AREA ประเมินยอดเปิดตัวอสังหาฯลดลง15%

บริษัทวิจัย เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยผลสำรวจอสังหาฯครึ่งปีแรก และแนวโน้มครึ่งปีหลัง พบสัญญาณชะลอตัว 10-15%เหตุโครงการเปิดใหม่ลดลง ชี้แนวโน้มยอดลูกค้าคอนโดฯขอสินเชื่อไม่ผ่าน เพิ่มจาก 5%เป็น 12-15%

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เผยผลสำรวจแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ครึ่งหลังของปี 2556 ว่า จะชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรกประมาณ 10% แต่เชื่อว่าทั้งปี 2556ยังเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา อยู่ที่อัตรา 4% ในแง่มูลค่า และ 12%ในแง่จำนวนหน่วยเปิดใหม่ โดยประเมินจากสมมติฐานให้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีจำนวนและมูลค่าของหน่วยขายเปิดใหม่เป็นเพียง 85% หรือลดลง 15% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เพราะในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีการชะลอตัวในการเปิดโครงการใหม่บ้างตามภาวะการขายที่ชะลอตัวลง ทำให้ทั้งปี น่าจะมีหน่วยขายเปิดใหม่รวมมูลค่า 310,772ล้านบาท จากทั้งหมด 113,584 หน่วย

หากสมมติให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 มีจำนวนและมูลค่าของหน่วยขายเปิดใหม่เป็นเพียง 85% ของครึ่งปีแรก เพราะในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีการชะลอตัวในการเปิดตัวโครงการใหม่บ้างตามภาวะการขายที่ชะลอตัวลง ก็ยังจะทำให้ทั้งปี มีหน่วยขายเปิดใหม่รวมมูลค่า 310,772 ล้านบาท จากทั้งหมด 113,584 หน่วย ซึ่งแสดงว่ามูลค่าเพิ่มมากกว่าปี พ.ศ.2555 ประมาณ 4% ส่วนจำนวนหน่วย เพิ่มขึ้นประมาณ 12%

ราคาขายต่อหน่วยที่เปิดตัวในครึ่งปีแรก 2.736 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2555 ที่ราคาหน่วยขายเฉลี่ยเป็นเงิน 2.937 ล้านบาท ก็แสดงว่า สินค้าที่เปิดตัวเน้นขายในราคาที่ต่ำลง ทั้งนี้เพื่อหวังให้มีปริมาณผู้ซื้อมากขึ้น แสดงว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะการขายที่ชะลอตัวลงกว่าแต่ก่อน จึงต้องทำสินค้าราคาต่ำลงเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ

สำหรับประเด็นปัญหาการล้นตลาด ขณะนี้พบว่ามีการซื้อเพื่อการเก็งกำไรมากขึ้น และอาคารชุดที่ทยอยเสร็จ กำลังประสบปัญหาการโอนพอสมควร สัดส่วนของผู้จองซื้อที่ไม่สามารถขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ แต่เดิมคาดว่ามีอยู่ต่ำกว่า5-6% แต่ขณะนี้คาดว่าอาจสูงถึง 12-15% กรณีเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของบริษัทพัฒนาที่ดินในระดับหนึ่ง ยิ่งหากผู้ได้รับสิทธิการกู้ แต่ไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ จะกลายเป็นหนี้เสีย ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินได้ในภายหลัง

มาตรการสำคัญต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่น่าจะอยู่ที่การกระตุ้นกำลังซื้อ แต่น่าจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์ให้สูงขึ้น เพื่อความมั่นคงของตลาด โดยควรมีสัดส่วนเงินดาวน์อย่างน้อย 15-20% ของราคาขาย

สอดคล้องกับการประเมินของเอกชนที่เริ่มจับตามองว่าครึ่งปีหลังจะชะลอตัว แต่ก็ยังเอกชนก็ประเมินว่าน่าจะเติบโตประมาณ 7% อย่างเช่นกลุ่มพฤกษา ขณะเดียวกันหลายรายก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น อย่างค่ายเอพีก็มองว่ากำลังซื้อเริ่มชะลอตัว และธนาคารเริ่มปฎิเสธการขอกู้ของลูกค้ามากขึ้น หลายแบรนด์จึงมีการเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์มากขึ้น เป็น 10-20%

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่