ไม่ว่าจะด้วยอะไรหรืออย่างไร .......... คนเรามาจากธรรมชาติ และดังนั้น ทุกวัน ทุกความผิดพลาด
เราต้องกลับไปสู่จุดอ้างอิงเริ่มต้น อ้างอิงธรรมชาติ จึงจะมีความสุข มีความยั่งยืน
การงาน วิถีโลก ก็เหมือนสิ่งหลอกๆให้ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างดูจริงจัง ขึงขัง
แต่ยังไง ในแง่ของความสุข แง่ความยั่งยืน เราต้องกลับไปถามตนเอง ณ จุดอ้างอิงฐานไว้เสมอๆ..
เพราะ จิตอาจดำเนินไปตามวิถีสังคม วิถีโลก..
แต่ร่างกายจะต้องอิงธรรมชาติ อิงความกลมกลืนกับธรรมชาติ และอิงสัญชาตญาณอยู่แล้ว แม้ไม่รู้สึกตัว
อย่าให้ขาดซึ่งสมดุล อย่าให้ขาดซึ่งการดูแลร่างกาย อย่าให้ขาดซึ่งการเยียวยาจากสัญญาณบ่งบอกจากร่างกายแต่แรก ณ จุดเล็กๆ
ไม่ว่าจะอาการปวดเมื่อย อาการหวัด อาการเรื่อยล้า อาการเกร็ง อาการเครียด อาการวิตกกังวล อาการนอนไม่หลับ อาการผื่นแดงตามตัวหรืออาการพร่ามัว หรือกระทั่ง อาการเกียจคร้าน ขาดซึ่งความตื่นตัว ขาดความกระตือรืนล้น อาการแปรปรวนของอารมณ์ ไร้สันติสุข เป็นต้น
เพราะ ร่างกายก็คือ ธรรมชาติที่ย่อส่วนให้เราดูแล เรียนรู้ ไปตลอดชีพ ไม่สิ้นสุด ...
มันเกิดมาพร้อมกับความเป็นตัวเรา อยู่กับเราทุกวันในวันนี้ เวลานี้ ร่างกายคือพยานชีวิตคู่ขนานกับความเป็นตัวตนของเรา
มันเป็นอิสระจากเรา และไม่เป็นอิสระจากเราพร้อมกัน เราสามารถควบคุมมันได้ในระดับหนึ่ง แต่มีส่วนใหญ่ที่มันทำงานอย่างอัตโนมัติตากกฏธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือ การดำรงอยู่ของร่างกายเป็นองค์รวม ไม่ได้แยกส่วน ทุกอวัยวะทำงานมีผลต่อกันอย่างบูรณาการเสมอ และผลรวมของอวัยวะส่วนย่อยไม่เท่ากับองค์เอกภาพหนึ่งเดียวของทั้งร่างกาย
ผู้คนสมัยนี้ใช้ร่างกายประหนึ่งก้อนเนื้อแห่งความเป็นวัตถุอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะ เขาได้พาร่างกายเข้าไปในสนามการแข่งขัน การดิ้นรนที่ต้องพยายามไปให้ถึงซึ่งนัดหมาย ตารางเวลา หรือกฏระเบียบขององค์กร การเจรจาต่อรองทางการค้า การชิงจังหวะเพื่อผลได้ที่คาดหวัง การที่ต้องพยายามข้ามอุปสรรค ความขัดแย้งที่ไม่ลงรอยกัน ความหวาดระแวง และความเกลียดชัง การปกป้องตนเอง หรือครอบครัว การหนีจากความอดอยาก การมุ่งสะสมความมั่งคั่งมั่นคงและการไม่รู้จักคำว่าพอ หรือหยุดพัก ร่างกายจึงกลายเป็นเพียงเครื่องมือหรือวิถีทางของสิ่งที่วาดหวัง เขาไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวชีวิตเอง แต่มีชีวิตเพื่อสิ่งที่จะตามมา และนั่นทำให้เขาพลาดการเห็นสิ่งสำคัญ พลาดการเห็นความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ หรือ การแปรเปลี่ยน ความแปลกแยกจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ทางจิต ทางสังคม อย่างหน่าแน่น เขาต้องแปลกแยกจากตนเอง ใช้เงินซื้อสุขภาพ ใช้เงินแลกกับความสุขที่คิดได้ว่าจะได้มาจากสินค้า เขาไม่ได้เป็นผู้สร้างความสุขเพราะเขามองไปไกลตัวออกไป เขาถูกหลอกให้เชื่อว่า ความสุขจะได้มาด้วยการท่องเที่ยว การได้ซื้อสินค้า การมีทรัพย์สินอลังการเต็มบ้าน มีอิสรภาพในการใช้สอยต่างๆ
เราต้องกลับไปที่จุดอ้างอิงฐานของชีวิต เราจึงจักพบความสุข พบสาระสำคัญที่ทรงความหมายในตัวมันเอง
วิถีของร่างกายจะต้องไม่แปลกแยกจากวิถีของธรรมชาติ วิถีทางสังคมอาจโหนผลผลิตของเทคโนโลยีเพื่อสร้างเมือง หรือความศิวิไลซ์
แต่นั่น อาจมีกับดัก หรือหลุมพราง หรือมีข้อจำกัดของความเจริญ คนโง่มักเดินแห่แหนไปในทางกว้าง คนฉลาดรู้ว่าตนเองต้องการอะไร
และกำหนดชีวิตตนเอง ที่ไม่ได้เห่อไปตามกระแส และผู้กำหนดเกมส์ในระบบทุน ก็เป็นเพียงคนจำนวนน้อยนิด ที่ไม่ได้คิดถึงคุณภาพผู้บริโภคมากกว่าการล้วงเงินในกระเป๋าจากมวลชนผู้เป็นเหยื่อ ผู้กำหนดเกมส์ย่อมต้องการให้ตลาด...ทำอะไรเหมือนๆกันด้วยความอยากได้ใคร่เด่นตลอดเวลา..
ธรรมชาติได้กำหนดนาฬิกาชีวิตให้ร่างกายต้องหยุดพักเมื่อถึงเวลาที่ต้องพัก
เราต้องตายลงทุกวันในการหลับใหล และตื่นขึ้นได้เองโดยไม่ได้ต้องมีการบังคับควบคุม
ชีวิตก็เป็นไปเช่นนี้ เว้นไว้แต่ผู้ที่เบี่ยงเบนไปมากจนเครื่องในของร่างกายรวน ทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับได้ไม่ดี
ยังมีจุดตรวจเช็คอีกมากที่เป็นจุดอ้างอิงฐาน เพื่อวัดคุณภาพชีวิตของร่างกาย ซึ่งบุคคลจำต้องเรียนรู้ด้วยตนเองและให้ความสำคัญด้วยตนเองเช่น กินอย่างไรจึงถูกต้อง เคลื่อนไหวอย่างไรจึงพอเหมาะกับการงานอาชีพ ทำให้สภาพเลือดมีคุณภาพอย่างไร ดื่มน้ำอย่างไรจึงพอดี ทำไมการขับถ่ายทั้งเบาทั้งหนักจึงสำคัญหรือต้องขับออกรายวันโดยไว จะเปิดสมองอย่างไร หรือจะมองโลกแง่ดีได้อย่างไร แม้เผชิญโลกสีเทาๆ
เมื่อเราเรียนรู้ว่า ธรรมชาติที่จุดฐานในตัวเราเป็นอย่างไร เราก็จะเข้าใจคนอื่นได้ไม่ยาก หรือง่ายขึ้น
เพราะ ต่างตกอยู่ภายใต้ธรรมชาติของร่างกายแบบเดียวกัน ปัญหามีเพียงว่า พวกเราบริหารชีวิตอย่างไร
และมีแนวโน้มการเจ็บป่วยอย่างไร ที่ทำให้เกิดสภาพไร้ความสุข ความก้าวร้าว หรือแปรปรวนแบบเพี้ยนๆที่เรามักเห็นๆกัน
จบความแบบพรรณาไปตามกระแสทรรศน์ ในยามเช้า ครับ
กลับไปที่จุดอ้างอิงฐาน
เราต้องกลับไปสู่จุดอ้างอิงเริ่มต้น อ้างอิงธรรมชาติ จึงจะมีความสุข มีความยั่งยืน
การงาน วิถีโลก ก็เหมือนสิ่งหลอกๆให้ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างดูจริงจัง ขึงขัง
แต่ยังไง ในแง่ของความสุข แง่ความยั่งยืน เราต้องกลับไปถามตนเอง ณ จุดอ้างอิงฐานไว้เสมอๆ..
เพราะ จิตอาจดำเนินไปตามวิถีสังคม วิถีโลก..
แต่ร่างกายจะต้องอิงธรรมชาติ อิงความกลมกลืนกับธรรมชาติ และอิงสัญชาตญาณอยู่แล้ว แม้ไม่รู้สึกตัว
อย่าให้ขาดซึ่งสมดุล อย่าให้ขาดซึ่งการดูแลร่างกาย อย่าให้ขาดซึ่งการเยียวยาจากสัญญาณบ่งบอกจากร่างกายแต่แรก ณ จุดเล็กๆ
ไม่ว่าจะอาการปวดเมื่อย อาการหวัด อาการเรื่อยล้า อาการเกร็ง อาการเครียด อาการวิตกกังวล อาการนอนไม่หลับ อาการผื่นแดงตามตัวหรืออาการพร่ามัว หรือกระทั่ง อาการเกียจคร้าน ขาดซึ่งความตื่นตัว ขาดความกระตือรืนล้น อาการแปรปรวนของอารมณ์ ไร้สันติสุข เป็นต้น
เพราะ ร่างกายก็คือ ธรรมชาติที่ย่อส่วนให้เราดูแล เรียนรู้ ไปตลอดชีพ ไม่สิ้นสุด ...
มันเกิดมาพร้อมกับความเป็นตัวเรา อยู่กับเราทุกวันในวันนี้ เวลานี้ ร่างกายคือพยานชีวิตคู่ขนานกับความเป็นตัวตนของเรา
มันเป็นอิสระจากเรา และไม่เป็นอิสระจากเราพร้อมกัน เราสามารถควบคุมมันได้ในระดับหนึ่ง แต่มีส่วนใหญ่ที่มันทำงานอย่างอัตโนมัติตากกฏธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือ การดำรงอยู่ของร่างกายเป็นองค์รวม ไม่ได้แยกส่วน ทุกอวัยวะทำงานมีผลต่อกันอย่างบูรณาการเสมอ และผลรวมของอวัยวะส่วนย่อยไม่เท่ากับองค์เอกภาพหนึ่งเดียวของทั้งร่างกาย
ผู้คนสมัยนี้ใช้ร่างกายประหนึ่งก้อนเนื้อแห่งความเป็นวัตถุอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะ เขาได้พาร่างกายเข้าไปในสนามการแข่งขัน การดิ้นรนที่ต้องพยายามไปให้ถึงซึ่งนัดหมาย ตารางเวลา หรือกฏระเบียบขององค์กร การเจรจาต่อรองทางการค้า การชิงจังหวะเพื่อผลได้ที่คาดหวัง การที่ต้องพยายามข้ามอุปสรรค ความขัดแย้งที่ไม่ลงรอยกัน ความหวาดระแวง และความเกลียดชัง การปกป้องตนเอง หรือครอบครัว การหนีจากความอดอยาก การมุ่งสะสมความมั่งคั่งมั่นคงและการไม่รู้จักคำว่าพอ หรือหยุดพัก ร่างกายจึงกลายเป็นเพียงเครื่องมือหรือวิถีทางของสิ่งที่วาดหวัง เขาไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวชีวิตเอง แต่มีชีวิตเพื่อสิ่งที่จะตามมา และนั่นทำให้เขาพลาดการเห็นสิ่งสำคัญ พลาดการเห็นความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ หรือ การแปรเปลี่ยน ความแปลกแยกจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ทางจิต ทางสังคม อย่างหน่าแน่น เขาต้องแปลกแยกจากตนเอง ใช้เงินซื้อสุขภาพ ใช้เงินแลกกับความสุขที่คิดได้ว่าจะได้มาจากสินค้า เขาไม่ได้เป็นผู้สร้างความสุขเพราะเขามองไปไกลตัวออกไป เขาถูกหลอกให้เชื่อว่า ความสุขจะได้มาด้วยการท่องเที่ยว การได้ซื้อสินค้า การมีทรัพย์สินอลังการเต็มบ้าน มีอิสรภาพในการใช้สอยต่างๆ
เราต้องกลับไปที่จุดอ้างอิงฐานของชีวิต เราจึงจักพบความสุข พบสาระสำคัญที่ทรงความหมายในตัวมันเอง
วิถีของร่างกายจะต้องไม่แปลกแยกจากวิถีของธรรมชาติ วิถีทางสังคมอาจโหนผลผลิตของเทคโนโลยีเพื่อสร้างเมือง หรือความศิวิไลซ์
แต่นั่น อาจมีกับดัก หรือหลุมพราง หรือมีข้อจำกัดของความเจริญ คนโง่มักเดินแห่แหนไปในทางกว้าง คนฉลาดรู้ว่าตนเองต้องการอะไร
และกำหนดชีวิตตนเอง ที่ไม่ได้เห่อไปตามกระแส และผู้กำหนดเกมส์ในระบบทุน ก็เป็นเพียงคนจำนวนน้อยนิด ที่ไม่ได้คิดถึงคุณภาพผู้บริโภคมากกว่าการล้วงเงินในกระเป๋าจากมวลชนผู้เป็นเหยื่อ ผู้กำหนดเกมส์ย่อมต้องการให้ตลาด...ทำอะไรเหมือนๆกันด้วยความอยากได้ใคร่เด่นตลอดเวลา..
ธรรมชาติได้กำหนดนาฬิกาชีวิตให้ร่างกายต้องหยุดพักเมื่อถึงเวลาที่ต้องพัก
เราต้องตายลงทุกวันในการหลับใหล และตื่นขึ้นได้เองโดยไม่ได้ต้องมีการบังคับควบคุม
ชีวิตก็เป็นไปเช่นนี้ เว้นไว้แต่ผู้ที่เบี่ยงเบนไปมากจนเครื่องในของร่างกายรวน ทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับได้ไม่ดี
ยังมีจุดตรวจเช็คอีกมากที่เป็นจุดอ้างอิงฐาน เพื่อวัดคุณภาพชีวิตของร่างกาย ซึ่งบุคคลจำต้องเรียนรู้ด้วยตนเองและให้ความสำคัญด้วยตนเองเช่น กินอย่างไรจึงถูกต้อง เคลื่อนไหวอย่างไรจึงพอเหมาะกับการงานอาชีพ ทำให้สภาพเลือดมีคุณภาพอย่างไร ดื่มน้ำอย่างไรจึงพอดี ทำไมการขับถ่ายทั้งเบาทั้งหนักจึงสำคัญหรือต้องขับออกรายวันโดยไว จะเปิดสมองอย่างไร หรือจะมองโลกแง่ดีได้อย่างไร แม้เผชิญโลกสีเทาๆ
เมื่อเราเรียนรู้ว่า ธรรมชาติที่จุดฐานในตัวเราเป็นอย่างไร เราก็จะเข้าใจคนอื่นได้ไม่ยาก หรือง่ายขึ้น
เพราะ ต่างตกอยู่ภายใต้ธรรมชาติของร่างกายแบบเดียวกัน ปัญหามีเพียงว่า พวกเราบริหารชีวิตอย่างไร
และมีแนวโน้มการเจ็บป่วยอย่างไร ที่ทำให้เกิดสภาพไร้ความสุข ความก้าวร้าว หรือแปรปรวนแบบเพี้ยนๆที่เรามักเห็นๆกัน
จบความแบบพรรณาไปตามกระแสทรรศน์ ในยามเช้า ครับ