บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้บริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยผลวิจัยล่าสุด “การเติบโตอย่างร้อนแรงของตลาดคอนโดมิเนียม ฟองสบู่จริงหรือ?” พบว่าใน 1-3 ปีข้างหน้า ยังไม่พบสัญญาณใดๆ ที่น่ากังวล เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และหากนับย้อนหลัง 5 ปี (ไม่นับรวมปี 2554 ที่เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศ) จะเห็นว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมสูงขึ้นกว่า 21% ต่อปี สอดรับกับจำนวนห้องชุดที่สร้างเสร็จสะสมในแต่ละปี
รวมถึงปัจจัยบวกต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของอสังหาฯ อาทิ การเข้ามาของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และคอนโดในระดับ Hi-End ยังคงราคาต่ำเมื่อเทียบตลาดต่างประเทศ รวมถึงอัตราห้องว่างเฉลี่ยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 2540 ที่มีห้องว่างเฉลี่ยต่อโครงการสูงถึง 45-50%
หลายฝ่ายจับตามองว่าตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย และก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่นั้น ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลการบริหารงานขายและรับบริหารอาคารให้หลายๆ โครงการ พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักอาศัยในแต่ละโครงการ หรือ Real Demand อยู่ในอัตราค่อนข้างสูง หรือมากกว่า 70% โดยยอดการโอนโครงการที่ก่อสร้างเสร็จยังคงทำได้ดี โครงการขนาดใหญ่บางโครงการที่เปิดตัวในปี 2556 สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วในวันแรก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 และมีการขยายตัวอย่างร้อนแรง ภายหลังตลาดอสังหาฯ แนวราบได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ทำให้ตลาดคอนโดในปี 2555 มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 64,000 ยูนิต จาก 174 โครงการ และในช่วงปี 2556 ผ่านมาเพียง 5 เดือน มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดแล้วกว่า 41,000 ยูนิต จาก 88 โครงการ โดยตั้งแต่ปี 2551-2555 จำนวนห้องชุดสร้างเสร็จสะสมมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 41,223 ยูนิต หรือคิดเป็น22% ต่อปี
เมื่อเปรียบเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ของห้องชุด ซึ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ของทั้งตลาดมือหนึ่งและมือสอง ยอดโอนกรรมสิทธิ์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12% ต่อปี ซึ่งหากหักยอดโอนในปี 2554 ออกไป เนื่องจากเป็นปีที่มีสถานการณ์ไม่ปกติจากปัญหาอุทกภัย จนทำให้ไม่สามารถโอนห้องชุดบางส่วนในบางพื้นที่ได้อัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดโอนกรรมสิทธิ์จะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 21% ต่อปี แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของความต้องการซื้อที่แท้จริง (Rea Demand) ในตลาดคอนโด ที่เพิ่มขึ้นสอดรับกันกับการขยายตัวของอุปทานสร้างเสร็จสะสมในแต่ละปี
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้ทำการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่างโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 47 โครงการ รวม 10,719 ยูนิต ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดแล้วพบว่า 76.9% มีการเข้าพักอาศัยแล้ว (จำนวนนี้แบ่งเป็นเจ้าของอาศัยอยู่เอง 52.4% กับผู้พักอาศัยที่เป็นผู้เช่า 24.5%) และที่เหลืออีก 23.1% เป็นห้องชุดโอนแล้วแต่ยังไม่มีผู้เข้าพักอาศัย ซึ่งคาดว่าห้องชุดเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นของนักลงทุนเพื่อรอการปล่อยเช่า และอีกส่วนเป็นของผู้ซื้อที่ซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สอง
สอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่สุ่มสำรวจพื้นที่เดียวกันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่ามีอัตราห้องว่างในสัดส่วนเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 23% แสดงให้เห็นว่าแม้ปริมาณอุปทานมีความแตกต่างกันสูงในช่วง 5 ปีนี้ แต่ปริมาณการเข้าพักอาศัยจริงยังมีสัดส่วนที่สูงสอดรับตามจำนวนอุปทานด้วย และยังถือได้ว่าอัตราส่วนของห้องว่างโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมากหากเทียบกับในช่วงปี 2540 ที่มีห้องว่างเฉลี่ยต่อโครงการอยู่ที่ 45-50% เนื่องจากอุปสงค์ส่วนใหญ่มาจากแรงซื้อเพื่อเก็งกำไร
ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ที่มีความสำคัญต่อในระดับมหภาคของประเทศ เกี่ยวโยงในหลายมิติ อาทิ ภาคการผลิต และก่อให้เกิดการจ้างงาน หากเศรษฐกิจดี ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะเติบโต มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทำให้วิตกกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ตามมา
จากการที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการศึกษาข้อมูลข้างต้น ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกับขนาดครัวเรือนที่เล็กลง คนนิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สามารถสรุปได้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต แต่ในบางช่วงขณะหรือบางพื้นที่อาจมีการขายได้ช้ากว่าที่เคยเป็นเท่านั้น ไม่ถึงกับโอเวอร์ซัพพลายและภาวะฟองสบู่อย่างแน่นอน
โดย...บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้
http://www.posttoday.com/บ้าน-คอนโด/234849/คอนโดร้อนแรงฟองสบู่จริงหรือ-
ฟองสบู่คอนโด?
รวมถึงปัจจัยบวกต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของอสังหาฯ อาทิ การเข้ามาของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และคอนโดในระดับ Hi-End ยังคงราคาต่ำเมื่อเทียบตลาดต่างประเทศ รวมถึงอัตราห้องว่างเฉลี่ยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 2540 ที่มีห้องว่างเฉลี่ยต่อโครงการสูงถึง 45-50%
หลายฝ่ายจับตามองว่าตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย และก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่นั้น ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลการบริหารงานขายและรับบริหารอาคารให้หลายๆ โครงการ พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักอาศัยในแต่ละโครงการ หรือ Real Demand อยู่ในอัตราค่อนข้างสูง หรือมากกว่า 70% โดยยอดการโอนโครงการที่ก่อสร้างเสร็จยังคงทำได้ดี โครงการขนาดใหญ่บางโครงการที่เปิดตัวในปี 2556 สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วในวันแรก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 และมีการขยายตัวอย่างร้อนแรง ภายหลังตลาดอสังหาฯ แนวราบได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ทำให้ตลาดคอนโดในปี 2555 มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 64,000 ยูนิต จาก 174 โครงการ และในช่วงปี 2556 ผ่านมาเพียง 5 เดือน มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดแล้วกว่า 41,000 ยูนิต จาก 88 โครงการ โดยตั้งแต่ปี 2551-2555 จำนวนห้องชุดสร้างเสร็จสะสมมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 41,223 ยูนิต หรือคิดเป็น22% ต่อปี
เมื่อเปรียบเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ของห้องชุด ซึ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ของทั้งตลาดมือหนึ่งและมือสอง ยอดโอนกรรมสิทธิ์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12% ต่อปี ซึ่งหากหักยอดโอนในปี 2554 ออกไป เนื่องจากเป็นปีที่มีสถานการณ์ไม่ปกติจากปัญหาอุทกภัย จนทำให้ไม่สามารถโอนห้องชุดบางส่วนในบางพื้นที่ได้อัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดโอนกรรมสิทธิ์จะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 21% ต่อปี แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของความต้องการซื้อที่แท้จริง (Rea Demand) ในตลาดคอนโด ที่เพิ่มขึ้นสอดรับกันกับการขยายตัวของอุปทานสร้างเสร็จสะสมในแต่ละปี
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้ทำการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่างโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 47 โครงการ รวม 10,719 ยูนิต ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดแล้วพบว่า 76.9% มีการเข้าพักอาศัยแล้ว (จำนวนนี้แบ่งเป็นเจ้าของอาศัยอยู่เอง 52.4% กับผู้พักอาศัยที่เป็นผู้เช่า 24.5%) และที่เหลืออีก 23.1% เป็นห้องชุดโอนแล้วแต่ยังไม่มีผู้เข้าพักอาศัย ซึ่งคาดว่าห้องชุดเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นของนักลงทุนเพื่อรอการปล่อยเช่า และอีกส่วนเป็นของผู้ซื้อที่ซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สอง
สอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่สุ่มสำรวจพื้นที่เดียวกันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่ามีอัตราห้องว่างในสัดส่วนเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 23% แสดงให้เห็นว่าแม้ปริมาณอุปทานมีความแตกต่างกันสูงในช่วง 5 ปีนี้ แต่ปริมาณการเข้าพักอาศัยจริงยังมีสัดส่วนที่สูงสอดรับตามจำนวนอุปทานด้วย และยังถือได้ว่าอัตราส่วนของห้องว่างโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมากหากเทียบกับในช่วงปี 2540 ที่มีห้องว่างเฉลี่ยต่อโครงการอยู่ที่ 45-50% เนื่องจากอุปสงค์ส่วนใหญ่มาจากแรงซื้อเพื่อเก็งกำไร
ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ที่มีความสำคัญต่อในระดับมหภาคของประเทศ เกี่ยวโยงในหลายมิติ อาทิ ภาคการผลิต และก่อให้เกิดการจ้างงาน หากเศรษฐกิจดี ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะเติบโต มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทำให้วิตกกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ตามมา
จากการที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการศึกษาข้อมูลข้างต้น ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกับขนาดครัวเรือนที่เล็กลง คนนิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สามารถสรุปได้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต แต่ในบางช่วงขณะหรือบางพื้นที่อาจมีการขายได้ช้ากว่าที่เคยเป็นเท่านั้น ไม่ถึงกับโอเวอร์ซัพพลายและภาวะฟองสบู่อย่างแน่นอน
โดย...บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้
http://www.posttoday.com/บ้าน-คอนโด/234849/คอนโดร้อนแรงฟองสบู่จริงหรือ-