ฎ. 201/2506 กำไลข้อมือ เป็นยา คืออะไร ?

กระทู้คำถาม
ใครเรียนกฎหมายมาบ้างคะอยากจะทราบว่า มาตรา 4 (2) แห่ง พ.ร.บ.การขายยา พ.ศ.2493 ได้บัญญัติวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ยา” ไว้ว่า “วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการพิเคราะห์ บำบัด บรรเทา รักษา/ป้องกันโรค/ความเจ็บปวดของมนุษย์/สัตว์”

การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น ยา ความหมายแห่งบทบัญญัตินี้หรือไม่นั้น ข้อสำคัญหาได้อยู่ที่ว่าวัตถุนั้นจะบำบัด รักษา หรือป้องกันโรคได้จริงหรือไม่ หากแต่อยู่ในความมุ่งหมายในการใช้ ถ้ามุ่งหมายให้ใช้ วัตถุนั้นบำบัดรักษา&ป้องกันโรค ก็ต้องถือว่าเป็นยา    

ในคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่า กำไลข้อมือ เป็นยา ( ฎ 201/2506)  แล้วกำไลมือ คืออะไร ? ขอโจทย์ยกตัวอย่างให้หน่อยนะคะต้องทำส่งอาจารย์ เศร้าอมยิ้ม08
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เคยเห็นเหรียญควอนตั้ม หรือ กำไลควอนตั้มไหมคะ?
ที่เป็นเหรียญ หรือ กำไล
แต่มีการบรรยายสรรพคุณโดยอ้างอิงวิทยาศาสตร์แบบมั่วๆ ว่าสามารถรักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ โดยการใช้พลังงานบางอย่าง ( ซึ่งจุดนี้ผู้ขายก็จะอ้างสารพัดโดยใช้คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์มั่วๆมาอธิบาย ซึ่งถ้าคนไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มาอาจจะหลงเชื่อได้

คดีนี้จำเลยนำกำไลซึ่งอวดอ้างสรรพคุณในการรักษาโรคได้มาใช้
จำเลยถูกฟ้องเกี่ยวกับการมิได้ขออนุญาติขายยา
ประเด็นของคดีนี้อยู่ที่ว่า กำไลข้อมือ ที่จำเลยขายถือว่าอยู่ในความหมายของ ยา หรือไม่
หากไม่อยู่ในความหมายของ ยา แล้วจำเลยก็ไม่สามารถมีความผิดในฐานขายยาโดยมิได้รับอนุญาติได้และในฐานความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับยา

แต่ศาลฎีกาท่านวางบรรทัดฐานไว้ ว่าสิ่งที่จำเลยขายคือยา
ศาลฎีกาให้เหตุผลไว้ดังนี้

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า มาตรา 4(2) แห่งพระราชบัญญัติการขายยา พ.ศ. 2493 ได้บัญญัติวิเคราะห์ศัพท์คำว่า ยา ไว้ การที่จะวินิจฉัยว่าเป็นยาตามความหมายแห่งบทบัญญัตินั้น ข้อสำคัญหาได้อยู่ที่ว่า วัตถุนั้นจะบำบัดรักษาหรือป้องกันโรคได้จริงหรือไม่ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ความมุ่งหมายในการใช้วัตถุนั้นต่างหาก ความมุ่งหมายในการใช้วัตถุของกลางนี้ย่อมแสดงชัดอยู่แล้วว่า มุ่งหมายจะให้ใช้วัตถุนี้บำบัดรักษาและป้องกันโรคของมนุษย์ ที่ประชุมใหญ่จึงมีความเห็นว่า วัตถุของกลางนี้เป็นยาตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติการขายยา พ.ศ. 2493 มาตรา 4(2) เมื่อฟังได้ว่าวัตถุของกลางนี้เป็นยาตามความหมายแห่งพระราชบัญญัตินี้แล้ว จำเลยมีวัตถุเหล่านี้ไว้เพื่อจำหน่าย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามมาตรา 7 ประกอบด้วยมาตรา4 วรรคสุดท้าย อันจะต้องลงโทษตามมาตรา 28 กับมีความผิดฐานแจ้งความขายยาตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการขายยา พ.ศ. 2493 อันจะต้องลงโทษตามมาตรา 39 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการขายยา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2498 มาตรา 14 ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 39 อันเป็นกระทงที่หนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83
          พิพากษากลับ ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสอง คนละ 500 บาทของกลางไม่ริบ

เหตุจึงเป็นด้วยประการนี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่