คัดลอกมาจาก :
http://mcot-web.mcot.net/fm965/site/view/id/51dbd1cc150ba043690000b8#.UdzXb1PIZXb
หลายคนรู้จักผู้ชายคนนี้จากหนังสือ การลาออกครั้งสุดท้าย และล่าสุดที่มีผลงานออกมาอีกครั้งกับ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน “ใบพัด” ภาณุมาศ ทองธนากุล วันนี้ (6 ก.ค.2556)ใบพัด เดินทางมาสดๆ ที่คลื่นความคิด FM 96.5 ให้เกียรติร่วมพูดคุยกับ สรรเสริญ ปัญญาธิวงศ์ ในรายการ เสาร์เสวนา
ใบพัด เกริ่นนำว่า ก่อนจะมาเขียนหนังสือ เขาก็เดินมาในเส้นทางคนข่าว เป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจประมาณ 8 เดือน แล้วก็เปลี่ยนงาน ตลอด 5 ปีแรก เขาเปลี่ยนงานบ่อยมาก 8 แห่ง นานที่สุดคือ 2 ปี และที่แย่มากๆ คือ ไปทำงานตอนเช้า พอตอนบ่ายลาออกเลย พอกลับมานั่งทบทวนตัวเองก็เห็นตรงตามที่ผู้ใหญ่ต่อว่า ว่าวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่อดทน จับจด เหลาะแหละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เจ็บปวดเหมือนกันนะ จึงทำความเข้าใจกับตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา
“ผมเชื่อว่าเราเป็นผลสืบเนื่องจากสิ่งที่เราเจอมา คือ ในรุ่นอากงอาม่า ที่มาจากเมืองจีน ไม่มีอะไร มาก็ไม่คิดว่าจะต้องทำงานที่ชอบ ก็ทำไปเพื่อให้ได้มีเงินซื้อตึกแถว แต่พอมาสมัยพ่อแม่ พอจะมีเงิน มีกิจการแล้ว ความฝันก็คืออยากให้ลูกมีการศึกษาบ้าง บ้านไหนลูกจบปริญญานี่ยิ่งใหญ่มาก และไม่ได้หวังแค่เซ้งตึกแถว แต่จะเป็นการซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเราก็เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ทุกคนเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้น รุ่นนี้ก็จะไม่มีภาระรับผิดชอบ ไม่ต้องแสวงหาทรัพย์สิน มีหน้าที่แค่เรียนให้จบ โอกาสเยอะขึ้น ภาระหน้าที่รับผิดชอบน้อยลง การที่มีโอกาสแล้วไม่อดทน จึงพอเข้าใจแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เรามีทางเลือกเยอะขึ้น จึงนำมาซึ่งพฤติกรรมเหลาะแหละ ซึ่งก็มีข้อดีคือ เราได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้มากขึ้น ฉะนั้นถ้าเป็นเด็กเอาถ่าน จะเก่งกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ถ้าไม่เอาถ่านก็จะแย่กว่ารุ่นเก่าๆอีก” ใบพัด วิเคราะห์ลักษณะนิสัยตัวเองอย่างละเอียด
เมื่อถามว่า ภาณุมาศ เป็นแบบไหน เขาบอกว่า เขาเป็นคนกลางๆ ไม่ได้เก่งมาก โตมาแบบไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากในกลุ่มเพื่อน ช่วงเวลาวัยรุ่นไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าประทับใจของเขา เพราะไม่ได้เป็นจุดสนใจ หรือ ไอดอล ของเพื่อนๆ ซึ่งในวัยนั้นไม่มีอะไรสำคัญเ ท่ากับการได้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน เขาบอกว่า เขาบอกว่า เขาจัดอยู่ในพวกอายความเป็นตัวเอง ไม่ค่อยเชื่อมั่นหรือรู้สึกว่าการเป็นตัสวเองมันดียังไง อยากไปโรงเรียนเพื่อประคองตัวเองไม่ให้เพื่อนล้อ ไม่ให้เป็นตัวประหลาดในหมู่เพื่อน เพราะเขาจะชื่นชมพวกคนที่ทำอะไรผาดโผน ขณะที่ตัวใบพัดบอกว่า เขาเป็นเด็กเรียบร้อย อยู่ในกรอบจะเป็นที่รักของผู้ใหญ่ แต่เมื่อมาอยู่ในมหาวิทยาลัยค่านิยมกลับหัวกลับหางหมด ผมชอบอ่านหนังสือ แต่ค่านิยมในการเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือกลับไม่เท่เท่ากับการชวนกันโดดเรียน ไปเที่ยว
“เวลาเพื่อนถามว่าเข้าห้องสมุดหรือเปล่า ก็ต้องปฏิเสธ เพราะกลัวเพื่อนมองว่ากระจอก แต่เมื่อมาคิดดู การอายตัวเองยิ่งกระจอกกว่าการอายสิ่งที่เราชอบเสียอีก และเสียเวลาไปมากกับการประคองตัวเองไม่ให้ถูกล้อ ไม่ได้มุ่งไปในทางที่เราชอบ” ใบพัด เล่าด้วยน้ำเสียงสดใส ออกรสออกชาติ
ใบพัดเล่าอีกว่า เมื่อพยายามทำตัวไม่ให้ถูกเพื่อนล้อ ก็ทำให้ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมาก ส่งผลให้เอ็นทรานซ์ไม่ติด ก็ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ 2 ปี ช่วงปิดเทอมปีที่ 3 พ่อบอกว่า มีกิจกรรมอบรมสำหรับเด็กเก่งแต่ละมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่ได้สนใจมาก กระทั่งพ่อว่า สาวสวยมาก เขาจึงหยิบใบสมัครมา ปรากฏว่า มันเปลี่ยนโลก เพราะการถูกสายตาสอดส่ายมา สายตาสาวๆ มองไปที่คนชอบอ่านหนังสือ ชอบการเดินทาง มันเหมือนเบิกเนตร ไม่น่าเชื่อเขาชื่นชมคนอ่านหนังสือ คนเดินทาง คนที่เล่นดนตรี เล่นกีฬา
“การกลับมาปี 4 คือช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่าแท้จริง คือ หลังจากที่เราเห็นแล้วว่า มันมีเวทีอื่นๆ เพราะเราไปยืนผิดเวที เราก็เลยไม่ได้เป็นที่โดดเด่นยอมรับ และไม่มีความสุขกับเวทีนั้น แต่ปรากฏว่า ได้เห็นว่ามีมิติอื่นๆ เรากล้าที่ถือหนังสือเข้าไปในกลุ่มเพื่อน และก็เป็นเราที่กลัวเกินกว่าเหตุ เขาไม่ได้มานั่งล้อเราเพราะเราถือหนังสือมาอ่านในซุ้ม และไม่มีใครมานั่งชี้หน้าว่าเรา หากเราจะเข้าห้องสมุด อาจจะมีแววแรกๆ เดี๋ยวก็เบื่อไปเอง ในช่วงปี 4 ก็เริ่มปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน เริ่มไปหาหนังสือดีๆ ที่มีคนนำนะให้อ่าน พอไปเจอพสกหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยอื่น รู้สึกว่าเราตามเขาไม่ทัน สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ เร่งพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด” ใบพัด บอกเล่าด้วยเสียงสดใส
เขาบอกว่า เริ่มเข้าทำงานเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจธุรกิจ โดยที่มีความรู้พื้นฐานด้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สมัครเข้ามาทำงาน ทำให้รู้สึกเสียดาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงจะได้ใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวหรืออ่านหนังสือให้มากขึ้นกว่านี้ เปรียบว่าเราอยู่ในลู่วิ่ง คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับเรา ทุกคนเป็นนักกีฬาเขต ขณะที่เราแทบจะเป็นขาเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราก็คือ เราเจอหมอนักกายภาพที่ดีมาก เจอครูที่ช่วยทำให้พัฒนาตัวเอง สามารถวิ่งเหยาะ ถูกลู่ ไปยังเป้าหมายของตัวเอง
“ผมไม่ได้เป็นเด็กที่วางแผนอะไรล่วงหน้า ไปเรียนคณะนั้น เพราะตามเพื่อนไปเรียน หรือน่าจะหางานได้ง่าย ไม่ได้เริ่มจากความชอบ ฉะนั้นเมื่อจบมา ทุกอย่างจึงถูกพัดพา เราเริ่มเรียนมาในแบบนั้น จึงต้องทำงานในสายที่ใกล้เคียงกับแบบนั้น ซึ่งการทำงานในแต่ละครั้งก็จะคล้ายๆ กัน คือ ค่อนข้างจะใช้การวางแผนจริงจังน้อยมาก ก็ตัดสินใจแบบเด็กในช่วงวัยนั้นที่เท่าจะคิดได้ เจอข้อจำกัด เจอปัญหาในระหว่างทำงานที่ทนไม่ไหวก็หนีไป ไม่รับผิดชอบ แต่ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนงานไป ก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัว สร้างความคิดให้เรามาเป็นลำดับ” ใบพัดอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น
ใบพัด ยังเล่าไปอีกว่า ช่วงก่อนเข้าสู่โลกการทำงาน เขามีภาพฝันที่สวยงามมาก มีการไต่เต้าการทำงานไปตามลำดับ จนวันหนึ่งเรานึกภาพว่าเราเป็นผู้บริหารระดับสูง มีเงินเดือนมากๆ มีรถยนต์ประจำตำแหน่ง แต่งงาน มีครอบครัวที่ดี เหมือนความคิดในรุ่นพ่อ
เมื่อถามถึงปัจจัยที่เลือกงานนั้น เรื่องของเงินเดือนสำคัญหรือไม่ ใบพัด ตอบทันควันว่า ไม่สำคัญ เขาเป็นเด็กในเจนเนอเรชั่นหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ได้ทราบถึงการหางานยาก งานแรกของเขาก็เข้าไปแบบเด็กเส้น ใช้เส้นของพ่อ ต่อมาก็รู้สึกสั่นคลอนภาพ เมื่อพ่อเกิดล้มเจ็บ เขาบอกว่า เขาโตมาในโรงเรียนประจำ ไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ที่ต้องไปทำงาน และบ้านก็ไม่ได้รวยมาก สุดท้ายที่เหลือก็ไม่มีอะไร เงินก็ไม่ได้มาก เวลาก็ไม่มี สุขภาพก็แย่หนัก จึงคิดว่า นี่ไม่ใช่ละ ปลายทางหากต้องเป็นแบบพ่อ ต้องกลับมาทบทวน
จากนั้น คุณสรรเสริญ เริ่มพูดคุยถึงหนังสือสามเล่มผลงานของใบพัด (เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน การลาออกครั้งสุดท้าย และเราจะมีชีวิตที่ดี) ถามว่า เริ่มต้นอย่างไรจึงเขียนหนังสือ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน เป็นแนวบันทึกการเดินทาง ใบพัด เล่าว่า เขาเป็นคนไม่กล้าเดินทางคนเดียว จะไปเป็นหมู่คณะ แต่เมื่อครั้งหนึ่งได้ทำงานกับพี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) แล้วตกเครื่องบิน เพียงเพราะไม่เข้าใจข้อมูลบางอย่าง คือ ตามเวลาบรอดดิ้ง พาส ที่ต้องไปก่อนเวลา แต่เรากลับไปเวลานั้นพอดี ก็เป็นเรื่องที่ซื้อบื้อมากๆ เจ็บปวดมากเพราะเสียงานไปหมด ทำให้คิดว่า ชีวิตที่ต้องดูแลตัวเองไปตลอดรอดฝั่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่ใส่ใจในเรื่องง่ายๆ แบบนี้
ใบพัดเล่าต่ออีกว่า ก่อนที่จะเดินทางไปอินเดียคนเดียว ก็ลองไปป่าตอง ภูเก็ตหลังสึนามิ ในช่วงที่มีคำร่ำลือว่าน่ากลัว ก็ปรากฏว่า ไปอยู่ป่าตองได้คืนเดียว ก็ต้องไปนอนที่บ้านเพื่อน กลัวเหมือนกัน ก็ถือว่าผ่านขั้นอนุบาลไปแล้ว จากนั้น พอขั้นต่อไป ก็รู้แล้วว่า อารมณ์ความรู้สึกตรงนั้นช่วยเราได้ ในการรับผิดชอบตัวเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างการเดินทาง จะดีต่อชีวิตโดยรวมของเราจริงๆ ประกอบกับช่วงนั้น ที่บ้านมีตั๋วสะสมไมล์ที่กำลังจะหมดอายุให้รีบไปใช้ เมื่อดูไปก็พบว่า ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่เราไม่อยากไปมากที่สุดจากเสียงร่ำลืออีกแล้ว แต่ด้วยความท้าทายว่า แบบนี้ เราไปได้ ก็เลยตัดสินใจไปประเทศที่เราไม่อยากไปก่อน จึงเลือกประเทศอินเดีย แต่ปรากฏว่า เมื่อผ่านเส้นทางไปครึ่งเดือนกับการไปคนเดียว กลายเป็นประเทศที่รักมาก และดีใจ และเป็นหนี้บุญคุณกับประเทศนี้มากๆ
“เมื่ออ่านหนังสือ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน จะเห็นว่าไม่ได้บอกพิกัดร้านอาหาร โรงแรม ไม่ใช่ไกด์บุ๊ค แต่เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของวัยของเด็กคนหนึ่ง ที่รักอนามัย ล้างมือ รักความสะอาด ขี้กลัว แล้วไปเจอกับเรื่องที่เรียกร้องความเป็นมืออาชีพ สมบุกสมบันพอสมควร ก็จะมีเรื่องราวเซอร์ไพรส์ และมีเรื่องเล่าที่มหัศจรรย์ โดยจุดแรกเลือกไปเมืองหลวง นิวเดลี และมีพี่ในจินตนาการออกแบบการเดินทางให้กับเรา” ใบพัดเล่าต่อเนื่องอย่างสนุกสนาน
เมื่อถามถึงสิ่งที่ได้จากอินเดีย ใบพัด บอกว่า เราสามารถสลัดความกลัวออกไปจากความคิดได้ เช่น การอายในความเป็นตัวเอง การไปอินเดียครั้งนี้ ทำให้ได้กลับมาตัวเองว่าจริงๆ เราชอบอะไรกันแน่ อินเดียเป็นเหมือนกระจก สะท้อนให้เห็นตัวเรา และการที่ได้ไปเจอเรื่องราวเล็กๆ ในเมืองธรรมศาลา เป็นชุมชนของคนทิเบตที่ย้ายมาจากอีกที่หนึ่ง ตอนนั้นที่จีนมีนโยบายรวมเป็นจีนเดียว อะไรที่เป็นชนกลุ่มน้อยก็จะกำจัดออกไป จึงเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ที่หลายๆ ครั้งที่ตัวเองก็เป็นเหมือนคนกลุ่มน้อยของสังคมใดสังคมหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรที่เรายังคงยืนหยัดสู้ให้ความเป็นชนกลุ่มน้อยของเราไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้
“หลังจากอินเดีย ก็ทำให้กล้าที่จะเดินทางไปอีกหลายประเทศ และทุกครั้งที่เดินทางก็จะดึงเข้าสู่ประเด็นชีวิตของตัวเองที่ควรจะเป็นเสมอ ครั้งหนึ่งเคยไปปิซ่า อิตาลี มีหอเอนที่เป็นจุดเด่น แต่ทำให้รู้ว่า คนก็แค่ไปเพื่อถ่ายรูป และไปใช้เงิน จับจ่ายที่เมืองอื่น เวลาไปแล้วได้คุยกับผู้คน ได้ไปเจอประวัติศาสตร์เรื่องนี้ แล้วชอบมากๆ”ใบพัด ยกตัวอย่างชัดเจน
คุณสรรเสริญ ถามไปถึงหนังสือเล่มต่อไป การลาออกครั้งสุดท้าย ภาณุมาศ หรือที่รู้จักในชื่อ ใบพัด บอกว่า เริ่มต้นจาก แก๊งตู้กดน้ำ ในออฟฟิศ ที่จะบ่นในเรื่องเดิมๆ ทุกเดือน ทำให้เจอตรรกะที่ว่า ไม่ชอบงานที่ทำ เงินไม่พอใช้ รู้สึกว่า ประโยคนี้ มีปัญหาแล้ว เพราะถ้าคุณพูดว่า ไม่ชอบงานที่ทำอยู่ แต่ยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ยังพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่า ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะต้องการจะเก็บออม เพื่อวันหนึ่งจะได้โยกย้ายไปอีกงานที่ค่าตอบแทนอาจจะน้อยลงหน่อย แต่เป็นงานที่ชอบ แต่ถ้าบ่นแบบนั้นว่าเดือนนี้มีปัญหา คุณก็ต้องวางแผนในเดือนต่อไป ซึ่งตนเองยอมรับว่า เป็นคนวางแผน ก่อนหน้านี้อาจใช้ชีวิตไม่ได้วางแผน แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่พ่อป่วย และตัวเองก็ป่วยหนัก ถ้าคนเราพูดว่า มีชีวิตเดียว ก็จะต้องไม่ใช้ชีวิตแบบวันหนึ่งจบไปแบบงงๆ ว่าผ่านอะไรมาบ้าง เราไม่อยากเป็นแบบนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบหนังสือเล่มนี้กับอะไรสักอย่าง ก็คงเหมือนหนังสือสอนแหกคุก แต่ไม่ใช่คุกลูกกรงเหล็ก แต่เป็นคุกที่เราขังตัวเองไว้กับชีวิตที่ตัวเราไม่อยากมี
“ไม่ใช่หนังสือยุยงให้คนลาออกนะ หลายคนอ่านแล้วขอบคุณว่า อ่านแล้วไม่อยากออกจากที่ทำงานเดิมเลย ซึ่งตรงใจผมมาก การลาออกครั้งสุดท้าย คือการเจองานที่เราชอบและเราไม่ต้องลาออกอีกต่อไปแล้ว ไมต้องลาออกจากชีวิตที่เราไม่ชอบ ผมเชื่อว่า การจะมีชีวิตที่ดีเกิดขึ้นจากการที่เราลงมือออกแบบและวางแผนทำ จากที่ผมผ่านการทำงานมา 5 ปี และผ่านชีวิตการว่างงานมา 6 ปี ทุกวันนี้ ผมมีชีวิตที่ผมอยากเห็นมาก ในทุกๆ วันผมบรรจุสิ่งที่ผมชอบลงในแต่ละวัน การที่ชวนผมมาออกรายการวิทยุ แล้วผมมาถึงห้องส่ง นี่เป็นความฝันของผม” ใบพัดบอกเล่าอย่างชัดเจน
“หนังสือเล่มนี้บอกเลยว่า ช่วง 5 ปีก่อนที่ผมจะออกมาเป็นคนว่างงานอีก 6 ปี ผมเตรียมการอย่างหนักหน่วงมาก โดยสร้างโมเดลความคิดของตัวเองว่า มันจะดีแค่ไหนถ้าในแต่ละเดือนจะมีเงินเข้าบัญชีเราแม้ว่าจะทำงานหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถ้าเราคลี่คลายก่อนความคิดก้อนนี้ ได้ชีวิตที่เหลือจะมีความสุขมาก แม้เป็นเงินไม่มาก แต่จะทำให้เราดำรงชีพได้ในทุกวัน ฉะนั้นการวางแผนจัดการการเงินเป็นตัวแปรสำคัญ
"การลาออกครั้งสุดท้าย"ของ ใบพัด จากเด็กกลางๆ จนกระทั่งค้นพบวิถีของตนเอง
หลายคนรู้จักผู้ชายคนนี้จากหนังสือ การลาออกครั้งสุดท้าย และล่าสุดที่มีผลงานออกมาอีกครั้งกับ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน “ใบพัด” ภาณุมาศ ทองธนากุล วันนี้ (6 ก.ค.2556)ใบพัด เดินทางมาสดๆ ที่คลื่นความคิด FM 96.5 ให้เกียรติร่วมพูดคุยกับ สรรเสริญ ปัญญาธิวงศ์ ในรายการ เสาร์เสวนา
ใบพัด เกริ่นนำว่า ก่อนจะมาเขียนหนังสือ เขาก็เดินมาในเส้นทางคนข่าว เป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจประมาณ 8 เดือน แล้วก็เปลี่ยนงาน ตลอด 5 ปีแรก เขาเปลี่ยนงานบ่อยมาก 8 แห่ง นานที่สุดคือ 2 ปี และที่แย่มากๆ คือ ไปทำงานตอนเช้า พอตอนบ่ายลาออกเลย พอกลับมานั่งทบทวนตัวเองก็เห็นตรงตามที่ผู้ใหญ่ต่อว่า ว่าวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่อดทน จับจด เหลาะแหละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เจ็บปวดเหมือนกันนะ จึงทำความเข้าใจกับตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา
“ผมเชื่อว่าเราเป็นผลสืบเนื่องจากสิ่งที่เราเจอมา คือ ในรุ่นอากงอาม่า ที่มาจากเมืองจีน ไม่มีอะไร มาก็ไม่คิดว่าจะต้องทำงานที่ชอบ ก็ทำไปเพื่อให้ได้มีเงินซื้อตึกแถว แต่พอมาสมัยพ่อแม่ พอจะมีเงิน มีกิจการแล้ว ความฝันก็คืออยากให้ลูกมีการศึกษาบ้าง บ้านไหนลูกจบปริญญานี่ยิ่งใหญ่มาก และไม่ได้หวังแค่เซ้งตึกแถว แต่จะเป็นการซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเราก็เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ทุกคนเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้น รุ่นนี้ก็จะไม่มีภาระรับผิดชอบ ไม่ต้องแสวงหาทรัพย์สิน มีหน้าที่แค่เรียนให้จบ โอกาสเยอะขึ้น ภาระหน้าที่รับผิดชอบน้อยลง การที่มีโอกาสแล้วไม่อดทน จึงพอเข้าใจแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เรามีทางเลือกเยอะขึ้น จึงนำมาซึ่งพฤติกรรมเหลาะแหละ ซึ่งก็มีข้อดีคือ เราได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้มากขึ้น ฉะนั้นถ้าเป็นเด็กเอาถ่าน จะเก่งกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ถ้าไม่เอาถ่านก็จะแย่กว่ารุ่นเก่าๆอีก” ใบพัด วิเคราะห์ลักษณะนิสัยตัวเองอย่างละเอียด
เมื่อถามว่า ภาณุมาศ เป็นแบบไหน เขาบอกว่า เขาเป็นคนกลางๆ ไม่ได้เก่งมาก โตมาแบบไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากในกลุ่มเพื่อน ช่วงเวลาวัยรุ่นไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าประทับใจของเขา เพราะไม่ได้เป็นจุดสนใจ หรือ ไอดอล ของเพื่อนๆ ซึ่งในวัยนั้นไม่มีอะไรสำคัญเ ท่ากับการได้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน เขาบอกว่า เขาบอกว่า เขาจัดอยู่ในพวกอายความเป็นตัวเอง ไม่ค่อยเชื่อมั่นหรือรู้สึกว่าการเป็นตัสวเองมันดียังไง อยากไปโรงเรียนเพื่อประคองตัวเองไม่ให้เพื่อนล้อ ไม่ให้เป็นตัวประหลาดในหมู่เพื่อน เพราะเขาจะชื่นชมพวกคนที่ทำอะไรผาดโผน ขณะที่ตัวใบพัดบอกว่า เขาเป็นเด็กเรียบร้อย อยู่ในกรอบจะเป็นที่รักของผู้ใหญ่ แต่เมื่อมาอยู่ในมหาวิทยาลัยค่านิยมกลับหัวกลับหางหมด ผมชอบอ่านหนังสือ แต่ค่านิยมในการเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือกลับไม่เท่เท่ากับการชวนกันโดดเรียน ไปเที่ยว
“เวลาเพื่อนถามว่าเข้าห้องสมุดหรือเปล่า ก็ต้องปฏิเสธ เพราะกลัวเพื่อนมองว่ากระจอก แต่เมื่อมาคิดดู การอายตัวเองยิ่งกระจอกกว่าการอายสิ่งที่เราชอบเสียอีก และเสียเวลาไปมากกับการประคองตัวเองไม่ให้ถูกล้อ ไม่ได้มุ่งไปในทางที่เราชอบ” ใบพัด เล่าด้วยน้ำเสียงสดใส ออกรสออกชาติ
ใบพัดเล่าอีกว่า เมื่อพยายามทำตัวไม่ให้ถูกเพื่อนล้อ ก็ทำให้ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมาก ส่งผลให้เอ็นทรานซ์ไม่ติด ก็ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ 2 ปี ช่วงปิดเทอมปีที่ 3 พ่อบอกว่า มีกิจกรรมอบรมสำหรับเด็กเก่งแต่ละมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่ได้สนใจมาก กระทั่งพ่อว่า สาวสวยมาก เขาจึงหยิบใบสมัครมา ปรากฏว่า มันเปลี่ยนโลก เพราะการถูกสายตาสอดส่ายมา สายตาสาวๆ มองไปที่คนชอบอ่านหนังสือ ชอบการเดินทาง มันเหมือนเบิกเนตร ไม่น่าเชื่อเขาชื่นชมคนอ่านหนังสือ คนเดินทาง คนที่เล่นดนตรี เล่นกีฬา
“การกลับมาปี 4 คือช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่าแท้จริง คือ หลังจากที่เราเห็นแล้วว่า มันมีเวทีอื่นๆ เพราะเราไปยืนผิดเวที เราก็เลยไม่ได้เป็นที่โดดเด่นยอมรับ และไม่มีความสุขกับเวทีนั้น แต่ปรากฏว่า ได้เห็นว่ามีมิติอื่นๆ เรากล้าที่ถือหนังสือเข้าไปในกลุ่มเพื่อน และก็เป็นเราที่กลัวเกินกว่าเหตุ เขาไม่ได้มานั่งล้อเราเพราะเราถือหนังสือมาอ่านในซุ้ม และไม่มีใครมานั่งชี้หน้าว่าเรา หากเราจะเข้าห้องสมุด อาจจะมีแววแรกๆ เดี๋ยวก็เบื่อไปเอง ในช่วงปี 4 ก็เริ่มปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน เริ่มไปหาหนังสือดีๆ ที่มีคนนำนะให้อ่าน พอไปเจอพสกหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยอื่น รู้สึกว่าเราตามเขาไม่ทัน สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ เร่งพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด” ใบพัด บอกเล่าด้วยเสียงสดใส
เขาบอกว่า เริ่มเข้าทำงานเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจธุรกิจ โดยที่มีความรู้พื้นฐานด้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สมัครเข้ามาทำงาน ทำให้รู้สึกเสียดาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงจะได้ใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวหรืออ่านหนังสือให้มากขึ้นกว่านี้ เปรียบว่าเราอยู่ในลู่วิ่ง คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับเรา ทุกคนเป็นนักกีฬาเขต ขณะที่เราแทบจะเป็นขาเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราก็คือ เราเจอหมอนักกายภาพที่ดีมาก เจอครูที่ช่วยทำให้พัฒนาตัวเอง สามารถวิ่งเหยาะ ถูกลู่ ไปยังเป้าหมายของตัวเอง
“ผมไม่ได้เป็นเด็กที่วางแผนอะไรล่วงหน้า ไปเรียนคณะนั้น เพราะตามเพื่อนไปเรียน หรือน่าจะหางานได้ง่าย ไม่ได้เริ่มจากความชอบ ฉะนั้นเมื่อจบมา ทุกอย่างจึงถูกพัดพา เราเริ่มเรียนมาในแบบนั้น จึงต้องทำงานในสายที่ใกล้เคียงกับแบบนั้น ซึ่งการทำงานในแต่ละครั้งก็จะคล้ายๆ กัน คือ ค่อนข้างจะใช้การวางแผนจริงจังน้อยมาก ก็ตัดสินใจแบบเด็กในช่วงวัยนั้นที่เท่าจะคิดได้ เจอข้อจำกัด เจอปัญหาในระหว่างทำงานที่ทนไม่ไหวก็หนีไป ไม่รับผิดชอบ แต่ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนงานไป ก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัว สร้างความคิดให้เรามาเป็นลำดับ” ใบพัดอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น
ใบพัด ยังเล่าไปอีกว่า ช่วงก่อนเข้าสู่โลกการทำงาน เขามีภาพฝันที่สวยงามมาก มีการไต่เต้าการทำงานไปตามลำดับ จนวันหนึ่งเรานึกภาพว่าเราเป็นผู้บริหารระดับสูง มีเงินเดือนมากๆ มีรถยนต์ประจำตำแหน่ง แต่งงาน มีครอบครัวที่ดี เหมือนความคิดในรุ่นพ่อ
เมื่อถามถึงปัจจัยที่เลือกงานนั้น เรื่องของเงินเดือนสำคัญหรือไม่ ใบพัด ตอบทันควันว่า ไม่สำคัญ เขาเป็นเด็กในเจนเนอเรชั่นหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ได้ทราบถึงการหางานยาก งานแรกของเขาก็เข้าไปแบบเด็กเส้น ใช้เส้นของพ่อ ต่อมาก็รู้สึกสั่นคลอนภาพ เมื่อพ่อเกิดล้มเจ็บ เขาบอกว่า เขาโตมาในโรงเรียนประจำ ไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ที่ต้องไปทำงาน และบ้านก็ไม่ได้รวยมาก สุดท้ายที่เหลือก็ไม่มีอะไร เงินก็ไม่ได้มาก เวลาก็ไม่มี สุขภาพก็แย่หนัก จึงคิดว่า นี่ไม่ใช่ละ ปลายทางหากต้องเป็นแบบพ่อ ต้องกลับมาทบทวน
จากนั้น คุณสรรเสริญ เริ่มพูดคุยถึงหนังสือสามเล่มผลงานของใบพัด (เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน การลาออกครั้งสุดท้าย และเราจะมีชีวิตที่ดี) ถามว่า เริ่มต้นอย่างไรจึงเขียนหนังสือ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน เป็นแนวบันทึกการเดินทาง ใบพัด เล่าว่า เขาเป็นคนไม่กล้าเดินทางคนเดียว จะไปเป็นหมู่คณะ แต่เมื่อครั้งหนึ่งได้ทำงานกับพี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) แล้วตกเครื่องบิน เพียงเพราะไม่เข้าใจข้อมูลบางอย่าง คือ ตามเวลาบรอดดิ้ง พาส ที่ต้องไปก่อนเวลา แต่เรากลับไปเวลานั้นพอดี ก็เป็นเรื่องที่ซื้อบื้อมากๆ เจ็บปวดมากเพราะเสียงานไปหมด ทำให้คิดว่า ชีวิตที่ต้องดูแลตัวเองไปตลอดรอดฝั่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่ใส่ใจในเรื่องง่ายๆ แบบนี้
ใบพัดเล่าต่ออีกว่า ก่อนที่จะเดินทางไปอินเดียคนเดียว ก็ลองไปป่าตอง ภูเก็ตหลังสึนามิ ในช่วงที่มีคำร่ำลือว่าน่ากลัว ก็ปรากฏว่า ไปอยู่ป่าตองได้คืนเดียว ก็ต้องไปนอนที่บ้านเพื่อน กลัวเหมือนกัน ก็ถือว่าผ่านขั้นอนุบาลไปแล้ว จากนั้น พอขั้นต่อไป ก็รู้แล้วว่า อารมณ์ความรู้สึกตรงนั้นช่วยเราได้ ในการรับผิดชอบตัวเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างการเดินทาง จะดีต่อชีวิตโดยรวมของเราจริงๆ ประกอบกับช่วงนั้น ที่บ้านมีตั๋วสะสมไมล์ที่กำลังจะหมดอายุให้รีบไปใช้ เมื่อดูไปก็พบว่า ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่เราไม่อยากไปมากที่สุดจากเสียงร่ำลืออีกแล้ว แต่ด้วยความท้าทายว่า แบบนี้ เราไปได้ ก็เลยตัดสินใจไปประเทศที่เราไม่อยากไปก่อน จึงเลือกประเทศอินเดีย แต่ปรากฏว่า เมื่อผ่านเส้นทางไปครึ่งเดือนกับการไปคนเดียว กลายเป็นประเทศที่รักมาก และดีใจ และเป็นหนี้บุญคุณกับประเทศนี้มากๆ
“เมื่ออ่านหนังสือ เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน จะเห็นว่าไม่ได้บอกพิกัดร้านอาหาร โรงแรม ไม่ใช่ไกด์บุ๊ค แต่เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของวัยของเด็กคนหนึ่ง ที่รักอนามัย ล้างมือ รักความสะอาด ขี้กลัว แล้วไปเจอกับเรื่องที่เรียกร้องความเป็นมืออาชีพ สมบุกสมบันพอสมควร ก็จะมีเรื่องราวเซอร์ไพรส์ และมีเรื่องเล่าที่มหัศจรรย์ โดยจุดแรกเลือกไปเมืองหลวง นิวเดลี และมีพี่ในจินตนาการออกแบบการเดินทางให้กับเรา” ใบพัดเล่าต่อเนื่องอย่างสนุกสนาน
เมื่อถามถึงสิ่งที่ได้จากอินเดีย ใบพัด บอกว่า เราสามารถสลัดความกลัวออกไปจากความคิดได้ เช่น การอายในความเป็นตัวเอง การไปอินเดียครั้งนี้ ทำให้ได้กลับมาตัวเองว่าจริงๆ เราชอบอะไรกันแน่ อินเดียเป็นเหมือนกระจก สะท้อนให้เห็นตัวเรา และการที่ได้ไปเจอเรื่องราวเล็กๆ ในเมืองธรรมศาลา เป็นชุมชนของคนทิเบตที่ย้ายมาจากอีกที่หนึ่ง ตอนนั้นที่จีนมีนโยบายรวมเป็นจีนเดียว อะไรที่เป็นชนกลุ่มน้อยก็จะกำจัดออกไป จึงเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ที่หลายๆ ครั้งที่ตัวเองก็เป็นเหมือนคนกลุ่มน้อยของสังคมใดสังคมหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรที่เรายังคงยืนหยัดสู้ให้ความเป็นชนกลุ่มน้อยของเราไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้
“หลังจากอินเดีย ก็ทำให้กล้าที่จะเดินทางไปอีกหลายประเทศ และทุกครั้งที่เดินทางก็จะดึงเข้าสู่ประเด็นชีวิตของตัวเองที่ควรจะเป็นเสมอ ครั้งหนึ่งเคยไปปิซ่า อิตาลี มีหอเอนที่เป็นจุดเด่น แต่ทำให้รู้ว่า คนก็แค่ไปเพื่อถ่ายรูป และไปใช้เงิน จับจ่ายที่เมืองอื่น เวลาไปแล้วได้คุยกับผู้คน ได้ไปเจอประวัติศาสตร์เรื่องนี้ แล้วชอบมากๆ”ใบพัด ยกตัวอย่างชัดเจน
คุณสรรเสริญ ถามไปถึงหนังสือเล่มต่อไป การลาออกครั้งสุดท้าย ภาณุมาศ หรือที่รู้จักในชื่อ ใบพัด บอกว่า เริ่มต้นจาก แก๊งตู้กดน้ำ ในออฟฟิศ ที่จะบ่นในเรื่องเดิมๆ ทุกเดือน ทำให้เจอตรรกะที่ว่า ไม่ชอบงานที่ทำ เงินไม่พอใช้ รู้สึกว่า ประโยคนี้ มีปัญหาแล้ว เพราะถ้าคุณพูดว่า ไม่ชอบงานที่ทำอยู่ แต่ยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ยังพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่า ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะต้องการจะเก็บออม เพื่อวันหนึ่งจะได้โยกย้ายไปอีกงานที่ค่าตอบแทนอาจจะน้อยลงหน่อย แต่เป็นงานที่ชอบ แต่ถ้าบ่นแบบนั้นว่าเดือนนี้มีปัญหา คุณก็ต้องวางแผนในเดือนต่อไป ซึ่งตนเองยอมรับว่า เป็นคนวางแผน ก่อนหน้านี้อาจใช้ชีวิตไม่ได้วางแผน แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่พ่อป่วย และตัวเองก็ป่วยหนัก ถ้าคนเราพูดว่า มีชีวิตเดียว ก็จะต้องไม่ใช้ชีวิตแบบวันหนึ่งจบไปแบบงงๆ ว่าผ่านอะไรมาบ้าง เราไม่อยากเป็นแบบนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบหนังสือเล่มนี้กับอะไรสักอย่าง ก็คงเหมือนหนังสือสอนแหกคุก แต่ไม่ใช่คุกลูกกรงเหล็ก แต่เป็นคุกที่เราขังตัวเองไว้กับชีวิตที่ตัวเราไม่อยากมี
“ไม่ใช่หนังสือยุยงให้คนลาออกนะ หลายคนอ่านแล้วขอบคุณว่า อ่านแล้วไม่อยากออกจากที่ทำงานเดิมเลย ซึ่งตรงใจผมมาก การลาออกครั้งสุดท้าย คือการเจองานที่เราชอบและเราไม่ต้องลาออกอีกต่อไปแล้ว ไมต้องลาออกจากชีวิตที่เราไม่ชอบ ผมเชื่อว่า การจะมีชีวิตที่ดีเกิดขึ้นจากการที่เราลงมือออกแบบและวางแผนทำ จากที่ผมผ่านการทำงานมา 5 ปี และผ่านชีวิตการว่างงานมา 6 ปี ทุกวันนี้ ผมมีชีวิตที่ผมอยากเห็นมาก ในทุกๆ วันผมบรรจุสิ่งที่ผมชอบลงในแต่ละวัน การที่ชวนผมมาออกรายการวิทยุ แล้วผมมาถึงห้องส่ง นี่เป็นความฝันของผม” ใบพัดบอกเล่าอย่างชัดเจน
“หนังสือเล่มนี้บอกเลยว่า ช่วง 5 ปีก่อนที่ผมจะออกมาเป็นคนว่างงานอีก 6 ปี ผมเตรียมการอย่างหนักหน่วงมาก โดยสร้างโมเดลความคิดของตัวเองว่า มันจะดีแค่ไหนถ้าในแต่ละเดือนจะมีเงินเข้าบัญชีเราแม้ว่าจะทำงานหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถ้าเราคลี่คลายก่อนความคิดก้อนนี้ ได้ชีวิตที่เหลือจะมีความสุขมาก แม้เป็นเงินไม่มาก แต่จะทำให้เราดำรงชีพได้ในทุกวัน ฉะนั้นการวางแผนจัดการการเงินเป็นตัวแปรสำคัญ