เนื่องจากสิ้นเดือนนี้ รัฐบาลจะมีการประมูลข้าวเปลือกในสต๊อกของรัฐเป็นครั้งแรก ก็อยากจะมองภาพว่า การประมูลข้าวเปลือก แทนที่ประมูลเป็นข้าวสาร มีจุดแตกต่างจากเดิมอย่างไร อะไรจะเป็นผลลัพธ์ของข้าวที่รัฐรับจำนำเข้ามา
จากเริ่มต้นโครงการ รัฐบาลวางเป้าหมายว่า ต้องเก็บข้าวที่มีในตลาดทั้งหมด มาอยู่ในมือของรัฐ เพื่อจะสามารถดึงราคาขึ้นไปได้ ดังนั้นความจำเป็นหลักของโครงการรับจำนำข้าว จึงอยู่ที่ว่า การรับจำนำทุกเมล็ด
แต่เมื่อทำโครงการไปเกือบ 2 ปี รัฐบาลก็ได้ข้อสรุปว่า ราคาข้าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับจำนำทุกเมล็ด เพราะข้าวไทยเมื่อเทียบปริมาณข้าวที่มีในตลาดโลก ก็เป็นจำนวนน้อย ไม่สามารถดึงราคาตลาดโลกได้อยู่ดี
การปรับปรุงโครงการจำนำข้าว จากที่จำกัดปริมาณมูลค่ารับจำนำสูงสุด ที่ต้องตรวจสอบก่อน ก็กลายเป็นการจำกัดปริมาณรับจำนำสูงสุดเลย
จาก 5 แสนบาท เห็นว่าจะลดเหลือ 4 แสนบาทในฤดูกาลหน้า
ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะทำให้มีข้าวเหลือในตลาดที่เข้าโครงการรับจำนำไม่ได้จำนวนมาก
ดังนั้น ในปีหน้า โรงสีก็จะมีข้าวที่ซื้อจากชาวนาที่ปลูกข้าวได้จำนวนมาก ไม่สามารถนำไปจำนำได้ทุกเมล็ด
และในกระแสเดียวกัน รัฐบาลก็จะเริ่มให้มีการประมูลข้าวเปลือกในสต๊อกของรัฐ เพื่อให้ไปทำข้าวนึ่งเพื่อส่งออก
ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้ว่า ข้าวสองกองนี้ จะเป็นคู่แข่งในตลาดหรือไม่อย่างไร
กระทู้นี้ผมอยากจะลองคิดดูว่า ถ้ารัฐจะขายข้าวเปลือกออกมานั้น ควรจะขายราคาเท่าไหร่ และน่าจะขายได้เท่าไหร่ เพราะถ้ารมต.ยังคิดเหมือนกับคุณบุญทรง ที่พยายามเอาตัวเลขบางตัวมาล้อมตัวเอง เช่น กำหนดว่า ไม่ขายต่ำกว่าราคาตลาดมาก สุดท้ายมีการประมูล แต่ราคาที่ได้ต่ำเกินไป ก็ไม่ยอมขาย ก็สะสมข้าวต่อไปเรื่อย ๆ
เพราะผมคิดว่า มันถึงเวลาที่รัฐต้องเร่งระบายข้าว แต่ราคาต้องอยู่บนฐานของความเหมาะสม ถึงแม้ว่า ไม่อยากให้ตั้งค่าไว้สูงเกินไป แต่ตัวเลขที่ปล่อยต้องไม่ต่ำจนเกินไปเช่นกัน
ยิ่งตรงนี้ รัฐบาลมมีแผนการระบายเป็นข้าวเปลือก ยิ่งจะทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ อ้างอิง เพราะไม่มีตัวแปรอื่น ๆ มาประกอบมากนัก รับจำนำเข้ามา แล้วก็ประมูลระบายออกไปแค่นี้ก็จบ
ถ้ารับเข้าราคา 15,000 บาท ประมูลออกไปราคา 10,000 บาท ก็ขาดทุน 5,000 บาท น่าจะเข้าใจง่าย
ขอแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะพิมพ์ต่อในความเห็นข้างล่างนะครับ เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาจะยาวเกินไป
การประมูลข้าวเปลือก จุดวัดผลงานโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมา
จากเริ่มต้นโครงการ รัฐบาลวางเป้าหมายว่า ต้องเก็บข้าวที่มีในตลาดทั้งหมด มาอยู่ในมือของรัฐ เพื่อจะสามารถดึงราคาขึ้นไปได้ ดังนั้นความจำเป็นหลักของโครงการรับจำนำข้าว จึงอยู่ที่ว่า การรับจำนำทุกเมล็ด
แต่เมื่อทำโครงการไปเกือบ 2 ปี รัฐบาลก็ได้ข้อสรุปว่า ราคาข้าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับจำนำทุกเมล็ด เพราะข้าวไทยเมื่อเทียบปริมาณข้าวที่มีในตลาดโลก ก็เป็นจำนวนน้อย ไม่สามารถดึงราคาตลาดโลกได้อยู่ดี
การปรับปรุงโครงการจำนำข้าว จากที่จำกัดปริมาณมูลค่ารับจำนำสูงสุด ที่ต้องตรวจสอบก่อน ก็กลายเป็นการจำกัดปริมาณรับจำนำสูงสุดเลย
จาก 5 แสนบาท เห็นว่าจะลดเหลือ 4 แสนบาทในฤดูกาลหน้า
ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะทำให้มีข้าวเหลือในตลาดที่เข้าโครงการรับจำนำไม่ได้จำนวนมาก
ดังนั้น ในปีหน้า โรงสีก็จะมีข้าวที่ซื้อจากชาวนาที่ปลูกข้าวได้จำนวนมาก ไม่สามารถนำไปจำนำได้ทุกเมล็ด
และในกระแสเดียวกัน รัฐบาลก็จะเริ่มให้มีการประมูลข้าวเปลือกในสต๊อกของรัฐ เพื่อให้ไปทำข้าวนึ่งเพื่อส่งออก
ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้ว่า ข้าวสองกองนี้ จะเป็นคู่แข่งในตลาดหรือไม่อย่างไร
กระทู้นี้ผมอยากจะลองคิดดูว่า ถ้ารัฐจะขายข้าวเปลือกออกมานั้น ควรจะขายราคาเท่าไหร่ และน่าจะขายได้เท่าไหร่ เพราะถ้ารมต.ยังคิดเหมือนกับคุณบุญทรง ที่พยายามเอาตัวเลขบางตัวมาล้อมตัวเอง เช่น กำหนดว่า ไม่ขายต่ำกว่าราคาตลาดมาก สุดท้ายมีการประมูล แต่ราคาที่ได้ต่ำเกินไป ก็ไม่ยอมขาย ก็สะสมข้าวต่อไปเรื่อย ๆ
เพราะผมคิดว่า มันถึงเวลาที่รัฐต้องเร่งระบายข้าว แต่ราคาต้องอยู่บนฐานของความเหมาะสม ถึงแม้ว่า ไม่อยากให้ตั้งค่าไว้สูงเกินไป แต่ตัวเลขที่ปล่อยต้องไม่ต่ำจนเกินไปเช่นกัน
ยิ่งตรงนี้ รัฐบาลมมีแผนการระบายเป็นข้าวเปลือก ยิ่งจะทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ อ้างอิง เพราะไม่มีตัวแปรอื่น ๆ มาประกอบมากนัก รับจำนำเข้ามา แล้วก็ประมูลระบายออกไปแค่นี้ก็จบ
ถ้ารับเข้าราคา 15,000 บาท ประมูลออกไปราคา 10,000 บาท ก็ขาดทุน 5,000 บาท น่าจะเข้าใจง่าย
ขอแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะพิมพ์ต่อในความเห็นข้างล่างนะครับ เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาจะยาวเกินไป