้นทางลงไปครับ (หรือในกรณีที่ GPS บอกพิกัดเราผิด ก็ใส่ต้นทางเป็นสถานีรถไฟก็ชัวร์สุดครับ) จะเห็นเที่ยววิ่งของรถไฟที่จะออก รวมถึงระยะเวลา และราคาด้วย สะดวกมากๆ
*และที่สำคัญมากๆ*อย่าลืมดูสีเส้นรถไฟด้วยนะครับ อย่างในรูปเส้นทางที่เลือกคือ เส้นสีเขียว Yamanote Line มุ่งไป Ikebukuro เช็คเส้นและปลายทางดีๆนะครับ จะได้ไม่ขึ้นผิดขบวน
กดเลือกสายรถไฟและเที่ยววิ่งที่ต้องการ (ในกรณีนี้จะมีสายเดียวที่วิ่งครับ)
สามารถคลิกดูสถานีที่รถไฟวิ่งผ่านได้ครับ เวลาอยู่บนรถไฟก็เช็คได้ว่าเราอยู่ตรงไหนจะได้ไม่เลยป้าย
ตัวอย่างที่ผ่านมาคือในกรณีที่นั่งรถไฟแบบไม่ซับซ้อนไม่ต้องเปลี่ยนขบวนนะครับ เดี๋ยวยกตัวอย่างที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกอย่างนะครับ
ในกรณีที่ผมจะไปเที่ยว Odaiba โดยมาจากที่พักที่ Ueno คราวนี้จะเห็นว่ามีทั้งรถไฟ JR และ รถไฟใต้ดินให้เลือก แถมยังต้องต่อรถอีก
อันนี้ผมเลือกที่จะไปด้วย JR แล้วต่อไปต่อรถอีกที รายละเอียดจากภาพจะเห็นว่าก็นั่งรถไฟสายสีเขียว Yamanote มุ่งสู่สถานี Tokyo แล้วลงที่สถานนี Shinbashi แล้วไปต่อรถ Tokyo Waterfront New Transit Yurikamome มุ่งสู่ Ariake ไปอีก 5 สถานี
*ข้อสังเกต ถ้าเกิดมีการเปลี่ยน Icon ของยี่ห้อรถไฟ แบบในรูป คือการออกจากสถานีแล้วซื้อตั๋วใหม่นะครับ ถ้าเปลี่ยนแค่สีแต่ Icon เดิมแปลว่าเปลี่ยนแค่ขบวนรถเฉยๆ ไม่ต้องออกไปนอกชานชาลานะครับ ไม่งั้นได้ซื้อตั๋วใหม่อีกใบ
*ข้อควรระวังอีกจุด ถ้า Google บอกอะไรให้ขึ้นขบวนไหน กี่โมง ก็ทำตามอย่างเคร่งครัดนะครับ บางทีจะมีรถไฟมาก่อนเวลาที่ Google แจ้ง ถ้าไม่แน่ใจ "อย่าขึ้น" นะครับ ถึงมุ่งไปทางเดียวกัน แต่บางขบวนไม่จอดในสถานีที่เราจะไปครับ ถ้าใครไปใหม่ๆจะพลาดได้ง่ายๆ รถไฟญี่ปุ่นมาตรงเวลามากๆ บอกว่าออก 13.03น. ก็คือ 13.03น. เป๊ะๆครับ
วิธีนี้ใช้ร่วมกับปักดาวที่สถานที่ที่เราต้องการไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่เล็งๆไว้ หรือสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม จะสะดวกสุดๆเลยครับ
5. ถ้าใช้ Google Map แล้ว Internet ล่ะ หาจากที่ไหน?
บางคนก็อาศัยโรมมิ่ง แต่หลายคนก็ไม่อยากเปิดกลัวโรมมิ่งรั่ว นี่เลยครับ SIM เติมเงินของญี่ปุ่น เน้นใช้ Internet อย่างเดียว แนะนำเลยครับ ราคา 4000เยน ใช้ได้ 1GB อยู่ได้ 15วัน ตีเป็นเงินไทยราคา 1,200บาท คุ้มกว่าโรมมิ่งเยอะครับผม
สั่งซื้อได้ที่เว็บนี้เลยครับ เลือกขนาดซิมที่ต้องการแล้วให้เค้าจัดส่งที่โรงแรมได้เลยครับ หรือจะนัดรับที่สนามบินก็ได้ครับผม สะดวกมากๆ
http://www.bmobile.ne.jp/english/index.html
*ข้อควรระวัง ถ้าใครไป 2 คนแล้วจะแชร์เน็ตเล่นกัน ระวังเรื่อง Data นะครับ เพราะอีกเครื่องที่รับแชร์ผ่าน Wifi เครื่องจะอัพเดทนู่นนี่ดูด Feed โหลดไม่รู้ตัว อาจจะทำให้ Data หมด ทีนี้ลำบากเลยครับ
----------------------------------------------------------------------------------------
Tip เพิ่มเติมครับ
1. สิ่งที่แนะนำให้เตรียมไปด้วยเมื่อไปเที่ยว
- รางปลั๊ก สำหรับชาร์จโทรศัพท์ แบตกล้อง พาวเวอร์แบงค์ เกม ไอแพด โน๊ตบุ๊ค สารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะที่โรงแรมจะมีเต้ารับจำกัดครับ และต้องเป็นรางปลั๊กที่เต้าเสียบเป็นแบบหัวแบน 2ขา เท่านั้นครับ
- ยาพารา อันนี้เผื่อไว้ ถ้าเป็นไข้อะไร ถ้าไม่ได้ภาษาคงไปซื้อยาลำบาก
- กระเป๋าเปล่าๆ เอาไว้ขนของที่ช้อปปิ้งกลับบ้านครับ โดยเฉพาะขาช้อปครับ จะได้ไม่ต้องลำบากหาซื้อกระเป๋าเพิ่มที่นู่น
- สำหรับขาช้อปเสื้อผ้า ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะนะครับ ไปหาซื้อที่นู่นเลยก็ได้ เห็นหลายท่านชอบบ่นตอนกลับว่าไม่น่าเอาของมาเยอะเลย
2. การเอาตัวรอดในร้านอาหาร ในกรณีไม่รู้ภาษา
- ถ้าไม่ทำการบ้านมาก่อน แนะนำร้านที่เป็นตู้กดๆครับ หลายๆร้าน(แต่ไม่ทุกร้าน) จะมีภาพและหมายเลขกำกับ ใส่เงินจิ้มกดได้เลยครับ หรือร้านที่ป้ายรูปอาหารใหญ่ๆหน้าร้าน พวกนี้จะมีรูปให้ดู จิ้มๆได้ครับ ไม่ก็ร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยวมีภาษาอังกฤษอะไรพวกนี้
- ถ้าทำการบ้านอยากลิ้มร้านอร่อยๆ ถ้าไม่รู้ภาษา แนะนำให้เซฟรูปไปด้วยครับ แล้วชี้เอาเลย ถ้าไม่มีหรือหมดทางร้านเดี๋ยวใส่ภาษาใบ้ทำมือกากบาทเองครับ
3. การซื้อของฝาก
หลายคนเวลาเที่ยวๆอยู่ ก็มีจิตศรัทธาต้องการซื้อของฝาก ฝากเพื่อน และส่วนใหญ่มักนึกถึงขนมญี่ปุ่น ไม่ว่าเป็น คิทแคทชาเขียว โตเกียวบานาน่า ฯลฯ แนะนำเลยครับ ถ้าไม่ได้เจอร้านที่กำลังขายส่ง หรือร้านที่ลดราคาแหลก ก็ยังไม่ต้องซื้อครับ แบกหนักเปล่าๆ ซื้อที่สนามบินทีเดียวเลยครับ ราคาเท่ากับข้างนอกที่ขายนี่ล่ะครับ แต่ไม่ต้องแบกหนัก แต่ถ้าบังเอิญไปร้านขายส่งหรือลดแหลกก็เต็มที่ครับ (อ้างอิงราคาคิทแคทชาเขียวที่เป็นห่อใหญ่ๆ ขายตามร้านถูกๆราวๆ 300เยน หรือประมาณ 90บาทครับ)