แม้ว่าข่าวที่เครื่องบินสายการบิน Asiana ประสบอุบัติเหตุที่ซานฟรานซิสโกจะดังก้องโลก
และเรื่องของแอร์โฮสเตสตัวเล็กๆ ที่ผู้โดยสารและผู้เห็นเหตุการณ์ต่างบอกตรงกันว่า "เธอคือผู้ช่วยชีวิต"
ก็เป็นข่าวดังไม่แพ้กัน ตอนแรกเราเชื่อว่า ภาพข่าวนี้น่าจะช่วยเปิดหูเปิดตาให้กับบุคคลภายนอกวงการการบินได้รับรู้ว่า
ที่จริงแล้ว "นางฟ้า" เขาทำหน้าที่อะไร แต่ก็ยังไม่วายเจอคำตอบเดิมๆ เสริฟ เก็บๆ เดินสวยๆ เชิดๆ หยิ่งๆ
ที่เห็นอยู่เท่านั้นก็จริง เพราะเครื่องบินมันไม่ได้ตกทุกไฟลท์ ความสามารถในการอพยพที่บรรดาแอร์ได้เทรนมาเลยไม่ค่อยได้เห็น
แอร์ทุกคนที่มาบินเสริฟพวกคุณๆ ต้องมีการสอบต่อใบอนุญาตบินกันทุกปี ความรู้เรื่อง Safety ต้องอัพเดตตลอด
นอกจากควบคุมคุณภาพพนักงานโดยสายการบินแล้ว ยังมีองค์กรกลางระหว่างประเทศที่คอยทำการตรวจเช็คมาตรฐานความปลอดถัย
มีการสุ่มเช็คมาตรฐานความปลอดภัยของการปฏิบัติงานตลอดเวลา หากไม่ผ่านถึงขนาดยึดใบอนุญาตของสายการบินก็มี
หากคุณยังคิดว่า แอร์โอสเตสทำหน้าที่แค่เสริฟกับเก็บถาด ให้ลองไปถามคนที่เคยป่วยบนเครื่องบินดูว่า แอร์ทำอะไรบ้าง
บางคนคลอดลูกบนเครื่อง เป็นโรคหัวใจ สลบ ชัก หรือแม้กระทั่งกินอาหารติดคอ อาการเหล่านี้บรรดาแอร์เทรนมาเพื่อปฐมพยาบาล
เพื่อยื้อชีวิตของคุณผู้โดยสารที่เคารพรักเท่าชีวิตของพวกเราเอง หรือเคสที่ร้ายแรงเช่นเครื่องบินตก แลนด์ฉุกเฉิน แอร์ต้องทำอะไรบ้าง
ข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาดูได้จากสื่อมากมาย หรือบทสัมภาษณ์หลายพันฉบับ แต่คนบางกลุ่มก็ยังปิดกั้นตัวเองจากการยอมรับว่า
อาชีพนี้ ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีความรับผิดชอบ มีความหมายเท่าๆกับทุกๆอาชีพบนโลกใบนี้
ทำไมแอร์ต้องดูเชิดๆหยิ่งๆ
ตอบ เพราะหมวกที่พวกเราใส่อยู่น่ะสิคะ มันพร้อมจะหลุดได้ทุกเวลา ทางแก้คือเดินเงยหน้านิดนึง และอีกอย่างตามกฎของทุกบริษัท
เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกเรือจะต้องรักษาภาพลักษณ์อันดีงาม แต่งยูนิฟอร์มให้ครบถ้วน ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง ห้ามสูบบุหรี่ และอื่นๆอีกมากมาย
เวลาไปเดินที่สนามบินแต่ละที มีสายตากี่คู่ที่จ้องมอง ถ้าไม่ได้เป็นเซเล็บโดยอาชีพก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ยิ้มหวานกวาดสายตาก็ดูจะเป็นนางงามไปหน่อย ครั้นจะส่งยิ้มให้ทุกสายตา เกรงว่าจะไม่ไหว
อาชีพนี้ทำอะไรบ้าง
ก่อนเวลาเครื่องออก 120 นาทีเป็นอย่างต่ำที่แอร์จะต้องมารายงานตัว ทำการบรีฟรายละเอียดต่างๆ เช็คความเรียบร้อยของเอกสาร, เครื่องแต่งกาย และรวมถึงความรู้เรื่อง Safety ที่จะต้องถามกันก่อนบินทุกไฟลท์ ใครตอบไม่ได้มีสิทธิ์โดน Offload ไม่ได้บินไฟลท์นั้น ลากกระเป๋ากลับบ้านไป แถมโดนสอบใหม่อีก
1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก (30 นาทีก่อนผู้โดยสารบอร์ดดิ้ง) ลูกเรือทุกคนรวมถึงนักบิน ต้องเช็คอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทุกอย่าง ทุกชิ้นในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง เช่น ถังดับเพลิง ถังOxygen เสื้อชูชีพ เป็นต้น รวมถึงการตรวจหาวัตถุแปลกปลอมเช่น (ระเบิด) นอกนั้นยังรวมถึงจำนวนอาหารเครื่องดื่มที่จะต้องใช้เสริฟ ใช้ขาย ความสะอาดของห้องโดยสาร ที่นั่ง หน้าจอทีวีใช้งานได้หรือไม่
ผู้โดยสารบอร์ดดิ้ง นอกจากแอร์จะช่วยหาที่นั่ง สลับที่ หน้าที่จริงๆของเราคือ มองหาผู้ที่สามารถจะเป็นผู้ช่วยยามเกิดเหตุฉุกเฉินได้ แจกเข็มขัดนิรภัยสำหรับทารก รวมถึงช่วยกันดูว่าผู้โดยสารแต่ละท่านที่ขึ้นมาพร้อมบินไปกับเราถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือไม่ บางคนป่วยหนัก เมา หรือบุคคลใดๆที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน หากมีบุคคลเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของพวกท่านเอง แอร์จึงต้องปฏิเสธการขึ้นเครื่อง
ก่อนเทคออฟ ต้องมีการสาธิตอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ และแสดงทางออกทั้งหมดบนเครื่องบิน ไม่ว่าจะด้วย Video หรือ แอร์เป็นผู้แสดง
หลังจากนั้นต้องแน่ใจว่า ผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย ปรับเบาะตรง พับโต๊ะด้านหน้า และปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้ว ลูกเรือจึงจะไปนั่งประจำที่ของตนเอง
ระหว่างเทคออฟ อย่าแปลกใจว่าทำไมแอร์ตรงหน้าหยิ่ง ทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่คุยด้วย
เพราะช่วงเวลานั้น เราถูกเทรนมาว่า จะต้องคิดทบทวนว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เราจะต้องทำอย่างไร
จะอพยพผู้โดยสารแบบไหน ประตูที่เรานั่งอยู่เปิดแบบใด ทุกเหตุการณ์ที่สมมติได้จะต้องถูกเตรียมไว้ในสมองตลอด
ส่วนของการเสริฟการบริการคงไม่ต้องพูดถึง
ระหว่างบิน แอร์ต้องเช็คความปลอดภัยต่างๆตลอดเวลา ระวังไฟไหม้ อาจจะจากผู้โดยสารแอบสูบบุหรี่ หรือไฟฟ้าลัดวงจร
เดินตรวจตราดูผู้โดยสาร บางคนเป็นลม บางคนอยู่ดีๆเกิดหยุดหายใจ บางคนอาจจะกลัวการบินจนหมดสติก็ได้
ก่อนเครื่องแลนด์ ลูกเรือทุกคนก็ต้องทำแบบเดิม ตรวจเช็คผู้โดยสารเหมือนเดิม เหมือนตอนที่เครื่องจะขึ้น
หลังเครื่องแลนด์ ลูกเรือยังต้องเดินตามเช็คตามที่นั่งทุกที่นั่งว่า มีผู้โดยสารลืมอะไรไว้หรือเปล่า มีคนแอบทิ้งวัตถุต้องสงสัยมั้ย
ฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า หากคุณลืมของแล้วยังวิ่งกลับมาที่เครื่อง จะพบกับคำตอบว่า ของได้ถูกส่งไปยังกราวด์สต๊าฟแล้ว
เพราะทันทีที่ผู้โดยสารคนสุดท้ายลงจากเครื่อง ต้องดำเนินการเช็คทันที
ข้อเสียของอาชีพนี้ (ข้อดีคงไม่ต้องพูด ทุกคนรู้อยู่)
- ทำลายสุขภาพแบบผ่อนส่ง ไหนจะเรื่องอาการปวดหลัง จากการยกของหนัก ยกกระเป๋าขึ้นช่องเก็บของเหนือศีรษะ ลองคิดดูว่า หากแอร์ 1 คน ช่วยผู้โดยสารยกวันละ 5 ใบ ทำงาน 20 วัน เท่ากับ 100 ครั้ง จะสร้างความเสียหายให้กับกระดูกสันหลังขนาดไหน แอร์บางคนถึงกับเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นลงจากเครื่อง ยังไม่รวมถึงเวลาพักผ่อนที่ไม่ปกติ เจ็ตแลค หูบลีอก หูอื้อ บางคนถึงกับแก้วหูทะลุ
- ไม่มีเวลาเหมือนคนปกติ เพราะทำงานเวลาที่คนอื่นนอน นอนเวลาคนอื่นทำงาน วันหยุดเทศกาลคือเวลาทำงานของเรา
- จะลาป่วยแต่ละที ต้องมีใบรับรองแพทย์เสมอ ต้องแจ้งล่วงหน้า เพื่อที่สายการบินจะได้จัดหาคนบินแทนได้ทัน
- ทำผมทรงตามแฟชั่นมากไม่ได้ แต่งหน้าก็ต้องตามกฎ เล็บก็ต้องทาสีที่กำหนด
- ต้องรักษาสุขภาพให้อยู่ในเกณฑ์ที่แต่ละสายการบินกำหนด ห้ามเลือดจาง ห้ามกระดูกสันหลังคด
- อาชีพนี้ต้องยอมรับความเสี่ยง เพราะเครื่องบินที่ปลอดภัยที่สุด คือเครื่องบินที่จอดอยู่บนพื้น แต่จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ จอดอยู่เฉยๆไฟก็ไหม้ได้!
- ไม่ใช่ทุกสายที่มีสวัสดิการดีเลิศ อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนเลือกจริงๆ
- อาชีพนี้ หากจะเปลี่ยนสายงาน จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับ จะถูกมองว่าทำอะไรไม่เป็น แต่ได้เงินเดือนเยอะๆมาจะสู้ไหวเหรอ (ประสบการณ์ตรง) จึงต้องยอมเริ่มต้นใหม่ หรือทำธุรกิจส่วนตัวไปเลย
- คนที่บินเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะเริ่มติดกับวิถีชีวิตแบบนี้ (ถอนตัวยากนั่นเอง)
- งานหนักจริง บางไฟลท์ 11 ชั่วโมง แอร์ สจ๊วตก็ต้องเดินกันตลอดเวลา เพื่อบริการผู้โดยสารอันเป็นที่รักนั่นเอง
ทุกอาชีพมีข้อดี ข้อเสีย มีบทบาทของตัวเอง มีหน้าที่ๆต้องทำ
ดังนั้น ดิฉันเชื่อว่า "ไม่มีอาชีพไหนบนโลกที่ทำได้ง่าย"
ทุกอาชีพล้วนต้องการความสามารถ ความรู้ ความชำนาญ
แทนที่จะบอกว่าเป็น "แค่...." ก็ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างคงจะดี
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ คนบางกลุ่มก็ยังมองแอร์โฮสเตสด้วย"ภาพเดิมๆ"
และเรื่องของแอร์โฮสเตสตัวเล็กๆ ที่ผู้โดยสารและผู้เห็นเหตุการณ์ต่างบอกตรงกันว่า "เธอคือผู้ช่วยชีวิต"
ก็เป็นข่าวดังไม่แพ้กัน ตอนแรกเราเชื่อว่า ภาพข่าวนี้น่าจะช่วยเปิดหูเปิดตาให้กับบุคคลภายนอกวงการการบินได้รับรู้ว่า
ที่จริงแล้ว "นางฟ้า" เขาทำหน้าที่อะไร แต่ก็ยังไม่วายเจอคำตอบเดิมๆ เสริฟ เก็บๆ เดินสวยๆ เชิดๆ หยิ่งๆ
ที่เห็นอยู่เท่านั้นก็จริง เพราะเครื่องบินมันไม่ได้ตกทุกไฟลท์ ความสามารถในการอพยพที่บรรดาแอร์ได้เทรนมาเลยไม่ค่อยได้เห็น
แอร์ทุกคนที่มาบินเสริฟพวกคุณๆ ต้องมีการสอบต่อใบอนุญาตบินกันทุกปี ความรู้เรื่อง Safety ต้องอัพเดตตลอด
นอกจากควบคุมคุณภาพพนักงานโดยสายการบินแล้ว ยังมีองค์กรกลางระหว่างประเทศที่คอยทำการตรวจเช็คมาตรฐานความปลอดถัย
มีการสุ่มเช็คมาตรฐานความปลอดภัยของการปฏิบัติงานตลอดเวลา หากไม่ผ่านถึงขนาดยึดใบอนุญาตของสายการบินก็มี
หากคุณยังคิดว่า แอร์โอสเตสทำหน้าที่แค่เสริฟกับเก็บถาด ให้ลองไปถามคนที่เคยป่วยบนเครื่องบินดูว่า แอร์ทำอะไรบ้าง
บางคนคลอดลูกบนเครื่อง เป็นโรคหัวใจ สลบ ชัก หรือแม้กระทั่งกินอาหารติดคอ อาการเหล่านี้บรรดาแอร์เทรนมาเพื่อปฐมพยาบาล
เพื่อยื้อชีวิตของคุณผู้โดยสารที่เคารพรักเท่าชีวิตของพวกเราเอง หรือเคสที่ร้ายแรงเช่นเครื่องบินตก แลนด์ฉุกเฉิน แอร์ต้องทำอะไรบ้าง
ข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาดูได้จากสื่อมากมาย หรือบทสัมภาษณ์หลายพันฉบับ แต่คนบางกลุ่มก็ยังปิดกั้นตัวเองจากการยอมรับว่า
อาชีพนี้ ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีความรับผิดชอบ มีความหมายเท่าๆกับทุกๆอาชีพบนโลกใบนี้
ทำไมแอร์ต้องดูเชิดๆหยิ่งๆ
ตอบ เพราะหมวกที่พวกเราใส่อยู่น่ะสิคะ มันพร้อมจะหลุดได้ทุกเวลา ทางแก้คือเดินเงยหน้านิดนึง และอีกอย่างตามกฎของทุกบริษัท
เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกเรือจะต้องรักษาภาพลักษณ์อันดีงาม แต่งยูนิฟอร์มให้ครบถ้วน ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง ห้ามสูบบุหรี่ และอื่นๆอีกมากมาย
เวลาไปเดินที่สนามบินแต่ละที มีสายตากี่คู่ที่จ้องมอง ถ้าไม่ได้เป็นเซเล็บโดยอาชีพก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ยิ้มหวานกวาดสายตาก็ดูจะเป็นนางงามไปหน่อย ครั้นจะส่งยิ้มให้ทุกสายตา เกรงว่าจะไม่ไหว
อาชีพนี้ทำอะไรบ้าง
ก่อนเวลาเครื่องออก 120 นาทีเป็นอย่างต่ำที่แอร์จะต้องมารายงานตัว ทำการบรีฟรายละเอียดต่างๆ เช็คความเรียบร้อยของเอกสาร, เครื่องแต่งกาย และรวมถึงความรู้เรื่อง Safety ที่จะต้องถามกันก่อนบินทุกไฟลท์ ใครตอบไม่ได้มีสิทธิ์โดน Offload ไม่ได้บินไฟลท์นั้น ลากกระเป๋ากลับบ้านไป แถมโดนสอบใหม่อีก
1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก (30 นาทีก่อนผู้โดยสารบอร์ดดิ้ง) ลูกเรือทุกคนรวมถึงนักบิน ต้องเช็คอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทุกอย่าง ทุกชิ้นในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง เช่น ถังดับเพลิง ถังOxygen เสื้อชูชีพ เป็นต้น รวมถึงการตรวจหาวัตถุแปลกปลอมเช่น (ระเบิด) นอกนั้นยังรวมถึงจำนวนอาหารเครื่องดื่มที่จะต้องใช้เสริฟ ใช้ขาย ความสะอาดของห้องโดยสาร ที่นั่ง หน้าจอทีวีใช้งานได้หรือไม่
ผู้โดยสารบอร์ดดิ้ง นอกจากแอร์จะช่วยหาที่นั่ง สลับที่ หน้าที่จริงๆของเราคือ มองหาผู้ที่สามารถจะเป็นผู้ช่วยยามเกิดเหตุฉุกเฉินได้ แจกเข็มขัดนิรภัยสำหรับทารก รวมถึงช่วยกันดูว่าผู้โดยสารแต่ละท่านที่ขึ้นมาพร้อมบินไปกับเราถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือไม่ บางคนป่วยหนัก เมา หรือบุคคลใดๆที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน หากมีบุคคลเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของพวกท่านเอง แอร์จึงต้องปฏิเสธการขึ้นเครื่อง
ก่อนเทคออฟ ต้องมีการสาธิตอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ และแสดงทางออกทั้งหมดบนเครื่องบิน ไม่ว่าจะด้วย Video หรือ แอร์เป็นผู้แสดง
หลังจากนั้นต้องแน่ใจว่า ผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย ปรับเบาะตรง พับโต๊ะด้านหน้า และปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้ว ลูกเรือจึงจะไปนั่งประจำที่ของตนเอง
ระหว่างเทคออฟ อย่าแปลกใจว่าทำไมแอร์ตรงหน้าหยิ่ง ทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่คุยด้วย
เพราะช่วงเวลานั้น เราถูกเทรนมาว่า จะต้องคิดทบทวนว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เราจะต้องทำอย่างไร
จะอพยพผู้โดยสารแบบไหน ประตูที่เรานั่งอยู่เปิดแบบใด ทุกเหตุการณ์ที่สมมติได้จะต้องถูกเตรียมไว้ในสมองตลอด
ส่วนของการเสริฟการบริการคงไม่ต้องพูดถึง
ระหว่างบิน แอร์ต้องเช็คความปลอดภัยต่างๆตลอดเวลา ระวังไฟไหม้ อาจจะจากผู้โดยสารแอบสูบบุหรี่ หรือไฟฟ้าลัดวงจร
เดินตรวจตราดูผู้โดยสาร บางคนเป็นลม บางคนอยู่ดีๆเกิดหยุดหายใจ บางคนอาจจะกลัวการบินจนหมดสติก็ได้
ก่อนเครื่องแลนด์ ลูกเรือทุกคนก็ต้องทำแบบเดิม ตรวจเช็คผู้โดยสารเหมือนเดิม เหมือนตอนที่เครื่องจะขึ้น
หลังเครื่องแลนด์ ลูกเรือยังต้องเดินตามเช็คตามที่นั่งทุกที่นั่งว่า มีผู้โดยสารลืมอะไรไว้หรือเปล่า มีคนแอบทิ้งวัตถุต้องสงสัยมั้ย
ฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า หากคุณลืมของแล้วยังวิ่งกลับมาที่เครื่อง จะพบกับคำตอบว่า ของได้ถูกส่งไปยังกราวด์สต๊าฟแล้ว
เพราะทันทีที่ผู้โดยสารคนสุดท้ายลงจากเครื่อง ต้องดำเนินการเช็คทันที
ข้อเสียของอาชีพนี้ (ข้อดีคงไม่ต้องพูด ทุกคนรู้อยู่)
- ทำลายสุขภาพแบบผ่อนส่ง ไหนจะเรื่องอาการปวดหลัง จากการยกของหนัก ยกกระเป๋าขึ้นช่องเก็บของเหนือศีรษะ ลองคิดดูว่า หากแอร์ 1 คน ช่วยผู้โดยสารยกวันละ 5 ใบ ทำงาน 20 วัน เท่ากับ 100 ครั้ง จะสร้างความเสียหายให้กับกระดูกสันหลังขนาดไหน แอร์บางคนถึงกับเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นลงจากเครื่อง ยังไม่รวมถึงเวลาพักผ่อนที่ไม่ปกติ เจ็ตแลค หูบลีอก หูอื้อ บางคนถึงกับแก้วหูทะลุ
- ไม่มีเวลาเหมือนคนปกติ เพราะทำงานเวลาที่คนอื่นนอน นอนเวลาคนอื่นทำงาน วันหยุดเทศกาลคือเวลาทำงานของเรา
- จะลาป่วยแต่ละที ต้องมีใบรับรองแพทย์เสมอ ต้องแจ้งล่วงหน้า เพื่อที่สายการบินจะได้จัดหาคนบินแทนได้ทัน
- ทำผมทรงตามแฟชั่นมากไม่ได้ แต่งหน้าก็ต้องตามกฎ เล็บก็ต้องทาสีที่กำหนด
- ต้องรักษาสุขภาพให้อยู่ในเกณฑ์ที่แต่ละสายการบินกำหนด ห้ามเลือดจาง ห้ามกระดูกสันหลังคด
- อาชีพนี้ต้องยอมรับความเสี่ยง เพราะเครื่องบินที่ปลอดภัยที่สุด คือเครื่องบินที่จอดอยู่บนพื้น แต่จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ จอดอยู่เฉยๆไฟก็ไหม้ได้!
- ไม่ใช่ทุกสายที่มีสวัสดิการดีเลิศ อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนเลือกจริงๆ
- อาชีพนี้ หากจะเปลี่ยนสายงาน จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับ จะถูกมองว่าทำอะไรไม่เป็น แต่ได้เงินเดือนเยอะๆมาจะสู้ไหวเหรอ (ประสบการณ์ตรง) จึงต้องยอมเริ่มต้นใหม่ หรือทำธุรกิจส่วนตัวไปเลย
- คนที่บินเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะเริ่มติดกับวิถีชีวิตแบบนี้ (ถอนตัวยากนั่นเอง)
- งานหนักจริง บางไฟลท์ 11 ชั่วโมง แอร์ สจ๊วตก็ต้องเดินกันตลอดเวลา เพื่อบริการผู้โดยสารอันเป็นที่รักนั่นเอง
ทุกอาชีพมีข้อดี ข้อเสีย มีบทบาทของตัวเอง มีหน้าที่ๆต้องทำ
ดังนั้น ดิฉันเชื่อว่า "ไม่มีอาชีพไหนบนโลกที่ทำได้ง่าย"
ทุกอาชีพล้วนต้องการความสามารถ ความรู้ ความชำนาญ
แทนที่จะบอกว่าเป็น "แค่...." ก็ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างคงจะดี