บทที่ ๒๐
ยามเช้าภายในคฤหาสน์หรูของพิศสุดา ซึ่งเจ้าของบ้านสาววัยกลางคนกำลังนั่งกรีดกรายอย่างสบายอารมณ์ภายในสวนข้างสระว่ายน้ำ สายตาเพ่งมองเล็บยาวของตนเองที่เพิ่งบรรจงแต่งสีเล็บใหม่และยังไม่ทันจะแห้งสนิท จู่ๆเสียงเรียกของฉันทิกาก็ดังขึ้น
“พิศ !”
เจ้าของบ้านหันมองที่มาของเสียง และเห็นเพื่อนรักกำลังเดินจ้ำมาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มาหาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่แน่เลยใช่มั้ย” เอ่ยถามพร้อมโบกมือให้เด็กรับใช้ที่นั่งใกล้บริเวณนั้นมาเก็บอุปกรณ์เสริมสวยของเธอออกไปก่อนที่ร่างของผู้มาเยือนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้า วางกระแทกกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้ข้างตัว สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม กระวนกระวาย
“ใช่ ฉันมีเรื่องใหญ่มากๆ” ฉันทิกาตอบด้วยความฉุนเฉียวและเดินวนไปมา ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยอารมณ์เกรี้ยวกราดให้เพื่อนได้รับรู้
“เธอรู้มั้ย เมื่อวานนี้ไอ้นักสืบบ้านั่นมันโทรมาบอกยกเลิกงานของฉัน ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์ตั้งความหวังกับมันไว้มาก..แล้วดูซิ! ดูมันทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง..ไหนเธอบอกว่ามันเป็นมืออาชีพไง ฮึ! นี่ถ้าเมื่อวานไม่ติดว่าคุณหญิงวิภาโทรมาตามตัวไปหาด่วนล่ะก็ ฉันโทรมาเฉ่งเธอแล้ว”
พิศสุดานั่งหน้าเหวอ ตาปริบๆมองเพื่อนอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะ..อะไร..เธอหมายถึงเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย..แล้วไอ้นักสืบที่ว่าเนี่ย หมายถึงคุณสุเมธใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะสิ..ไอ้นักสืบเฮงซวยนั่นล่ะ มันโทรมายกเลิกงานของฉัน..เธอได้ยินชัดมั้ย” ฉันทิกาย้ำใส่หน้าเพื่อนอย่างเดือดดาล
“เออๆ ชัดแจ๋วเลย..แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่าคนอย่างคุณสุเมธจะทิ้งงานไปกลางคันแบบนี้” พิศสุดาพึมพำตามความคิด เพราะรู้จักกับสุเมธมาพอสมควรและเธอเองก็แนะนำให้บรรดาเพื่อนๆของเธอที่มีปัญหาเดียวกันนี้ไปหาสุเมธ ซึ่งเขาก็ปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ว่าจ้างทุกครั้ง..แล้วทำไมครั้งนี้มันถึงมีปัญหา!?
“ฉันว่า..มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดแน่ๆเลยนะ น้อย”
“ฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่า มันคงรู้แล้วล่ะ ว่าโม้นาซุกใครไว้ แต่มันกลับไม่ยอมบอกฉัน ทั้งๆที่ฉันเสนอเงินให้มันอีกก้อนมันยังไม่เอาเลย ฮึ! มันน่าเจ็บใจมั้ยล่ะ”
ฉันทิกาแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง พิศสุดารีบปรามเพื่อน กลัวว่าอารมณ์โกรธจะพุ่งปรี๊ดจนเส้นเลือดฝอยแตกเสียก่อน
“ใจเย็นหน่อยเถอะน้อย..นั่งลงก่อนซิ เดินไป-มาอยู่แบบนี้ ฉันเห็นแล้วเวียนหัวแทน”
“เธอจะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง..ฉัน..ฉันอยากรู้นี่ว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร และที่สำคัญ มันจะใช่ผัวของฉันรึเปล่า”
“แหม..เธออย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันเลวร้ายถึงขนาดนั้นสิจ๊ะ..ฉันว่า คนที่สามารถทำให้คุณสุเมธทิ้งงานกลางคันไปได้น่ะมันต้องเป็นคนใหญ่คนโตคับฟ้าอย่างพวกนักการเมือง หรือพวกผู้มีสีตัวเป้งๆ หรือไม่อีกอย่างก็เป็นพวกมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลแล้วก็โหดมากๆด้วย คุณสุเมธถึงไม่อยากเสี่ยงด้วยน่ะ..และฉันก็คิดว่า สามีของเธอถึงแม้จะเข้าขั้นมหาเศรษฐีแต่เท่าที่ฉันเห็นและรู้จักมาหลายสิบปี ฉันว่าคุณชนาธิปไม่ได้น่ากลัวจนคนอย่างคุณสุเมธไม่กล้าแตะต้องหรอกนะ..เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันว่าผู้ชายที่หลานของเธอซุกไว้น่ะ ไม่ใช่สามีของเธอหรอก” และตบฝ่ามือเบาๆลงกับเก้าอี้ข้างตัว
“นั่งลงก่อน..แล้วทำใจให้ร่มๆเข้าไว้ เราจะได้มีสมาธิไว้คิดหาวิธีว่าจะทำยังไงต่อไป”
เมื่อได้ยินเพื่อนรักวิเคราะห์ออกมาเช่นนั้น ความกังวลใจที่มีท่วมท้นเมื่อครู่เริ่มคลายตัวลงมาพอสมควร จึงยอบตัวลงนั่งตามที่เพื่อนชี้นำ พร้อมพ่นลมหายใจอีกเฮือก
“ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นที่สุดแล้ว..แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่า เดี๋ยวนี้คนมันวิปริตมากขึ้นแค่ไหน ขนาดพ่อ-ลูกมันยังไม่เว้นกันเลยแล้วจะนับประสาอะไรแค่ลุง-หลาน..แล้วยิ่งนานวัน ฉันก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันหวาดระแวงมาตลอดมันกำลังจะเป็นความจริง..ตอนนี้ฉันเครียดมาก..เครียด! จนบางครั้งฉันคิดอยากจะกำจัดตัวปัญหาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย”
พิศสุดาตกตะลึงในความคิดของเพื่อน
“ว้ายตายแล้ว! อย่าได้ทำอย่างนั้นเด็ดขาดเชียวนะเธอ..คนทั้งคนนะจ๊ะ ไม่ใช่มด ปลวก จะได้คิดกำจัดกันง่ายๆน่ะ..แล้วถ้าขืนคุณชนาธิปรู้เข้าล่ะก็ ชีวิตเธอพังแน่ เพราะยังไงเสีย โม้นาก็เป็นหลานของเขา..แล้วอีกอย่าง เธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าสองคนนั่นเขาเป็นอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว โยนไอ้ความคิดบ้าๆนั่นทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ฉันทิกาเอนร่างพิงพนักอย่างอ่อนแรง
“ฉันก็แค่คิดเท่านั้น ใครจะกล้าทำจริงๆ”
“จะว่าได้เหรอ ไอ้อารมณ์หึงหวงเนี่ยมันร้ายนัก ใครจะไปรู้ล่ะว่าถ้าขาดสติไปชั่ววูบน่ะ เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ขนาดฉันเป็นคนใจเย็นกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันยังเกือบเอาปืนไล่ยิงนังเมียน้อยเลย แล้วถ้าขืนเธอยังคิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ สักวัน..เธออาจได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแน่”
คนฟังมองสบสายตาเขม็งของเพื่อนชั่วครู่ก็ถอนหายใจฟึดฟัด
“แล้วเธอมีวิธีอะไรพอจะช่วยฉันให้เลิกหวาดระแวงกับไอ้เรื่องบ้าๆนี้มั้ยล่ะ”
พิศสุดากรีดนิ้วดูเล็บของเธออีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อน
“ไม่ยาก ก็แค่..หาสามีเป็นตัวเป็นตนให้แม่หลานสาวของคุณชนาธิปเสียสิ”
ฉันทิกานิ่งขึงไปชั่วครู่ ใบหน้าเริ่มเจือรอยยิ้ม
“นั่นสิ! ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกับเรื่องนี้นะ”
“ก็บอกแล้ว ว่าให้ทำใจร่มๆ” พิศสุดาหยัดยิ้มพึงใจที่เพื่อนเห็นดีเห็นงามข้อเสนอแนะของเธอ “และตอนนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาเสาะหาว่าที่หลานเขยเสียด้วย เพราะดูเหมือนว่า ลูกชายของระพีพรรณจะเข้ามารอบนโพเดี่ยมเรียบร้อยแล้วนะ”
ฉันทิกานึกไปถึงปริพันธ์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่ความกังวลยังคงมีอีกระลอก
“ฉันก็อยากให้สองคนนี่ลงเอยกันเสียที..แต่แม่โม้นาน่ะสิ ยืนยันแต่ว่าตาปอเป็นแค่พี่ชายเท่านั้น แล้วอีกอย่าง จู่ๆเธอจะให้ฉันไปเร่งเร้าให้ผู้ชายมาขอ ทางนั้นคงคิดกับเราแปลกๆแน่”
“เราก็อย่าไปแสดงท่าทีเร่งรัดให้สองคนนั่นแต่งงานกันจนออกนอกหน้าสิ..เราก็แค่ค่อยตะล่อมให้ตาปอเข้ามากระชับสัมพันธ์ให้เร็วแล้วก็ถี่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น และฉันว่า ทางฝ่ายตาปอน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะเจ้าตัวเขาก็เปิดเผยว่าชอบคนของเราเต็มประตูเข้าไปแล้ว แถมระพีพรรณเขาเองก็เป็นพวกบ้าเห่อดาราด้วย แค่เรากระตุ้นหน่อยก็คงรีบแจ้นมาแล้ว ปัญหาก็อยู่ที่คนของเราเท่านั้นล่ะ ว่าเธอจะมีปัญญาทำให้โม้นายอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการรึเปล่า”
พิศสุดาเสนอแนะในสิ่งที่ตนเองคาดเดาได้ เพราะเธอกับระพีพรรณนั้นถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากเหมือนฉันทิกา แต่เธอก็เรียนมหาวิทยาลัยในต่างแดนมาด้วยกันและในปัจจุบันก็ยังคบหาสมาคมกันตามงานสังคม จึงพอจะรู้จักนิสัยใจคอมากพอสมควร
ฉันทิกาคิดตามแล้วก็แค่นเสียงพูดอย่างมาดมั่น
“ไม่ว่ายังไง ฉันต้องบังคับให้ราโมน่าแต่งงานกับตาปอให้เร็วที่สุด”
แต่พิศสุดากลับไม่เห็นด้วยในความคิดนี้
“โอ้ยๆ จะไปบังคับแบบนั้นไม่ได้นะเธอ”
ฉันทิกามองเพื่อนตาขวาง
“เอ๊ะ! ทำไมจะไม่ได้”
“เรื่องอะไรที่มันกระทบต่อจิตใจมันก็ต้องอาศัยเวลาบ้าง จู่ๆเธอจะให้หนูโม้นาเลิกจากฝ่ายนั้นเพื่อมาแต่งงานกับฝ่ายนี้ เธอคิดดูเอาเองเถอะว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย..แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายที่หนูโม้นาคบด้วยน่ะ มันเป็นใคร นิสัยยังไง..ดีไม่ดี เกิดเจ้าผู้ชายคนนั้นมันไม่ยอมเลิกด้วยแล้วฉุดคนของเราไปเก็บไว้แทน หรือไม่ก็สติหลุดมายิงตาปอทิ้งล่ะก็ คราวนี้ได้เป็นเรื่องฉาวกระฉ่อนให้อับอายกันถ้วนหน้าแน่”
คนฟังนิ่งขึง
“..นั่นสิ”
“เรื่องลมเพชรลมหึงน่ะมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เพราะฉะนั้น เธอต้องให้เวลาหนูโม้นาไปเคลียร์กับทางนั้นบ้าง..ทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นอะไรได้ดั่งใจเธอไปหมดเสียหมดหรอกนะเธอ”
พิศสุดาเหน็บนิสัยใจร้อน เอาแต่ใจของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะให้ความสนใจสำรวจตรวจตราสีเล็บของเธอ แต่ก็ยังสำทับมาลอยๆ
“ถ้าเธออย่างจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ก็ตามใจนะ..”
แน่นอน ว่าฉันทิกาไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดเรื่องอื้อฉาวแน่ ทั้งๆที่เธอแสนจะคับแค้นใจ ที่อะไรๆมันไม่ได้ดั่งใจเธอเอาเสียเลย..ถ้าหากเธอรู้ว่า ผู้ชายที่ราโมน่าซุกซ่อนไว้เป็นใคร เธอก็คงจะไปเจรจากับผู้ชายคนนั้นให้เด็ดขาดเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อไม่สามารถรู้ได้ เธอก็คงต้องใช้วิธีอย่างที่เพื่อนรักบอก..เพราะตัวราโมน่าเองนั้น ต่อให้เธอคาดคั้นยังไงก็คงไม่ปริปากพูดความจริงเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจเตลิดหนีตามผู้ชายคนนั้นจนทำให้ชื่อเสียงวงตระกูลเสียหายไม่ต่างจากที่น้องสะใภ้เคยทำไว้ก็เป็นได้ ซึ่งเธอจะไม่มีวันให้เหตุการณ์คล้ายๆกันนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด
ฉันทิกาพ่นลมหายใจหนักหน่วง แล้วพูดกับเพื่อนรัก
“..เห็นที..ฉันคงต้องทำตามข้อเสนอของเธอเสียแล้ว”
ไฟซ่อนรัก บทที่ ๒๐-๒๑
ยามเช้าภายในคฤหาสน์หรูของพิศสุดา ซึ่งเจ้าของบ้านสาววัยกลางคนกำลังนั่งกรีดกรายอย่างสบายอารมณ์ภายในสวนข้างสระว่ายน้ำ สายตาเพ่งมองเล็บยาวของตนเองที่เพิ่งบรรจงแต่งสีเล็บใหม่และยังไม่ทันจะแห้งสนิท จู่ๆเสียงเรียกของฉันทิกาก็ดังขึ้น
“พิศ !”
เจ้าของบ้านหันมองที่มาของเสียง และเห็นเพื่อนรักกำลังเดินจ้ำมาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มาหาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่แน่เลยใช่มั้ย” เอ่ยถามพร้อมโบกมือให้เด็กรับใช้ที่นั่งใกล้บริเวณนั้นมาเก็บอุปกรณ์เสริมสวยของเธอออกไปก่อนที่ร่างของผู้มาเยือนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้า วางกระแทกกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้ข้างตัว สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม กระวนกระวาย
“ใช่ ฉันมีเรื่องใหญ่มากๆ” ฉันทิกาตอบด้วยความฉุนเฉียวและเดินวนไปมา ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยอารมณ์เกรี้ยวกราดให้เพื่อนได้รับรู้
“เธอรู้มั้ย เมื่อวานนี้ไอ้นักสืบบ้านั่นมันโทรมาบอกยกเลิกงานของฉัน ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์ตั้งความหวังกับมันไว้มาก..แล้วดูซิ! ดูมันทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง..ไหนเธอบอกว่ามันเป็นมืออาชีพไง ฮึ! นี่ถ้าเมื่อวานไม่ติดว่าคุณหญิงวิภาโทรมาตามตัวไปหาด่วนล่ะก็ ฉันโทรมาเฉ่งเธอแล้ว”
พิศสุดานั่งหน้าเหวอ ตาปริบๆมองเพื่อนอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะ..อะไร..เธอหมายถึงเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย..แล้วไอ้นักสืบที่ว่าเนี่ย หมายถึงคุณสุเมธใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะสิ..ไอ้นักสืบเฮงซวยนั่นล่ะ มันโทรมายกเลิกงานของฉัน..เธอได้ยินชัดมั้ย” ฉันทิกาย้ำใส่หน้าเพื่อนอย่างเดือดดาล
“เออๆ ชัดแจ๋วเลย..แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่าคนอย่างคุณสุเมธจะทิ้งงานไปกลางคันแบบนี้” พิศสุดาพึมพำตามความคิด เพราะรู้จักกับสุเมธมาพอสมควรและเธอเองก็แนะนำให้บรรดาเพื่อนๆของเธอที่มีปัญหาเดียวกันนี้ไปหาสุเมธ ซึ่งเขาก็ปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ว่าจ้างทุกครั้ง..แล้วทำไมครั้งนี้มันถึงมีปัญหา!?
“ฉันว่า..มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดแน่ๆเลยนะ น้อย”
“ฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่า มันคงรู้แล้วล่ะ ว่าโม้นาซุกใครไว้ แต่มันกลับไม่ยอมบอกฉัน ทั้งๆที่ฉันเสนอเงินให้มันอีกก้อนมันยังไม่เอาเลย ฮึ! มันน่าเจ็บใจมั้ยล่ะ”
ฉันทิกาแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง พิศสุดารีบปรามเพื่อน กลัวว่าอารมณ์โกรธจะพุ่งปรี๊ดจนเส้นเลือดฝอยแตกเสียก่อน
“ใจเย็นหน่อยเถอะน้อย..นั่งลงก่อนซิ เดินไป-มาอยู่แบบนี้ ฉันเห็นแล้วเวียนหัวแทน”
“เธอจะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง..ฉัน..ฉันอยากรู้นี่ว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร และที่สำคัญ มันจะใช่ผัวของฉันรึเปล่า”
“แหม..เธออย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันเลวร้ายถึงขนาดนั้นสิจ๊ะ..ฉันว่า คนที่สามารถทำให้คุณสุเมธทิ้งงานกลางคันไปได้น่ะมันต้องเป็นคนใหญ่คนโตคับฟ้าอย่างพวกนักการเมือง หรือพวกผู้มีสีตัวเป้งๆ หรือไม่อีกอย่างก็เป็นพวกมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลแล้วก็โหดมากๆด้วย คุณสุเมธถึงไม่อยากเสี่ยงด้วยน่ะ..และฉันก็คิดว่า สามีของเธอถึงแม้จะเข้าขั้นมหาเศรษฐีแต่เท่าที่ฉันเห็นและรู้จักมาหลายสิบปี ฉันว่าคุณชนาธิปไม่ได้น่ากลัวจนคนอย่างคุณสุเมธไม่กล้าแตะต้องหรอกนะ..เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันว่าผู้ชายที่หลานของเธอซุกไว้น่ะ ไม่ใช่สามีของเธอหรอก” และตบฝ่ามือเบาๆลงกับเก้าอี้ข้างตัว
“นั่งลงก่อน..แล้วทำใจให้ร่มๆเข้าไว้ เราจะได้มีสมาธิไว้คิดหาวิธีว่าจะทำยังไงต่อไป”
เมื่อได้ยินเพื่อนรักวิเคราะห์ออกมาเช่นนั้น ความกังวลใจที่มีท่วมท้นเมื่อครู่เริ่มคลายตัวลงมาพอสมควร จึงยอบตัวลงนั่งตามที่เพื่อนชี้นำ พร้อมพ่นลมหายใจอีกเฮือก
“ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นที่สุดแล้ว..แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่า เดี๋ยวนี้คนมันวิปริตมากขึ้นแค่ไหน ขนาดพ่อ-ลูกมันยังไม่เว้นกันเลยแล้วจะนับประสาอะไรแค่ลุง-หลาน..แล้วยิ่งนานวัน ฉันก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันหวาดระแวงมาตลอดมันกำลังจะเป็นความจริง..ตอนนี้ฉันเครียดมาก..เครียด! จนบางครั้งฉันคิดอยากจะกำจัดตัวปัญหาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย”
พิศสุดาตกตะลึงในความคิดของเพื่อน
“ว้ายตายแล้ว! อย่าได้ทำอย่างนั้นเด็ดขาดเชียวนะเธอ..คนทั้งคนนะจ๊ะ ไม่ใช่มด ปลวก จะได้คิดกำจัดกันง่ายๆน่ะ..แล้วถ้าขืนคุณชนาธิปรู้เข้าล่ะก็ ชีวิตเธอพังแน่ เพราะยังไงเสีย โม้นาก็เป็นหลานของเขา..แล้วอีกอย่าง เธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าสองคนนั่นเขาเป็นอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว โยนไอ้ความคิดบ้าๆนั่นทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ฉันทิกาเอนร่างพิงพนักอย่างอ่อนแรง
“ฉันก็แค่คิดเท่านั้น ใครจะกล้าทำจริงๆ”
“จะว่าได้เหรอ ไอ้อารมณ์หึงหวงเนี่ยมันร้ายนัก ใครจะไปรู้ล่ะว่าถ้าขาดสติไปชั่ววูบน่ะ เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ขนาดฉันเป็นคนใจเย็นกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันยังเกือบเอาปืนไล่ยิงนังเมียน้อยเลย แล้วถ้าขืนเธอยังคิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ สักวัน..เธออาจได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแน่”
คนฟังมองสบสายตาเขม็งของเพื่อนชั่วครู่ก็ถอนหายใจฟึดฟัด
“แล้วเธอมีวิธีอะไรพอจะช่วยฉันให้เลิกหวาดระแวงกับไอ้เรื่องบ้าๆนี้มั้ยล่ะ”
พิศสุดากรีดนิ้วดูเล็บของเธออีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อน
“ไม่ยาก ก็แค่..หาสามีเป็นตัวเป็นตนให้แม่หลานสาวของคุณชนาธิปเสียสิ”
ฉันทิกานิ่งขึงไปชั่วครู่ ใบหน้าเริ่มเจือรอยยิ้ม
“นั่นสิ! ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกับเรื่องนี้นะ”
“ก็บอกแล้ว ว่าให้ทำใจร่มๆ” พิศสุดาหยัดยิ้มพึงใจที่เพื่อนเห็นดีเห็นงามข้อเสนอแนะของเธอ “และตอนนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาเสาะหาว่าที่หลานเขยเสียด้วย เพราะดูเหมือนว่า ลูกชายของระพีพรรณจะเข้ามารอบนโพเดี่ยมเรียบร้อยแล้วนะ”
ฉันทิกานึกไปถึงปริพันธ์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่ความกังวลยังคงมีอีกระลอก
“ฉันก็อยากให้สองคนนี่ลงเอยกันเสียที..แต่แม่โม้นาน่ะสิ ยืนยันแต่ว่าตาปอเป็นแค่พี่ชายเท่านั้น แล้วอีกอย่าง จู่ๆเธอจะให้ฉันไปเร่งเร้าให้ผู้ชายมาขอ ทางนั้นคงคิดกับเราแปลกๆแน่”
“เราก็อย่าไปแสดงท่าทีเร่งรัดให้สองคนนั่นแต่งงานกันจนออกนอกหน้าสิ..เราก็แค่ค่อยตะล่อมให้ตาปอเข้ามากระชับสัมพันธ์ให้เร็วแล้วก็ถี่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น และฉันว่า ทางฝ่ายตาปอน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะเจ้าตัวเขาก็เปิดเผยว่าชอบคนของเราเต็มประตูเข้าไปแล้ว แถมระพีพรรณเขาเองก็เป็นพวกบ้าเห่อดาราด้วย แค่เรากระตุ้นหน่อยก็คงรีบแจ้นมาแล้ว ปัญหาก็อยู่ที่คนของเราเท่านั้นล่ะ ว่าเธอจะมีปัญญาทำให้โม้นายอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการรึเปล่า”
พิศสุดาเสนอแนะในสิ่งที่ตนเองคาดเดาได้ เพราะเธอกับระพีพรรณนั้นถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากเหมือนฉันทิกา แต่เธอก็เรียนมหาวิทยาลัยในต่างแดนมาด้วยกันและในปัจจุบันก็ยังคบหาสมาคมกันตามงานสังคม จึงพอจะรู้จักนิสัยใจคอมากพอสมควร
ฉันทิกาคิดตามแล้วก็แค่นเสียงพูดอย่างมาดมั่น
“ไม่ว่ายังไง ฉันต้องบังคับให้ราโมน่าแต่งงานกับตาปอให้เร็วที่สุด”
แต่พิศสุดากลับไม่เห็นด้วยในความคิดนี้
“โอ้ยๆ จะไปบังคับแบบนั้นไม่ได้นะเธอ”
ฉันทิกามองเพื่อนตาขวาง
“เอ๊ะ! ทำไมจะไม่ได้”
“เรื่องอะไรที่มันกระทบต่อจิตใจมันก็ต้องอาศัยเวลาบ้าง จู่ๆเธอจะให้หนูโม้นาเลิกจากฝ่ายนั้นเพื่อมาแต่งงานกับฝ่ายนี้ เธอคิดดูเอาเองเถอะว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย..แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายที่หนูโม้นาคบด้วยน่ะ มันเป็นใคร นิสัยยังไง..ดีไม่ดี เกิดเจ้าผู้ชายคนนั้นมันไม่ยอมเลิกด้วยแล้วฉุดคนของเราไปเก็บไว้แทน หรือไม่ก็สติหลุดมายิงตาปอทิ้งล่ะก็ คราวนี้ได้เป็นเรื่องฉาวกระฉ่อนให้อับอายกันถ้วนหน้าแน่”
คนฟังนิ่งขึง
“..นั่นสิ”
“เรื่องลมเพชรลมหึงน่ะมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เพราะฉะนั้น เธอต้องให้เวลาหนูโม้นาไปเคลียร์กับทางนั้นบ้าง..ทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นอะไรได้ดั่งใจเธอไปหมดเสียหมดหรอกนะเธอ”
พิศสุดาเหน็บนิสัยใจร้อน เอาแต่ใจของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะให้ความสนใจสำรวจตรวจตราสีเล็บของเธอ แต่ก็ยังสำทับมาลอยๆ
“ถ้าเธออย่างจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ก็ตามใจนะ..”
แน่นอน ว่าฉันทิกาไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดเรื่องอื้อฉาวแน่ ทั้งๆที่เธอแสนจะคับแค้นใจ ที่อะไรๆมันไม่ได้ดั่งใจเธอเอาเสียเลย..ถ้าหากเธอรู้ว่า ผู้ชายที่ราโมน่าซุกซ่อนไว้เป็นใคร เธอก็คงจะไปเจรจากับผู้ชายคนนั้นให้เด็ดขาดเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อไม่สามารถรู้ได้ เธอก็คงต้องใช้วิธีอย่างที่เพื่อนรักบอก..เพราะตัวราโมน่าเองนั้น ต่อให้เธอคาดคั้นยังไงก็คงไม่ปริปากพูดความจริงเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจเตลิดหนีตามผู้ชายคนนั้นจนทำให้ชื่อเสียงวงตระกูลเสียหายไม่ต่างจากที่น้องสะใภ้เคยทำไว้ก็เป็นได้ ซึ่งเธอจะไม่มีวันให้เหตุการณ์คล้ายๆกันนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด
ฉันทิกาพ่นลมหายใจหนักหน่วง แล้วพูดกับเพื่อนรัก
“..เห็นที..ฉันคงต้องทำตามข้อเสนอของเธอเสียแล้ว”