ผมยังจำรอยไม้เรียวที่ก้นจากการลงโทษของพ่อได้ไม่ลืมเลย ว่าแสบเข้าทรวงขนาดไหนเวลาเอายาหม่องทารอยช้ำ จำได้แม้แต่เสียงที่มันวาดผ่านอากาศก่อนหน้ามาตกกระทบที่ปั้นท้ายแห้ง ๆ ของผม
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ในระหว่างโดนตี พ่อก็บอกว่าตีทำไม ผมทำอะไรผิดไปด้วย น้องสาวอีกสองคนก็แอบมองผมอยู่ข้างประตู แต่หูผมมันอื้ออึงแต่เสียงร่ำให้ที่ต้องอดกลั้นของตัวเองเท่านั้น อารมณ์โอหังประมาณว่า พ่อจะตีก็ตีไปเถอะ ไม่อยากฟังเหตุผลอะไรแล้ว
พอผมโตขึ้นมาเรียนชั้นมัธยม ความอวดดี เกเร ก็พาผมให้มาต้องพานพบการตีด้วยไม้เรียวหนา ๆ จาก อาจารย์ฝ่ายปกครองอีกจนได้ แต่เป็นความผิดที่ผมตั้งใจและมองเห็นผลของมันอยู่แล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าแค่โชคร้ายที่ถูกจับได้ ผมก็ต้องรับโทษทัณฑ์นั้นไป หนำซ้ำถูกตีเป็นหมู่คณะ เหมือนจะมองตากันในตะเพาเดียวกันว่า เท่ห์เสียเต็มประดาเพื่อน ๆ
วันนี้ ผมเบามือ ว่างมือจากงานประจำ มาเปิดคอมพิวเตอร์ดูไฟล์ภาพปีที่แล้ว ที่ไปเที่ยวกับครอบครัวที่นครนายก พักที่รีสอร์ทน่ารัก ๆ อยู่แทบจะติดเขื่อนขุนด่านปราการชล ห้องพักเล็กๆ นั้นสีเหลืองสดใส ผมกับลูกสาว ได้เล่นน้ำในสระที่เล็กกว่าที่เห็นในหน้าเวบของรีสอร์ทมากมาย ได้ใกล้ชิดน้ำฝนที่ตกหนักนาน และนั่งกินขนม ขนาบสายน้ำเชี่ยวจากเขื่อน
สายน้ำที่ทอดตัวผ่านระเบียงทานอาหารของที่พักในวันแรก วิวงามๆ ดอกไม้สวยๆ มีมุมเก๋ ๆ ได้ถ่ายรูปมากมาย ช่วงเวลาของครอบครัว พ่อ แม่ ลูก น่าจะเป็นที่จดจำได้มากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เปล่าเลยครับ ผมกลับจดจำบางตอนจากช่วงหนึ่งได้แม่นยำจากการตีลูกด้วยมือเป็นครั้งแรกที่นั่น
หลังอาหารเช้า เราเดินถ่ายรูปกันริมน้ำ บนลานทางเดินมีน้ำแฉะจากฝนที่เพิ่งตก ลูกสาวใส่รองเท้าผ้าใบคู่สวย ผมกังวลว่า รองเท้าเธอจะเปียก เลยให้เธอขี่หลังเดินข้ามน้ำแฉะ ในฐานะพ่อ ผมอุ้มเธอมาตั้งแต่ตัวล็กๆ ในฐานะแม่ที่แฟนผมเป็น เมื่อลูกสาวหกขวบ แฟนผมก็ไม่สามารถอุ้มเธอได้อีก เพราะ ลูกสาวตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก
เธอชอบให้ผมอุ้มครับและผมแทบไม่เคยปฏิเสธเลย ถ้าผมมีกำลังพอที่จะอุ้มหรือแบกเธอได้ เพราะช่วงวัยที่ผมจะอุ้มเธอไหวกับการที่เธอเจริญวัยจนผมอุ้มเธอไม่ได้นั้น มันสวนทางกันในเวลาที่รวดเร็วผมเข้าใจในกฏธรรมชาติข้อนี้ดี
ผมให้เธอขี่หลัง ภาษาบ้าน ๆ เรียกขี่ปอ พาข้ามน้ำแฉะมาได้ราวๆ 10 เมตร ก็ ขอให้เธอลงเดินเอง เพราะผมมีทั้งกล้องและกระเป๋าพะรุงพะรัง แต่เธอก็ต่อรองให้เดินไปอีกสักหน่อย จะด้วยความอิ่มหรือล้าอะไรก็ตามที ผมไม่รับข้อเสนอของธอ ผมย่อตัวลงให้เธอเดินเอง แต่เธอก็เกาะหลังผมแน่นไม่ปล่อย พ่อลูกก็เลยหงายหลังก้นจำเบ้าไปทั้งคู่บนพื้นปูนกึ่งแห้งกึ่งเปียก
ความโกรธมันแล่นมาหาผมอย่างเร็วรี่ ผมฟาดต้นขาเธอไป 1 ที เธอร้องให้ด้วยเจ็บและตกใจ ถอยห่างระยะมือของผมไป ตอนนั้นผมก็หูอื้อ ต่อว่าอะไรๆ ไปหลายคำ ถามผมตอนนี้ ผมจำไม่ได้แล้ว
เธอซุกตัวกับแม่และหลบสายตาผมขณะยังร้องให้อยู่
มันเงียบไปราวสัก 3 นาที หลังจากผมปัดเศษดินทรายที่ติดเสื้อผ้าออกหมด สติก็คงมาทักทายผมได้ แฟนผมไม่ได้ว่าอะไร แต่ใบหน้าเธอเหมือนบอกว่าผมน่ะผิดเต็มๆ และสมควรที่จะง้อลูก
ซึ่งก็ไม่มีปัญหา กับแฟนแล้วผมไม่ได้ถือศักดิศรีอะไรมากพอที่จะกล่าวอ้างฝ่าฝืนความเห็นของเธอได้
ผมเริ่มต้นง้อลูก ด้วยการจับตัวเธอเบาๆ ปัดเสื้อผ้าให้และบอกว่า
"ไม่ร้องนะลูก ดีกันๆ "
"พ่อตี เพราะหนูไม่เชื่อฟังพ่อเห็นไหม"
"พ่อกลัวหนูจะจ็บ หลังอาจเดาะเพราะพื้นปูน หัวหนูอาจฟาดพื้นได้" บลา ๆๆ
ลูกผมหยุดร้องให้เหมือนจะเข้าใจเหตุผล
....
แล้วเธอเธอถามผมว่า
"ถ้าพ่อไม่อยากให้หนูเจ็บ พ่อตีหนูทำไม"
จากนั้น
เสียงร้องให้ของเธอ................กลับมาดังอีกหน
การโดนตีที่แตกต่าง
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ในระหว่างโดนตี พ่อก็บอกว่าตีทำไม ผมทำอะไรผิดไปด้วย น้องสาวอีกสองคนก็แอบมองผมอยู่ข้างประตู แต่หูผมมันอื้ออึงแต่เสียงร่ำให้ที่ต้องอดกลั้นของตัวเองเท่านั้น อารมณ์โอหังประมาณว่า พ่อจะตีก็ตีไปเถอะ ไม่อยากฟังเหตุผลอะไรแล้ว
พอผมโตขึ้นมาเรียนชั้นมัธยม ความอวดดี เกเร ก็พาผมให้มาต้องพานพบการตีด้วยไม้เรียวหนา ๆ จาก อาจารย์ฝ่ายปกครองอีกจนได้ แต่เป็นความผิดที่ผมตั้งใจและมองเห็นผลของมันอยู่แล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าแค่โชคร้ายที่ถูกจับได้ ผมก็ต้องรับโทษทัณฑ์นั้นไป หนำซ้ำถูกตีเป็นหมู่คณะ เหมือนจะมองตากันในตะเพาเดียวกันว่า เท่ห์เสียเต็มประดาเพื่อน ๆ
วันนี้ ผมเบามือ ว่างมือจากงานประจำ มาเปิดคอมพิวเตอร์ดูไฟล์ภาพปีที่แล้ว ที่ไปเที่ยวกับครอบครัวที่นครนายก พักที่รีสอร์ทน่ารัก ๆ อยู่แทบจะติดเขื่อนขุนด่านปราการชล ห้องพักเล็กๆ นั้นสีเหลืองสดใส ผมกับลูกสาว ได้เล่นน้ำในสระที่เล็กกว่าที่เห็นในหน้าเวบของรีสอร์ทมากมาย ได้ใกล้ชิดน้ำฝนที่ตกหนักนาน และนั่งกินขนม ขนาบสายน้ำเชี่ยวจากเขื่อน
สายน้ำที่ทอดตัวผ่านระเบียงทานอาหารของที่พักในวันแรก วิวงามๆ ดอกไม้สวยๆ มีมุมเก๋ ๆ ได้ถ่ายรูปมากมาย ช่วงเวลาของครอบครัว พ่อ แม่ ลูก น่าจะเป็นที่จดจำได้มากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เปล่าเลยครับ ผมกลับจดจำบางตอนจากช่วงหนึ่งได้แม่นยำจากการตีลูกด้วยมือเป็นครั้งแรกที่นั่น
หลังอาหารเช้า เราเดินถ่ายรูปกันริมน้ำ บนลานทางเดินมีน้ำแฉะจากฝนที่เพิ่งตก ลูกสาวใส่รองเท้าผ้าใบคู่สวย ผมกังวลว่า รองเท้าเธอจะเปียก เลยให้เธอขี่หลังเดินข้ามน้ำแฉะ ในฐานะพ่อ ผมอุ้มเธอมาตั้งแต่ตัวล็กๆ ในฐานะแม่ที่แฟนผมเป็น เมื่อลูกสาวหกขวบ แฟนผมก็ไม่สามารถอุ้มเธอได้อีก เพราะ ลูกสาวตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก
เธอชอบให้ผมอุ้มครับและผมแทบไม่เคยปฏิเสธเลย ถ้าผมมีกำลังพอที่จะอุ้มหรือแบกเธอได้ เพราะช่วงวัยที่ผมจะอุ้มเธอไหวกับการที่เธอเจริญวัยจนผมอุ้มเธอไม่ได้นั้น มันสวนทางกันในเวลาที่รวดเร็วผมเข้าใจในกฏธรรมชาติข้อนี้ดี
ผมให้เธอขี่หลัง ภาษาบ้าน ๆ เรียกขี่ปอ พาข้ามน้ำแฉะมาได้ราวๆ 10 เมตร ก็ ขอให้เธอลงเดินเอง เพราะผมมีทั้งกล้องและกระเป๋าพะรุงพะรัง แต่เธอก็ต่อรองให้เดินไปอีกสักหน่อย จะด้วยความอิ่มหรือล้าอะไรก็ตามที ผมไม่รับข้อเสนอของธอ ผมย่อตัวลงให้เธอเดินเอง แต่เธอก็เกาะหลังผมแน่นไม่ปล่อย พ่อลูกก็เลยหงายหลังก้นจำเบ้าไปทั้งคู่บนพื้นปูนกึ่งแห้งกึ่งเปียก
ความโกรธมันแล่นมาหาผมอย่างเร็วรี่ ผมฟาดต้นขาเธอไป 1 ที เธอร้องให้ด้วยเจ็บและตกใจ ถอยห่างระยะมือของผมไป ตอนนั้นผมก็หูอื้อ ต่อว่าอะไรๆ ไปหลายคำ ถามผมตอนนี้ ผมจำไม่ได้แล้ว
เธอซุกตัวกับแม่และหลบสายตาผมขณะยังร้องให้อยู่
มันเงียบไปราวสัก 3 นาที หลังจากผมปัดเศษดินทรายที่ติดเสื้อผ้าออกหมด สติก็คงมาทักทายผมได้ แฟนผมไม่ได้ว่าอะไร แต่ใบหน้าเธอเหมือนบอกว่าผมน่ะผิดเต็มๆ และสมควรที่จะง้อลูก
ซึ่งก็ไม่มีปัญหา กับแฟนแล้วผมไม่ได้ถือศักดิศรีอะไรมากพอที่จะกล่าวอ้างฝ่าฝืนความเห็นของเธอได้
ผมเริ่มต้นง้อลูก ด้วยการจับตัวเธอเบาๆ ปัดเสื้อผ้าให้และบอกว่า
"ไม่ร้องนะลูก ดีกันๆ "
"พ่อตี เพราะหนูไม่เชื่อฟังพ่อเห็นไหม"
"พ่อกลัวหนูจะจ็บ หลังอาจเดาะเพราะพื้นปูน หัวหนูอาจฟาดพื้นได้" บลา ๆๆ
ลูกผมหยุดร้องให้เหมือนจะเข้าใจเหตุผล
....
แล้วเธอเธอถามผมว่า
"ถ้าพ่อไม่อยากให้หนูเจ็บ พ่อตีหนูทำไม"
จากนั้น
เสียงร้องให้ของเธอ................กลับมาดังอีกหน