เกร็ดสามก๊ก
เจ้าเมืองผู้มีกรรม
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เจ้าเมืองชั้นเอกในสามก๊กที่จะนำมาเล่าในตอนนี้ มีชื่อว่าอ้วนสุด เป็นเจ้าเมือง ลำหยง ซึ่งมีความสำคัญขนาดปรากฎชื่อในสารบัญหลายครั้ง เพียงแต่มีชีวิตสั้นไปหน่อย อยู่ในตอนต้นของเรื่องเท่านั้น จึงไม่ค่อยจะถูกนำมากล่าวถึงสักเท่าไรนัก
อ้วนสุดเป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยว ซึ่งเมื่อครั้งที่โจโฉหนีตั๋งโต๊ะออกจากเมือง ลกเอี๋ยง มาตั้งกองทัพประชาชนกู้แผ่นดิน และให้อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่นั้น อ้วนสุดก็ยกทหารจากเมืองลำหยง มาร่วมขบวนการด้วย และได้รับตำแหน่งเป็นแม่กองเสบียงของกองทัพ แต่เมื่อ ซุนเกี๋ยนนายกองหน้า ซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียงต๋ง ขาดแคลนเสบียงขอให้อ้วนสุดส่งเสบียงให้ นายทหารของอ้วนสุด ก็ยุยงว่า
“……..ซุนเกี๋ยนคนนี้ เมื่ออยู่เมืองกังตั๋งนั้น อุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋งโต๊ะนั้นอุปมาดังหมี ครั้งนี้ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเป็นกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ซุนเกี๋ยน ก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้นจะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่านิ่งเสียอย่าส่งเสบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลง เหมือนเสือหากำลัง มิได้….”
อ้วนสุดได้ฟังคำแนะนำ อันยืดยาวยอกย้อนนั้นแล้ว ก็เห็นด้วยจึงไม่ส่งเสบียงไปให้ซุนเกี๋ยน ทหารในกองหน้าก็อดอยากอิดโรย ไม่สามารถจะตีเอาเมืองลกเอี๋ยงได้ ครั้นซุนเกี๋ยนรู้เรื่องก็พานายทหารเอกสองคนไปหาอ้วนสุดที่ค่ายกองเสบียง แล้วทวงถามเอาบุญคุณว่า
“…….ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าตั้งตัวเป็นใหญ่ ใช่จะทำสิ่งใดให้เราขัดเคืองก็หามิได้ ซึ่งเราจะมาทำการด้วยอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ ก็เพราะความซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วจะคิดแก้แค้นตั๋งโต๊ะซึ่งฆ่าอ้วนหงุยอาท่านเสียนั้น อุตส่าห์ทรมานเอากายเข้าสู้ลูกเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวงมิได้คิดชีวิต เราก็ให้บอกมาขอเสบียง เป็นไฉนท่านจึงฟังคำยุยงมิให้เอาเสบียงไปส่ง ทหารในกองทัพเราจึงอดอยากอิดโรยกำลัง จนเสียทีแก่ข้าศึก………”
อ้วนสุดก็มีความละอายนัก จึงให้เอาตัวผู้ยุยงนั้นมาฆ่าเสียต่อหน้าซุนเกี๋ยน เรื่องจึงยุติลงได้ ต่อมาเมื่อกองทัพประชาชนกู้แผ่นดินของอ้วนเสี้ยว เกิดแตกคอกันเองแยกย้ายกลับไปบ้านเมืองของตนหมดแล้ว อ้วนสุดก็กลับมาอยู่เมืองลำหยงตามเดิม
แต่ก่อนจะเลิกสงครามครั้งนี้ ซุนเกี๋ยนได้ยกทหารเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง ภายหลังที่ตั๋งโต๊ะได้เผาทำลาย และย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเตียงฮันแล้ว ซุนเกี๋ยนเก็บตราหยกสำหรับฮ่องเต้ ได้จากศพนางกำนัลคนหนึ่งที่ตายในบ่อน้ำ แต่ไม่ยอมส่งให้อ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นแม่ทัพ ขากลับเมืองของตนก็ถูกเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นยกทหารมา จะชิงเอาตราหยกคืน จึงเกิดสู้รบกันขึ้น แต่ซุนเกี๋ยนหนีรอดมาถึงเมืองกั๋งตั๋งได้
ส่วนอ้วนเสี้ยวกลับไปเมืองโห้ลายของตนแล้ว ก็ใช้อุบายเข้ายึดเอาเมืองกิจิ๋วซึ่งอุดมสมบูรณ์กว่าไว้เป็นที่มั่นได้ อ้วนสุดรู้ข่าวก็แต่งหนังสือให้ทหารถือมาขอม้าจากพี่ชายพันหนึ่ง แต่อ้วนเสี้ยวมิยอมให้ดังปรารถนา อ้วนสุดก็โกรธตัดขาดจากพี่น้อง แล้วหันไปขอเสบียงจาก เล่าเปียวบ้าง เล่าเปียวก็มิได้ให้เสบียงมา อ้วนสุดก็คิดพยาบาทเล่าเปียวอีกคนหนึ่ง จึงมีหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยน ยุยงว่าเล่าเปียวกับอ้วนเสี้ยวคบคิดกัน จะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาตราหยกคืน
ซุนเกี๋ยนจึงยกทัพไปรบกับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แต่เสียทีถูกฆ่าตายในสมรภูมิ ตราหยกจึงตกอยู่กับซุนเซ็กบุตรชายคนโต ซึ่งมารับราชการอยู่กับอ้วนสุด และได้เอาตราหยกมาจำนำไว้กับอ้วนสุด เพื่อขอทหารไปรบแก้แค้นแทนบิดา อ้วนสุดก็ยินดีแต่ออกตัวว่า
“……..เราจะปรารถนาอันใดกับตราหยก แต่ท่านได้เอามาแล้วเราจะช่วยรักษาไว้ อันตัวท่านได้มาอยู่กับเรา มีธุระสิ่งใดเราจะช่วย…….”
แล้วอ้วนสุดก็มอบทหารเดินเท้าสามพัน กับทหารม้าห้าร้อยให้แก่ซุนเซ็ก และสั่งกำชับว่า
“……ท่านไปทำการสำเร็จแล้วเร่งกลับมา อย่าเพ่อทำการสิ่งใดต่อไป ด้วยตัวท่านยังอ่อนความคิดอยู่ แล้วก็เป็นขุนนางผู้น้อย ให้ท่านกลับมาหาเรา จะตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่….”
แล้วซุนเซ็กก็พานายทหารเอกของบิดา ยกพลออกจากเมืองลำหยงไปทำศึกกับคู่แค้นเก่าของบิดา ได้ชัยชนะแล้วก็เลยไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกังตั๋ง แล้วก็มีหนังสือมาขอตราหยกคืน อ้วนสุดก็ไม่อยากจะให้ ด้วยคิดจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง จึงหารือกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า
“…….ซุนเซ็กเมื่อแรกทำการอยู่กับเรา เราก็ตั้งให้เป็นขุนนาง แล้วขอทหารเราว่าจะไปช่วยน้าชายจะแก้แค้นบิดา เราก็ให้ ซุนเซ็กอาศัยกำลังเราก่อน จึงได้กำลังเป็นอันมาก บัดนี้ซุนเซ็กได้เป็นใหญ่ในฟากน้ำเมืองกังตั๋งแล้ว มิได้รู้จักคุณเรา ใช้ทหารมาทวงตราหยก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เราจึงจะได้ตัวซุนเซ็ก…….”
ที่ปรึกษาก็บอกว่า
“……..ซุนเซ็กได้ฟากน้ำกังตั๋งแล้ว ทหารที่มีฝีมือก็มาก แดนเมืองกังตั๋งก็กว้างกว่าเราอีก จะยกไปทำการก็เห็นจะไม่ได้ ขอให้ยกทหารไปตีเล่าปี่เสียก่อน ถ้าได้เล่าปี่แล้ว ซุนเซ็กก็จะอยู่ในเงื้อมมือเรา……”
อ้วนสุดก็ว่า
“…….เล่าปี่ตั้งอยู่ตำบลเมืองเสียวพ่าย ใกล้เมืองชีจิ๋วกับลิโป้ชอบพอกันอยู่ เห็น ลิโป้จะยกมาช่วย กำลังเล่าปี่จะมากขึ้นเราจะทำการมิสำเร็จ จำเราจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมลิโป้ เสียก่อน…”
แล้วอ้วนสุดก็ให้หันอิ้นถือหนังสือ กับข้าวยี่สิบหมื่นถัง ไปให้ลิโป้ในหนังสือนั้นมีความว่า เล่าปี่เป็นคนหยาบช้าไม่มีความสัตย์ ตนจะยกไปกำจัดเล่าปี่ แม้เล่าปี่มาขอพึ่งลิโป้ อย่าไปเอาธุระด้วย ลิโป้ได้ของกำนัลก็รับคำอ้วนสุด แล้วอ้วนสุดจึงให้กิเหลงคุมทหารห้าหมื่น ยกไปตีเมืองเสียวพ่าย แต่กิเหลงก็ไม่สามารถจะตีเมืองเสียวพ่ายได้สำเร็จ เพราะลิโป้ออกมาห้ามปราม และแกล้งเสี่ยงทายว่า ถ้าตนยิงเกาทัณฑ์ไปถูกด้ามทวนซึ่งปักไว้ไกลห้าเส้น ทั้งสองฝ่ายต้องแยกกันกลับเมือง ถ้าฝ่ายใดไม่เชื่อฟัง ตนจะเข้าช่วยอีกฝ่ายหนึ่งรบ ขณะนั้นฝีมือของลิโป้ยอดเยี่ยมเป็นที่เลื่องลือ กิเหลงจึงต้องยอมรับคำ และลิโป้ก็ยิงเกาทัณฑ์ถูกเป้า ทั้ง ๆ ที่กินสุราเข้าไปตั้งหลายจอก กิเหลงจึงต้องยกพลกลับมาเล่าให้อ้วนสุดฟัง พร้อมกับหนังสือยืนยันของลิโป้ด้วย
อ้วนสุดก็โกรธว่าลิโป้เจรจามิได้มีความสัตย์ จึงคิดจะยกทัพไปรบกับเล่าปี่และ ลิโป้เอง แต่กิเหลงท้วงว่า
“…….ลิโป้นั้นเป็นคนกล้าแข็ง ทหารที่มีฝีมือก็มาก ท่านจะยกไปบัดนี้เล่าปี่กับ ลิโป้ก็ยังชอบพอกันอยู่ เกลือกจะยกเข้าตีกระหนาบ ข้าพเจ้าเห็นจะเสียท่วงที การที่เราคิดไว้จะมิสำเร็จ ขอให้ท่านไปขอลูกสาวลิโป้ซึ่งเกิดด้วยนางเหงียมซีนั้น มาให้แก่ลูกชายท่าน ลิโป้กับท่านก็จะสนิทกันเข้า ถึงจะคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ก็จะได้โดยสะดวก…….”
อ้วนสุดก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้หันอิ้นคุมเอาสิ่งของที่ดีเป็นอันมากไปให้แก่ลิโป้ เพื่อขอลูกสาวของลิโป้ มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ลิโป้ก็ยินดีรับของหมั้นไว้ แล้วก็ตอบตกลงจะยกลูกสาวให้ แต่เมื่อหันอิ้นกลับมาอีกครั้งเพื่อจะรับลูกสาวไปแต่งงานที่เมืองลำหยง และลิโป้ส่งตัวลูกสาวขี่เกวียนไปได้ไม่นาน ก็กลับเปลี่ยนใจให้ทหารตามไปชิงเอาลูกสาวกลับมา และเอาตัวหันอิ้นไปจำคุกไว้ เพราะเชื่อคำยุยงของตันกุ๋ยซึ่งเป็นพวกเล่าปี่
ฝ่ายอ้วนสุดรออยู่เป็นเวลานาน หันอิ้นก็ไม่กลับมา คิดจะตั้งตัวเป็นเจ้า จึงหารือกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า
“……เราได้ยินคำโบราณเล่าสืบ ๆ กันมา ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจแต่ยังมิได้ราชสมบัตินั้น เป็นคนอนาถาอุปมาดังว่าอยู่ในท้องทะเล อุตส่าห์ทำความเพียรมาเป็นอันมากค่อยตั้งตัวได้ จึงได้ราชสมบัติทรงพระนามชื่อพระเจ้าฮั่นโกโจ พระราชวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ มาได้ถึง สี่ร้อยปี จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ราชสมบัติ เกิดอันตรายจลาจลต่าง ๆ เห็นราชสมบัติก็ร่วงโรยจวนจะสูญอยู่แล้ว ตัวเราก็เป็นเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน ราษฎรรักเราเป็นอันมาก เราจำจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด………”
ที่ปรึกษาก็ท้วงว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังมีพระชนม์อยู่ แล้วก็มิได้ทำอันตรายแก่ราษฎร ซึ่งท่านจะตั้งตัวเป็นเจ้านั้นเห็นว่าไม่ควร อ้วนสุดก็ตัดบทว่า
“……ตราสำหรับกษัตริย์อยู่ในเงื้อมมือกู เหมือนหนึ่งเทพดามาเสกให้กูเป็นเจ้า แม้ใครไม่ยอมจะให้ตัดศรีษะเสีย……..”
ที่ประชุมจึงต้องนิ่งเงียบไป อ้วนสุดจึงจัดแจงการตั้งตนเป็นเจ้าชื่อต๋องซือ อ้างว่าเป็นเชื้อสายพระเจ้างีซุ่นมาก่อน แล้วก็ให้ทหารไปบอกลิโป้ ให้ส่งลูกสาวมาแต่งงานกับบุตรชายของตน ซึ่งเป็นฝ่ายหน้า แต่ลิโป้คิดเปลี่ยนใจเสียแล้ว จึงฆ่าทหารถือสารนั้นเสีย แล้วส่งตัวหันอิ้นที่คุมขังไว้นั้น ไปให้โจโฉฆ่าเสีย
อ้วนสุดจึงยกทัพไปรบกับลิโป้ที่เมืองชีจิ๋ว เป็นเจ็ดทิศทาง แต่ก็พ่ายแพ้ข้าศึกทุกทิศทาง ต้องแตกร่นถอยกลับมาเมืองลำหยง และคิดแค้นลิโป้เป็นอันมาก จึงมีหนังสือไปหาซุนเซ็ก ขอให้ยกทหารมาช่วยตีลิโป้ แต่ซุนเซ็กโกรธที่อ้วนสุดยึดตราหยกของตนไว้ นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังยกทัพเข้าร่วมมือกับโจโฉ เล่าปี่ และลิโป้ รุมตีเมืองลำหยงแตก ตัวอ้วนสุดนั้นหนีไปอยู่ที่ตำบล ห้วยหนำ
ต่อมาอ้วนสุดคิดจะเอาตราหยก ไปให้อ้วนเสี้ยวพี่ชายและจะได้อาศัยอยู่ด้วย เมื่อพาขบวนเดินทางจะผ่านแดนเมืองชีจิ๋ว ก็ถูกเล่าปี่กับพี่น้องยกทหารออกมาสกัดไว้ เล่าปี่ก็ร้องด่าอ้วนสุดว่าเป็นขบถ ยึดตราหยกไว้แล้วตั้งตัวเป็นเจ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้ตนมาปราบปรามเสีย
อ้วนสุดก็ย้อนว่าเล่าปี่เป็นคนตระกูลต่ำ เลี้ยงชีพด้วยการทอเสื่อขาย จะมาอ้างว่าถือรับสั่งฮ่องเต้นั้น ตนไม่ได้เกรงกลัวเพราะรู้ว่าหามีฝีมือไม่ แต่อ้วนสุดลืมไปว่าเล่าปี่ยังมีกวนอูและเตียวหุย สองพี่น้องที่มีฝีมือกล้าแข็งอยู่อีกสองคน
การรบครั้งนี้อ้วนสุดจึงแตกพ่ายอีกครั้ง เหลือทหารอยู่ประมาณสามพันเศษ ต้องพาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่ตำบลกังเต๋ง ระหว่างทางก็ถูกพวกโจรหลายกลุ่ม เข้าตีชิงทรัพย์สินไปเป็นอันมาก เมื่อพักอยู่ที่กังเต๋งก็ได้ความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะขาดเสบียงอาหาร
สุดท้ายได้รับความคับแค้นใจ จากลิ่วล้อระดับจุมโพ่ แกล้งเอาข้าวที่ยังมีเปลือก หุงให้กิน จึงอาเจียนเป็นโลหิตออกมาประมาณทะนานหนึ่ง และขาดใจตายไป
เมื่ออ้วนอิ๋นผู้เป็นหลานน้า เอาศพอ้วนสุดใส่โลง พาครอบครัวและตราหยกเดินทางจะกลับไปเมืองลำหยง พอถึงเมืองโลกั๋ง ก็ถูก ชีจิ๋วเป๋ง กับชาวเมืองเข้าสกัดตีขบวนอพยพ ฆ่าอ้วนอิ๋นและครอบครัวตายหมดสิ้น แล้วยึดเอาตราหยกไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋ มีความชอบมากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองโกเหลง และได้รับบำเหน็จเป็นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก
อ้วนสุดน้องอ้วนเสี้ยวผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือ ซึ่งจะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ เพราะถือว่ามีตราหยกของฮ่องเต้ จึงคิดการเกินฐานะ ก็ถึงวาระสุดท้ายไปตามกรรมของตน อย่างน่า สมเพชในที่สุด.
#########
วางเมื่อ ๑๕ ก.ค.๕๖
เกร็ดสามก๊ก ๑๕ ก.ค.๕๖
เจ้าเมืองผู้มีกรรม
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เจ้าเมืองชั้นเอกในสามก๊กที่จะนำมาเล่าในตอนนี้ มีชื่อว่าอ้วนสุด เป็นเจ้าเมือง ลำหยง ซึ่งมีความสำคัญขนาดปรากฎชื่อในสารบัญหลายครั้ง เพียงแต่มีชีวิตสั้นไปหน่อย อยู่ในตอนต้นของเรื่องเท่านั้น จึงไม่ค่อยจะถูกนำมากล่าวถึงสักเท่าไรนัก
อ้วนสุดเป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยว ซึ่งเมื่อครั้งที่โจโฉหนีตั๋งโต๊ะออกจากเมือง ลกเอี๋ยง มาตั้งกองทัพประชาชนกู้แผ่นดิน และให้อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่นั้น อ้วนสุดก็ยกทหารจากเมืองลำหยง มาร่วมขบวนการด้วย และได้รับตำแหน่งเป็นแม่กองเสบียงของกองทัพ แต่เมื่อ ซุนเกี๋ยนนายกองหน้า ซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียงต๋ง ขาดแคลนเสบียงขอให้อ้วนสุดส่งเสบียงให้ นายทหารของอ้วนสุด ก็ยุยงว่า
“……..ซุนเกี๋ยนคนนี้ เมื่ออยู่เมืองกังตั๋งนั้น อุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋งโต๊ะนั้นอุปมาดังหมี ครั้งนี้ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเป็นกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ซุนเกี๋ยน ก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้นจะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่านิ่งเสียอย่าส่งเสบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลง เหมือนเสือหากำลัง มิได้….”
อ้วนสุดได้ฟังคำแนะนำ อันยืดยาวยอกย้อนนั้นแล้ว ก็เห็นด้วยจึงไม่ส่งเสบียงไปให้ซุนเกี๋ยน ทหารในกองหน้าก็อดอยากอิดโรย ไม่สามารถจะตีเอาเมืองลกเอี๋ยงได้ ครั้นซุนเกี๋ยนรู้เรื่องก็พานายทหารเอกสองคนไปหาอ้วนสุดที่ค่ายกองเสบียง แล้วทวงถามเอาบุญคุณว่า
“…….ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าตั้งตัวเป็นใหญ่ ใช่จะทำสิ่งใดให้เราขัดเคืองก็หามิได้ ซึ่งเราจะมาทำการด้วยอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ ก็เพราะความซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วจะคิดแก้แค้นตั๋งโต๊ะซึ่งฆ่าอ้วนหงุยอาท่านเสียนั้น อุตส่าห์ทรมานเอากายเข้าสู้ลูกเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวงมิได้คิดชีวิต เราก็ให้บอกมาขอเสบียง เป็นไฉนท่านจึงฟังคำยุยงมิให้เอาเสบียงไปส่ง ทหารในกองทัพเราจึงอดอยากอิดโรยกำลัง จนเสียทีแก่ข้าศึก………”
อ้วนสุดก็มีความละอายนัก จึงให้เอาตัวผู้ยุยงนั้นมาฆ่าเสียต่อหน้าซุนเกี๋ยน เรื่องจึงยุติลงได้ ต่อมาเมื่อกองทัพประชาชนกู้แผ่นดินของอ้วนเสี้ยว เกิดแตกคอกันเองแยกย้ายกลับไปบ้านเมืองของตนหมดแล้ว อ้วนสุดก็กลับมาอยู่เมืองลำหยงตามเดิม
แต่ก่อนจะเลิกสงครามครั้งนี้ ซุนเกี๋ยนได้ยกทหารเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง ภายหลังที่ตั๋งโต๊ะได้เผาทำลาย และย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเตียงฮันแล้ว ซุนเกี๋ยนเก็บตราหยกสำหรับฮ่องเต้ ได้จากศพนางกำนัลคนหนึ่งที่ตายในบ่อน้ำ แต่ไม่ยอมส่งให้อ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นแม่ทัพ ขากลับเมืองของตนก็ถูกเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นยกทหารมา จะชิงเอาตราหยกคืน จึงเกิดสู้รบกันขึ้น แต่ซุนเกี๋ยนหนีรอดมาถึงเมืองกั๋งตั๋งได้
ส่วนอ้วนเสี้ยวกลับไปเมืองโห้ลายของตนแล้ว ก็ใช้อุบายเข้ายึดเอาเมืองกิจิ๋วซึ่งอุดมสมบูรณ์กว่าไว้เป็นที่มั่นได้ อ้วนสุดรู้ข่าวก็แต่งหนังสือให้ทหารถือมาขอม้าจากพี่ชายพันหนึ่ง แต่อ้วนเสี้ยวมิยอมให้ดังปรารถนา อ้วนสุดก็โกรธตัดขาดจากพี่น้อง แล้วหันไปขอเสบียงจาก เล่าเปียวบ้าง เล่าเปียวก็มิได้ให้เสบียงมา อ้วนสุดก็คิดพยาบาทเล่าเปียวอีกคนหนึ่ง จึงมีหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยน ยุยงว่าเล่าเปียวกับอ้วนเสี้ยวคบคิดกัน จะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาตราหยกคืน
ซุนเกี๋ยนจึงยกทัพไปรบกับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แต่เสียทีถูกฆ่าตายในสมรภูมิ ตราหยกจึงตกอยู่กับซุนเซ็กบุตรชายคนโต ซึ่งมารับราชการอยู่กับอ้วนสุด และได้เอาตราหยกมาจำนำไว้กับอ้วนสุด เพื่อขอทหารไปรบแก้แค้นแทนบิดา อ้วนสุดก็ยินดีแต่ออกตัวว่า
“……..เราจะปรารถนาอันใดกับตราหยก แต่ท่านได้เอามาแล้วเราจะช่วยรักษาไว้ อันตัวท่านได้มาอยู่กับเรา มีธุระสิ่งใดเราจะช่วย…….”
แล้วอ้วนสุดก็มอบทหารเดินเท้าสามพัน กับทหารม้าห้าร้อยให้แก่ซุนเซ็ก และสั่งกำชับว่า
“……ท่านไปทำการสำเร็จแล้วเร่งกลับมา อย่าเพ่อทำการสิ่งใดต่อไป ด้วยตัวท่านยังอ่อนความคิดอยู่ แล้วก็เป็นขุนนางผู้น้อย ให้ท่านกลับมาหาเรา จะตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่….”
แล้วซุนเซ็กก็พานายทหารเอกของบิดา ยกพลออกจากเมืองลำหยงไปทำศึกกับคู่แค้นเก่าของบิดา ได้ชัยชนะแล้วก็เลยไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกังตั๋ง แล้วก็มีหนังสือมาขอตราหยกคืน อ้วนสุดก็ไม่อยากจะให้ ด้วยคิดจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง จึงหารือกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า
“…….ซุนเซ็กเมื่อแรกทำการอยู่กับเรา เราก็ตั้งให้เป็นขุนนาง แล้วขอทหารเราว่าจะไปช่วยน้าชายจะแก้แค้นบิดา เราก็ให้ ซุนเซ็กอาศัยกำลังเราก่อน จึงได้กำลังเป็นอันมาก บัดนี้ซุนเซ็กได้เป็นใหญ่ในฟากน้ำเมืองกังตั๋งแล้ว มิได้รู้จักคุณเรา ใช้ทหารมาทวงตราหยก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เราจึงจะได้ตัวซุนเซ็ก…….”
ที่ปรึกษาก็บอกว่า
“……..ซุนเซ็กได้ฟากน้ำกังตั๋งแล้ว ทหารที่มีฝีมือก็มาก แดนเมืองกังตั๋งก็กว้างกว่าเราอีก จะยกไปทำการก็เห็นจะไม่ได้ ขอให้ยกทหารไปตีเล่าปี่เสียก่อน ถ้าได้เล่าปี่แล้ว ซุนเซ็กก็จะอยู่ในเงื้อมมือเรา……”
อ้วนสุดก็ว่า
“…….เล่าปี่ตั้งอยู่ตำบลเมืองเสียวพ่าย ใกล้เมืองชีจิ๋วกับลิโป้ชอบพอกันอยู่ เห็น ลิโป้จะยกมาช่วย กำลังเล่าปี่จะมากขึ้นเราจะทำการมิสำเร็จ จำเราจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมลิโป้ เสียก่อน…”
แล้วอ้วนสุดก็ให้หันอิ้นถือหนังสือ กับข้าวยี่สิบหมื่นถัง ไปให้ลิโป้ในหนังสือนั้นมีความว่า เล่าปี่เป็นคนหยาบช้าไม่มีความสัตย์ ตนจะยกไปกำจัดเล่าปี่ แม้เล่าปี่มาขอพึ่งลิโป้ อย่าไปเอาธุระด้วย ลิโป้ได้ของกำนัลก็รับคำอ้วนสุด แล้วอ้วนสุดจึงให้กิเหลงคุมทหารห้าหมื่น ยกไปตีเมืองเสียวพ่าย แต่กิเหลงก็ไม่สามารถจะตีเมืองเสียวพ่ายได้สำเร็จ เพราะลิโป้ออกมาห้ามปราม และแกล้งเสี่ยงทายว่า ถ้าตนยิงเกาทัณฑ์ไปถูกด้ามทวนซึ่งปักไว้ไกลห้าเส้น ทั้งสองฝ่ายต้องแยกกันกลับเมือง ถ้าฝ่ายใดไม่เชื่อฟัง ตนจะเข้าช่วยอีกฝ่ายหนึ่งรบ ขณะนั้นฝีมือของลิโป้ยอดเยี่ยมเป็นที่เลื่องลือ กิเหลงจึงต้องยอมรับคำ และลิโป้ก็ยิงเกาทัณฑ์ถูกเป้า ทั้ง ๆ ที่กินสุราเข้าไปตั้งหลายจอก กิเหลงจึงต้องยกพลกลับมาเล่าให้อ้วนสุดฟัง พร้อมกับหนังสือยืนยันของลิโป้ด้วย
อ้วนสุดก็โกรธว่าลิโป้เจรจามิได้มีความสัตย์ จึงคิดจะยกทัพไปรบกับเล่าปี่และ ลิโป้เอง แต่กิเหลงท้วงว่า
“…….ลิโป้นั้นเป็นคนกล้าแข็ง ทหารที่มีฝีมือก็มาก ท่านจะยกไปบัดนี้เล่าปี่กับ ลิโป้ก็ยังชอบพอกันอยู่ เกลือกจะยกเข้าตีกระหนาบ ข้าพเจ้าเห็นจะเสียท่วงที การที่เราคิดไว้จะมิสำเร็จ ขอให้ท่านไปขอลูกสาวลิโป้ซึ่งเกิดด้วยนางเหงียมซีนั้น มาให้แก่ลูกชายท่าน ลิโป้กับท่านก็จะสนิทกันเข้า ถึงจะคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ก็จะได้โดยสะดวก…….”
อ้วนสุดก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้หันอิ้นคุมเอาสิ่งของที่ดีเป็นอันมากไปให้แก่ลิโป้ เพื่อขอลูกสาวของลิโป้ มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ลิโป้ก็ยินดีรับของหมั้นไว้ แล้วก็ตอบตกลงจะยกลูกสาวให้ แต่เมื่อหันอิ้นกลับมาอีกครั้งเพื่อจะรับลูกสาวไปแต่งงานที่เมืองลำหยง และลิโป้ส่งตัวลูกสาวขี่เกวียนไปได้ไม่นาน ก็กลับเปลี่ยนใจให้ทหารตามไปชิงเอาลูกสาวกลับมา และเอาตัวหันอิ้นไปจำคุกไว้ เพราะเชื่อคำยุยงของตันกุ๋ยซึ่งเป็นพวกเล่าปี่
ฝ่ายอ้วนสุดรออยู่เป็นเวลานาน หันอิ้นก็ไม่กลับมา คิดจะตั้งตัวเป็นเจ้า จึงหารือกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า
“……เราได้ยินคำโบราณเล่าสืบ ๆ กันมา ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจแต่ยังมิได้ราชสมบัตินั้น เป็นคนอนาถาอุปมาดังว่าอยู่ในท้องทะเล อุตส่าห์ทำความเพียรมาเป็นอันมากค่อยตั้งตัวได้ จึงได้ราชสมบัติทรงพระนามชื่อพระเจ้าฮั่นโกโจ พระราชวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ มาได้ถึง สี่ร้อยปี จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ราชสมบัติ เกิดอันตรายจลาจลต่าง ๆ เห็นราชสมบัติก็ร่วงโรยจวนจะสูญอยู่แล้ว ตัวเราก็เป็นเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน ราษฎรรักเราเป็นอันมาก เราจำจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด………”
ที่ปรึกษาก็ท้วงว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังมีพระชนม์อยู่ แล้วก็มิได้ทำอันตรายแก่ราษฎร ซึ่งท่านจะตั้งตัวเป็นเจ้านั้นเห็นว่าไม่ควร อ้วนสุดก็ตัดบทว่า
“……ตราสำหรับกษัตริย์อยู่ในเงื้อมมือกู เหมือนหนึ่งเทพดามาเสกให้กูเป็นเจ้า แม้ใครไม่ยอมจะให้ตัดศรีษะเสีย……..”
ที่ประชุมจึงต้องนิ่งเงียบไป อ้วนสุดจึงจัดแจงการตั้งตนเป็นเจ้าชื่อต๋องซือ อ้างว่าเป็นเชื้อสายพระเจ้างีซุ่นมาก่อน แล้วก็ให้ทหารไปบอกลิโป้ ให้ส่งลูกสาวมาแต่งงานกับบุตรชายของตน ซึ่งเป็นฝ่ายหน้า แต่ลิโป้คิดเปลี่ยนใจเสียแล้ว จึงฆ่าทหารถือสารนั้นเสีย แล้วส่งตัวหันอิ้นที่คุมขังไว้นั้น ไปให้โจโฉฆ่าเสีย
อ้วนสุดจึงยกทัพไปรบกับลิโป้ที่เมืองชีจิ๋ว เป็นเจ็ดทิศทาง แต่ก็พ่ายแพ้ข้าศึกทุกทิศทาง ต้องแตกร่นถอยกลับมาเมืองลำหยง และคิดแค้นลิโป้เป็นอันมาก จึงมีหนังสือไปหาซุนเซ็ก ขอให้ยกทหารมาช่วยตีลิโป้ แต่ซุนเซ็กโกรธที่อ้วนสุดยึดตราหยกของตนไว้ นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังยกทัพเข้าร่วมมือกับโจโฉ เล่าปี่ และลิโป้ รุมตีเมืองลำหยงแตก ตัวอ้วนสุดนั้นหนีไปอยู่ที่ตำบล ห้วยหนำ
ต่อมาอ้วนสุดคิดจะเอาตราหยก ไปให้อ้วนเสี้ยวพี่ชายและจะได้อาศัยอยู่ด้วย เมื่อพาขบวนเดินทางจะผ่านแดนเมืองชีจิ๋ว ก็ถูกเล่าปี่กับพี่น้องยกทหารออกมาสกัดไว้ เล่าปี่ก็ร้องด่าอ้วนสุดว่าเป็นขบถ ยึดตราหยกไว้แล้วตั้งตัวเป็นเจ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้ตนมาปราบปรามเสีย
อ้วนสุดก็ย้อนว่าเล่าปี่เป็นคนตระกูลต่ำ เลี้ยงชีพด้วยการทอเสื่อขาย จะมาอ้างว่าถือรับสั่งฮ่องเต้นั้น ตนไม่ได้เกรงกลัวเพราะรู้ว่าหามีฝีมือไม่ แต่อ้วนสุดลืมไปว่าเล่าปี่ยังมีกวนอูและเตียวหุย สองพี่น้องที่มีฝีมือกล้าแข็งอยู่อีกสองคน
การรบครั้งนี้อ้วนสุดจึงแตกพ่ายอีกครั้ง เหลือทหารอยู่ประมาณสามพันเศษ ต้องพาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่ตำบลกังเต๋ง ระหว่างทางก็ถูกพวกโจรหลายกลุ่ม เข้าตีชิงทรัพย์สินไปเป็นอันมาก เมื่อพักอยู่ที่กังเต๋งก็ได้ความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะขาดเสบียงอาหาร
สุดท้ายได้รับความคับแค้นใจ จากลิ่วล้อระดับจุมโพ่ แกล้งเอาข้าวที่ยังมีเปลือก หุงให้กิน จึงอาเจียนเป็นโลหิตออกมาประมาณทะนานหนึ่ง และขาดใจตายไป
เมื่ออ้วนอิ๋นผู้เป็นหลานน้า เอาศพอ้วนสุดใส่โลง พาครอบครัวและตราหยกเดินทางจะกลับไปเมืองลำหยง พอถึงเมืองโลกั๋ง ก็ถูก ชีจิ๋วเป๋ง กับชาวเมืองเข้าสกัดตีขบวนอพยพ ฆ่าอ้วนอิ๋นและครอบครัวตายหมดสิ้น แล้วยึดเอาตราหยกไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋ มีความชอบมากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองโกเหลง และได้รับบำเหน็จเป็นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก
อ้วนสุดน้องอ้วนเสี้ยวผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือ ซึ่งจะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ เพราะถือว่ามีตราหยกของฮ่องเต้ จึงคิดการเกินฐานะ ก็ถึงวาระสุดท้ายไปตามกรรมของตน อย่างน่า สมเพชในที่สุด.
#########
วางเมื่อ ๑๕ ก.ค.๕๖