กสทช.>>มือไม่พาย เอา...ราน้ำ

วันนี้ไปเจอบทความมันส์ๆมา เลยเอามาฝาก

มือไม่พาย...
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.



บางครั้งการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรอิสระ มักถูกตั้งคำถามว่า จะทำให้ภาคธุรกิจของคนไทยอ่อนแอ จนไม่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ ทั้ง ๆ ที่อีกเพียง 2 ปี เราก็ต้องเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

อย่างกรณีการสิ้นสุด การให้สัญญาสัมปทานการให้บริการโทรศัพท์มือถือ ในย่านความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ก.ย.นี้ ระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้สัมปทานกับบริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด ที่มีจำนวนลูกค้าในระบบรวมกว่า 17 ล้านราย

มีผลทำให้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำโดย พ.อ. ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. และ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กสทช. ด้านกฎหมาย สนับสนุนการออก “ร่างประกาศ มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ...

ข้อความสำคัญคือ “กำหนดให้ ผู้ให้บริการรายเดิมทำหน้าที่ให้บริการต่อไปโดยใช้คลื่นความถี่ที่หมดอายุตามสัญญาสัมปทาน โดยไม่ต้องประมูลคลื่นความถี่ตามมาตรา 45 ของพ.ร.บ.กสทช. อีก 1 ปี หรือจนกว่าจะถ่ายโอนลูกค้าไประบบใหม่เสร็จเรียบร้อย” เพื่อไม่ให้กระทบกับการให้บริการของประชาชน ที่จำเป็นต้องติดต่อสื่อสาร เพราะโลกเราทุกวันนี้ ความรวดเร็วมีความสำคัญมาก ใครตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ทัน กลายเป็นคนตกยุคไปทันที

ขณะที่ บริษัททรูฯ ซึ่งเป็นของคนไทย ออกมายืนยันว่า พร้อมดำเนินการตามประกาศของ กสทช. และให้บริการลูกค้ากว่า 17 ล้านเลขหมาย ที่ค้างอยู่ในระบบ 2จี บนคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ต่อไป เพื่อรักษาภาพลักษณ์และแบรนด์ ของบริษัท เป็นการสร้างความรับผิดชอบโดยไม่ได้หวังกำไร และไม่ต้องการให้ผู้บริโภคต้องเดือดร้อน ประสบปัญหาซิมดับตามที่หลายฝ่ายหวั่นวิตก โดยควักกระเป๋า 15,000 ล้านบาท ลงทุนพัฒนาศักยภาพโทรคมนาคม ระบบ 3 จีและ 4 จี อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

พร้อมเปิดทางให้ บริษัท กสท โทรคมนาคม กสทช. จะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลลูกค้าร่วมกับทรู หากภาครัฐ และ กสทช.ไม่มั่นใจที่จะให้ ทรู ดูแลลูกค้า 17 ล้านเลขหมายเหมือนเดิม แต่ต้องร่วมรับผิดชอบภาระหากเกิดการขาดทุน ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นแนวทางที่ยุติธรรมดี

ส่วนแนวทางของต่างประเทศนั้น ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี กับการเตรียมการจัดสรรคลื่นความถี่ กำหนดวิธีการและมาตรการเยียวยา ที่คำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งานของประชาชนอย่างต่อเนื่อง และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ เพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านของการจัดสรรใบอนุญาต ไม่เกิดผลกระทบกับการใช้งานของประชาชน เช่น ประเทศอินเดีย หลังจากมีการประมูลคลื่นความถี่และเริ่มให้บริการแล้ว แต่มีผู้ประกอบการโดนเพิกถอนใบอนุญาตเนื่องจากความไม่โปร่งใส

ศาลจึงมีคำสั่งให้ผู้ประกอบการรายนั้น ให้บริการต่อไปจนกว่ากระบวนการจะสิ้นสุด และมีการจัดประมูลใหม่ เนื่องจากคำนึงถึงความจำเป็นของการใช้งาน เพื่อไม่ให้กระทบกับประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งคำนึงถึงการใช้งานของประชาชนเป็นหลัก

กรณี ประเทศไอร์แลนด์ มีการออกใบอนุญาตชั่วคราวแก่ผู้ประกอบการรายเดิม คือ “โวดาโฟน ไอร์แลนด์” และ “เทเลโฟนิคา 02” คอมมิวนิเคชั่น เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้บริการในช่วงเปลี่ยนผ่าน ก่อนที่จะมีผู้ได้รับใบอนุญาตรายใหม่ ผู้บริโภคสามารถใช้บริการได้ต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับ ประเทศโรมาเนีย ในปีสุดท้ายที่ 2จี ไลเซนค์ ของบริษัท โวดาโฟน โรมาเนีย และ ออเรนจ์ โรมาเนีย กำลังจะหมดอายุ หน่วยงานกำกับดูแล ได้มีการต่ออายุของใบอนุญาตออกไป ระหว่างขั้นตอนการจัดสรรใบอนุญาตใหม่ เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้การให้บริการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงัก

แต่ที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง คงหนีไม่พ้นท่าทีของ “นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา” กับ “น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์” สองกสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ที่ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบดูแล หลังสัญญาสัมปทานของ ทรูมูฟ และ ดีพีซี หมดอายุภายในวันที่ 16 ก.ย. 2556 เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องประสบปัญหาซิมดับ แต่เมื่อ กสทช. มีร่างประกาศออกมาเยียวยาผู้บริโภค กลับออกมาขวางลำและต่อต้าน อ้างว่าร่างประกาศที่ออกมานั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน

ผมไม่ทราบว่า ทั้ง 2 ท่านมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงบ้าง เพราะช่วงที่เปลี่ยนผ่าน ทุกฝ่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กสทช.ในฐานะองค์กรอิสระที่ดูแลกำกับคลื่น และภาคเอกชนที่ให้บริการด้านโทรคมนาคม ต้องร่วมกันเร่งหามาตรการเพื่อทำอย่างไรไม่ให้ผู้บริโภคต้องเดือดร้อน

แต่หากทั้งนพ.ประวิทย์ และน.ส.สุภิญญา ที่มักอ้างตลอดว่าทำเพื่อผู้บริโภค กลับกระทำพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับคำพูด ขวางลำต่อต้านการช่วยเหลือประชาชนทุกวิถีทาง อาจถูกจัดอยู่ในบุคคลประเภท ’มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ“.



เขื่อนขันธ์


dailynews.co.th/article/5/220106

via Pantip Talk
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่