แนวโน้มหุ้นถูกปั่นขึ้น แต่ข่าวร้ายมาเรื่อยๆ คนตกรถ แอบเฮ กองแช่ง ชื่นใจ เอาข่าวร้ายมาให้อ่านเรื่อยๆ

กระทู้คำถาม
เศรษฐกิจทรุดกว่าที่นึกลงลึกกว่าที่คิด

  โดย...บากบั่น บุญเลิศ/เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง


ถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะแย่กว่าที่รัฐบาลประมาณการไว้มาก

ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจต่างก้มหน้ายอมรับสภาพว่าเศรษฐกิจไทยมีแต่ทรุดลงๆ ดัชนีตัวเลขสำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะไปทางไหน ทั้งดัชนีการบริโภค ดัชนีการผลิต ฯลฯ ยิ่งนับวันยิ่งแย่ลง

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงมาจากเดิมที่คิดว่าจะขยายตัวได้ 5.1% ลงเหลือ 4.2%

อัตราการขยายตัวหายไปถึง 0.9% ซึ่งต้องถือว่าเศรษฐกิจไทยไม่อยู่ในอาการชะลอตัว หากแต่อยู่ในอาการชะงักงัน

เพื่อให้เห็นภาพ หากนำอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่หดตัวลง 0.9% นั้น เมื่อนำไปเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ระดับ 1213 ล้านล้านบาท การที่เศรษฐกิจหดตัวลงไปถึง 0.9% เท่ากับว่าปริมาณของเม็ดเงินที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจจะสูงถึงกว่า 1 แสนล้านบาท

เงินจำนวน 1 แสนล้านบาทนั้น เมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะมีการหมุนตามห่วงโซ่อุปทานของการสั่งซื้อขายไม่น้อยกว่า 89 รอบ ซึ่งหมายถึงเงินร่วม 89 แสนล้านบาท

นี่คือปริมาณที่หดหายไปในระบบเศรษฐกิจ

ธปท.ชี้ปมชัดว่า สาเหตุใหญ่ที่เศรษฐกิจดิ่งลง เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คิด ทำให้การส่งออกของไทยขุนไม่ขึ้น คาดว่าจะโตได้ 4% เท่านั้น จากที่คาดไว้เดิม 8.5%

ถือว่ามูลค่าส่งออกหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก็หมดแรงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอทั้งนอกและใน ขยายตัวตกฮวบอย่างที่ ธปท.ปรับประมาณการล่าสุด

แม้ว่า ธปท.จะมองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะกระเตื้องขึ้น ก็ยังเป็นเรื่องที่คาดหวังมากไม่ได้ และอาจไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะมองไปข้างหน้าปัจจัยลบมากกว่าบวก

ก่อนหน้านี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็ปรับลดประมาณการเหลือ 4.5% จากเดิมที่ 4.8% เพราะการส่งออกที่คาดว่าจะโตได้ 9% จะโตได้เพียง 4.5% เท่านั้น

อาการของเศรษฐกิจไทยหัวทิ่ม ทำให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาตั้งท่าว่าจะปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อีกครั้ง

นี่ย่อมมิใช่ข่าวดีที่ควรรับทราบ แต่เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการ นักธุรกิจจะต้องตระหนักให้ความใส่ใจ

ก่อนหน้านี้ไม่นาน สศช.เพิ่งปรับลดเศรษฐกิจไทยปีนี้จาก 5% ลงเหลือ 4.7% แต่ถึงตอนนี้ตัวเลขนี้ก็สูงเกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทางลบอย่างรวดเร็ว

แม้ว่า สศช.จะแบ่งรับแบ่งสู้ขอดูตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. 2556 ก่อนว่าจะเติบโตได้เท่าไร

แต่ตัวเลข 5 เดือนของปีนี้ที่การส่งออกของไทยโตได้ 2% ก็ถือเป็นสัญญาณที่ตีความได้ว่า สศช.อาจจะต้องปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 4%

จะว่าไปแล้วเศรษฐกิจไทยปีนี้ หากพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 4% ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ สศค.ก็ออกมาระบุว่าจะปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจลงอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าการที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4% เท่านั้น

การที่หน่วยงานต่างๆ ล็อกเป้าเศรษฐกิจไม่ให้หลุดเป้าต่ำกว่า 4% เพราะรู้ว่าเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยดับสนิทแทบทุกเครื่อง

การส่งออกที่ สศช.ระบุว่า มีสัดส่วนทางเศรษฐกิจถึง 70% การที่มูลค่าการส่งออกหายไปจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจหัวทิ่มตามไปอย่างที่เห็น โดยการส่งออกของไทยในปีนี้อาจจะเติบโตได้ไม่ถึง 34% อีกปีก็เป็นไปได้ เพราะตลาดโลกไม่เอื้ออำนวย

ขณะที่การบริโภคในประเทศก็ดับสนิท มาตรการรถคันแรกส่งออกรถยนต์ส่วนใหญ่ไปแล้ว โครงการรับจำนำข้าวนั้นมีเงินส่วนน้อยตกถึงมือชาวนา แต่เงินส่วนใหญ่อยู่ในมือนายทุน

ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้อย่างที่วาดฝันไว้ เพราะเงินลงระดับฐานรากน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐก็ยังเป็นเรือเกยตื้น

พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่ถูกศาลปกครองเบรกให้ไปทำประชาพิจารณ์ก่อนเซ็นสัญญา ขณะที่ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ยังไม่ผ่านสภา ทำให้ไม่มีเม็ดเงินลงทุนอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้กระทบกับการลงทุนของภาคเอกชน เมื่อรัฐนำไปลงทุนไม่ได้ เอกชนจำนวนมากก็ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนไปก่อน

จะเหลือแต่ภาคบริการและการท่องเที่ยวเท่านั้น ที่ยังสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ เพราะอัตราการขยายตัวดีเกินคาด จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองไทยเฉลี่ยเดือนละ 22.3 ล้านคนตลอดทุกเดือน

แต่เมื่อเทียบกับเม็ดเงินจากการส่งออกและการลงทุนภาครัฐที่หายไปจากระบบ ทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจหันหัวขึ้นได้

นอกจากนี้ หลายฝ่ายเริ่มวิตกการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ทันสถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว

การที่กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ออกมายืนยันว่า จะไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ทั้งๆ ที่ สศค.ได้เสนอมาตรการหลายด้านให้กิตติรัตน์พิจารณาแล้วก็ตาม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มประหลาดใจว่าการไม่ออกมาตรการมาเสริมเป็นเพราะประเทศถังแตก หรือรัฐต้องการให้เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลอ้างว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตเพิ่มได้ 1% ต่อปี ในช่วง 7 ปี ที่มีการกู้เงินกันแน่

นอกจากนี้ การระดมสมองของรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ ในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่มีมาตรการที่เป็นชิ้นเป็นอันออกมาอุ้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

ที่เลวร้ายกว่านั้น การทำงานของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลยังพายเรืออยู่ในอ่าง ที่ยังให้หน่วยงานทางเศรษฐกิจ ทั้ง ธปท. สศช. และกระทรวงการคลัง ไปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ และหามาตรการรองรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ซึ่งดูเหมือนเป็นการวิ่งไล่ตามปัญหาไป

ไม่ว่าสาเหตุเศรษฐกิจไทยที่ยิ่งนับวันยิ่งทรุดจะมาจากการที่รัฐบาลแก้ไม่ตก หรือจงใจให้เศรษฐกิจทรุดมากเพื่อเป็นข้ออ้างดันร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ก้อนมหึมา 2 ล้านล้านบาท ย่อมไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือทั้งนั้น

เพราะการที่เศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าจนไม่รู้ว่าแนวรับอยู่ที่ไหนกันแน่ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยเจอมรสุมหนักจากการที่ผลิตสินค้าขายไม่ได้ ทำให้สินค้าค้างสต๊อก จนมีปัญหาสภาพคล่องตามมา สุดท้ายผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าดีของสถาบันการเงินก็จะกลายเป็นหนี้เสียไปในที่สุดได้ไม่ยากเย็น

ที่ผ่านมาก็มีกรณีตัวอย่างของบริษัท สหฟาร์ม ที่เจอพิษเศรษฐกิจตกสะเก็ด การส่งออกหดตัว และนโยบายเพิ่มค่าแรงของรัฐบาล ทำให้บริษัทล้มทั้งยืนในที่สุด

ดังนั้น การที่เศรษฐกิจโตได้ต่ำกว่าประมาณการมาก จากที่เคยคาดว่าได้ 5-6% ปรับลดลงเหลือ 4.5-5.5% ก็ยังเอาไม่อยู่ จนต้องเรียงแถวปรับลดลงเหลือ 4-5% ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ จะทำให้ผู้ประกอบการมีปัญหาการขายสินค้าและปัญหาทางการค้ามากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี โดยเฉพาะบริษัทที่สายป่านไม่ยาว

ขณะเดียวกัน ทางด้านสถาบันการเงินก็จะระวังตัวการปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการมากขึ้นในช่วงต่อไปนี้ ทำให้การลงทุนเอกชนหดตัวเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจไทยก็หนีไม่พ้นต้องหดตัวลงอีก

นอกจากนี้ รัฐบาลเองก็นิ่งนอนใจไม่ได้ การที่ขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้ามากๆ ย่อมทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเร่งสูงขึ้น ต้องไม่ลืมว่าจากที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 5-6% มาถึงตอนนี้เหลือ 45% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาการขยายตัวของเศรษฐกิจหายไป 1-2% ย่อมทำให้สัดส่วนหนี้พุ่งสูงขึ้น

การประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยที่ไม่เกิน 50% ของจีดีพี อาจจะปรับสูงเกิน 60% ของจีดีพี ที่เป็นกรอบความยั่งยืนทางการคลัง เพราะรัฐบาลยังมีแผนการกู้ก้อนโตอีกจำนวนมาก ทั้งการขาดดุลงบประมาณ การกู้ พ.ร.ก.น้ำ และการกู้ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมกับการกู้เพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่ ที่มีแนวโน้มว่าการระบายข้าวจะมีเงินไม่พอมาหมุนในการดำเนินการจำนำรอบใหม่ที่จะมาถึงในไม่กี่เดือนข้างหน้า

เรื่องภาระการคลังของรัฐบาลเป็นที่จับตาของสถาบันการจัดอันดับเครดิต โดยล่าสุด มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ที่เดินทางมาพบกิตติรัตน์ ก็ได้สอบถามประเด็นเรื่องภาระการคลังเป็นสำคัญ ยิ่งเศรษฐกิจไทยทรุดแล้วทรุดอีก ฐานะการคลังของประเทศก็ยิ่งถูกจับตามากเท่านั้น

สถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่สถาบันจัดอันดับเครดิตเป็นห่วงเท่านั้น แม้แต่นักวิชาการของไทยจำนวนไม่น้อยก็เป็นห่วง และมีการเสนอให้ยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินไปแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท และมีผลขาดทุนปีแรก 2.6 แสนล้านบาท เพราะหากไม่เลิกโครงการรับจำนำจะทำให้เศรษฐกิจไทยพังในที่สุด

ทั้งหมดย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจครึ่งหลังของปีอาการสาหัสอยู่ในภาวะโคม่า เพราะโรคต่างๆ รุมเร้า แต่รัฐบาลไม่มียามารักษาหรือยาโด๊ปที่จะทำให้เศรษฐกิจดี ในทางตรงข้ามสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ยังเป็นยาพิษทำให้เศรษฐกิจไม่มีทางรักษา จึงส่งผลให้เศรษฐกิจทรุดหนักกว่าที่นึก และลงลึกลงแรงกว่าที่คิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่