เพียงแต่ผมให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลต่างหากครับ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองมันไม่ค่อยปกติ ทุกประเด็นถูกนำมาเป็นประเด็นการเมืองกันหมด การให้ข้อมูลข่าวสารจึงค่อนข้างสับสน มีทั้งถูก มีทั้งผิด มีทั้งจริง และก็มีทั้งเท็จ ดังนั้นผมจึงต้องรอครับ ต้องรอให้ข้อมูลสะเด็ดเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่า ขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไรกับมันดี
แต่ที่แน่ๆ มันมีขบวนจ้องล้มรัฐบาลอย่างแน่นอน และยังเป็นขบวนที่เพียงหวังผลล้มรัฐบาลให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ ดังที่พวกเราก็ได้รับรู้ในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา คนเหล่านี้ผมมองว่า มันน่ากลัวกว่าการทำงานของรัฐบาลเป็นไหนๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผมต้องคอยออกมาขีดเขียนในประเด็นบางประเด็นที่หลายคนอาจมองข้ามไป
มันไม่ใช่การดิสเครดิต เพื่อให้รัฐบาลดูดีขึ้น
มันไม่ใช่การนำความเลวของคนอื่น เพื่อมากลบความเลวของรัฐบาล
และมันก็ไม่ใช่การมองแต่ด้านดี แล้วละเสียด้านไม่ดีของรัฐบาล
แต่เป็นการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้ฉุกคิดต่างหากครับว่า ขบวนการจ้องล้มเหล่านั้น มันกระทำกันด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ต่างหากครับ และเมื่อเริ่มต้นไม่บริสุทธิ์แล้ว เราจะหวังความบริสุทธิ์จากสุดท้ายได้อย่างไรกัน
อย่างมองกันเรื่องทุจริตนั้น ถ้าเรามองด้วยใจที่ไม่อคติ เรามองด้วยสภาพความเป็นจริง ปัญหาการทุจริตมันมีกันทุกองค์กร มีกันในทุกหน่วยงาน และก็มีกันในทุกรัฐบาล ดังนั้นถ้าจะอาศัยประเด็นนี้ออกมาเพื่อขับไล่รัฐบาลล่ะก้อ มันคงต้องขับไล่รัฐบาลกันทุกคณะแล้วล่ะครับ ดังนั้นที่ผมจะมองก็คือต้องแยกแยะให้ออกเสียก่อนว่า ใครกันแน่ที่ทุจริต มีหลักฐานแน่ชัด หรือแค่สันนิษฐาน หรือแค่การคาดเดา
เขียนอย่างนี้ อาจมีหลายคนที่จิตใจประเสริฐเหนือความเป็นจริง คงยอมรับไม่ได้ ถ้าสังคมจะยอมรับการทุจริตแล้วตัวเองได้ประโยชน์ ก็จะออกมาตีโพยตีพายว่า สังคมเกิดอะไรขึ้น นั่นคือการมองในมุมมองที่คับแคบครับ เพราะเมื่อสังคมไทยมีตัวเลือกแค่สองทาง ระหว่างโกงแล้วไม่ทำ กับ โกงแล้วทำ มนุษย์ย่อมมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ดีกว่า หรือเลวน้อยกว่าไม่ใช่หรือครับ นี่จึงเป็นสังคมของคนที่ “จริต”ยังไม่ถูก “ดัด”ไงครับ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า รัฐบาลทุจริตกันอย่างโจ๋งครึ่ม ทุจริตกันจนอาจทำให้ประเทศล่มจมอย่างที่หลายคนหวาดกลัว แล้วผมยังจะดันทุรังเชียร์กันต่อไป มันไม่ใช่ครับ ถ้าถึงขั้นนั้นผมคงไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะผมย่อมเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน นี่เป็นความเห็นแก่ตัวตามประสามนุษย์ทุกผู้ทุกคน
ยกตัวอย่างเรื่องข้าวก็ได้ ถ้าด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ คงไม่ค้านเรื่องหมื่นห้า ทำให้ต้นทุนข้าวไทยสูงกว่าชาติอื่น ทำให้ข้าวไทยขายไม่ได้ สูญเสียแชมป์ส่งออก แต่ลดจำนำหมื่นสอง ก็จะทำให้ชาวนาเสียผลประโยชน์ แต่พอรัฐบาลกลับมารับจำนำหมื่นห้าตามเดิม ก็ยังกระแนะกระแหนหาเสียงกับชาวนาไปโน่น
จะมาอ้างเรื่องให้ลดความสูญเสียจากทุจริตมากกว่าไปลดผลประโยชน์ของชาวนา นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้าวไทยถูกกว่าข้าวชาติอื่นไม่ใช่หรือ แล้วไม่ห่วงข้าวขายไม่ออก ไม่ห่วงความเป็นแชมป์ส่งออกแล้วอย่างนั้นหรือ อย่างนี้มันหวังผลอะไรกัน ถ้าไม่ใช่หวังผลเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล
คราวนี้มาพูดเรื่องการทุจริตที่โหมกระหน่ำยังกับว่าประเทศจะล่มจมในวันนี้พรุ่งนี้ ป๊าดโธ่ มีหลักฐานแน่ชัดก็นำออกมาแสดงให้เห็นกันจะจะเลยสิครับว่า รัฐบาลทุจริต รัฐมนตรีท่านใดได้รับผลประโยชน์ แล้วผมจะออกมาร่วมด่าด้วย ไม่ใช่ตีกินกันไปวันๆอย่างทุกวันนี้
ข้อสำคัญมีองค์กรอิสระมากมายรออ้าแขนรับลูกอยู่มิใช่หรือครับ ก็ขนาด ปปช.จะหมดวาระอยู่รอมร่อ คดีที่จะหมดอายุความอยู่รอมร่อ ไม่สนใจ แต่กลับมีความพยายามจะเร่งทำคดีนี้ให้เสร็จก่อนหมดวาระให้ได้
พวกเราคงต้องรอ ปปช.เขาชี้มูลความผิดเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ ขออย่างเดียว อย่าเป็นประเภท สุกเอาเผากินหรือชี้มูลไปตามสถานการณ์ก็แล้วกันนะครับ มันจะกลายเป็นข้อกังขาให้สังคมรับไม่ได้อีกแหละครับ
สำหรับการทุจริตในภาคปฏิบัตินั้น ก็ต้องแก้ไขกันไปครับ ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ต้น การทุจริตมันแทรกซึมไปทุกวงการ จะไปหวังโครงการใดโครงการหนึ่งเต็มไปด้วยความโปร่งใส จึงเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ดังนั้นใครทุจริต จับได้ก็ลงโทษกันไป สิ่งที่เราควรดูจึงเป็นความจริงจังในการอุดรูรั่ว อุดช่องโหว่ของรัฐบาลมากกว่าจะมาคอยดิสเครดิตไปวันๆ
ถ้าลำพังเล่นแค่เรื่องเหล่านี้ก็ยังพอจะรับได้ แต่การปล่อยข่าวหวังผลล้มรัฐบาลด้วยวิธีการสกปรก
อย่างเรื่องมูดดีส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยงี้
อย่างเรื่องสหรัฐฯห้ามนำเข้าข้าวไทยอย่างนี้
และถึงขั้นปล่อยข่าวข้าวไทยมีสารเคมีตกค้าง ทำให้ผู้บริโภคอาจมีอันตรายจากการบริโภคข้าวไทยได้
ทำกันแบบนี้ มันเกินกว่าความเป็นคนไทยที่ควรทำกับประเทศไทยแล้วกระมังครับ อย่างนี้ถ้าผมยังเชื่อว่า คนพวกนี้หวังดีกับประเทศ ต้องการให้ประเทศเดินหน้า ผมคงจะเป็นพวกปล่อยไม่ไป มีสมองเพียงซีกเดียวแล้วล่ะครับ
ก็เหมือนไทยเข้มแข็ง ก็มีหลายเรื่องไม่ใช่หรือครับที่เต็มไปด้วยกลิ่นคละคลุ้งด้วยความฉาวโฉ่ แล้วรัฐบาลที่เป็นฝ่ายค้านดีแต่พูดในตอนนี้ เขาทำอย่างไรบ้าง รัฐมนตรีไม่มีใครเกี่ยว ก็เลยปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันไป บางเรื่องก็ให้คนของตัวตรวจสอบกันเอง แล้วก็ขับเอาพวกปลาซิวปลาสร้อยออกไปจากพรรค พอมาถึงตอนนี้จะเป็นจะตายกันทั้งพรรค เพราะทนเห็นความทุจริตไม่ได้ ทุเรศเอ๊ย เอ้อ ยิ่งพิมพ์ของยิ่งขึ้น คงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เรื่องปากท้องก็เช่นกัน กล่าวหารัฐบาลไม่ยอมแก้ปัญหาปากท้อง แล้วเคยดูบ้างไหม รัฐบาลที่มีโอกาสบริหารนโยบายได้อย่างราบรื่นหรือไม่ มันติดขัดไปเสียทุกอย่าง เดี๋ยวพวกนั้นต้านเรื่องนั้น เดี๋ยวพวกนี้ต้านเรื่องนี้ เดี๋ยวพวกโน้นก็ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เดี่ยว ปปช.ก็ออกมาเสนอให้มาฟ้องบ้าง แล้วมาบ่นว่าเรื่องมาก ทำงานไม่ทัน เซ็งกับพวกเอ็งจริงๆวุ้ย
ก็ดูค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15000 บาทสิครับ ได้รับการต่อต้านกันอย่างแข็งขัน ทั้งๆที่มันเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนอีกสองกลุ่มหลัก และยังเป็นการกระตุ้นเศรษกิจภายในไปพร้อมกันด้วย
แต่ก็ยังมีคนอ้างธุรกิจบางธุรกิจ เอสเอ็มอีบางเอสเอ็มอี ต้องปิดกิจการลง แล้วเหมาไปว่าเป็นเพราะพิษของการขึ้นค่าแรง อีกทั้งข้าวของแพงขึ้นเพราะพิษของการปรับค่าแรง
ทั้งๆที่ทุกๆปี ก่อนปรับค่าแรง มันก็มีธุรกิจที่ต้องปิดกิจการและก็มีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่คละเคล้ากันไป ส่วนสินค้ามันก็มีแต่แพงขึ้นมิใช่หรือครับ อย่างนี้ต่างหากครับที่เขาเรียกว่า การนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวอย่างแท้จริง
ส่วนผลงานของรัฐบาลที่ยังไม่ราบรื่นก็คงพอจะเห็นภาพแล้วไม่ใช่หรือครับ มันเป็นความยากลำบากที่จะบริหารได้อย่างราบรื่นปลอดโปร่ง เพราะเจ้าขบวนการดังว่า คอยขัดแข้งขัดขาอยู่ในทุกเรื่อง ต้านในทุกโอกาส
ไม่ต้องอื่นไกล แค่สถานการณ์โลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ยักษ์ใหญ่หลายประเทศ เศรษฐกิจก็กำลังย่ำแย่ ดังนั้นเราจะหวังพึ่งการส่งออกหรือปัจจัยจากภายนอกคงไม่ได้ แต่การกระตุ้นภายในที่รัฐบาลทำมาก็เริ่มอ่อนแรงลง ครั้นจะอาศัยเม็ดเงินจากการบริหารจัดการน้ำมากระตุ้นภายในในครึ่งปีหลัง ก็ถูกเบรกจนหัวทิ่มอยู่ขณะนี้ อย่างนี้ควรจะโทษรัฐบาลดีหรือโทษฝ่ายค้านกันดีล่ะครับ
ดังนั้นถ้าอยากเห็น ถ้าอยากรู้ว่ารัฐบาลมีความสามารถเพียงใด จำต้องแก้ไขฟันเฟืองตัวแรกของเครื่องจักรประเทศไทยเครื่องนี้ก่อนครับ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ฟันเฟืองที่ทำให้องคาพยพของประเทศขับเคลื่อนไปไม่ได้ต่างหากครับ
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันเป็นการร่างขึ้นเพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้อำนาจทั้งนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอยู่ในเงื้อมมือของอำนาจตุลาการ และยิ่งอำนาจตุลาการเลือกข้างมากขึ้นเท่าไร การบริหารก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว พอเห็นภาพชัดเจนขึ้นหรือยังครับ
หลายท่านคงต้องเถียงกันคอเป็นเอ็นเป็นแน่ แต่ความจริงก็คือความจริง เพราะก่อนผ่านประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกตั้งให้เป็นฉบับหัวคูนมาแล้ว นั่นคือ หลายต่อหลายฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องสร้างปัญหาให้กับประเทศอย่างแน่นอน แต่ที่จำใจต้องรับก็เป็นเพราะ
คำข่มขู่ให้รับๆไปก่อน ดีกว่าไม่ผ่าน แล้วเผด็จการในตอนนั้นจะหยิบเอารัฐธรรมนูญฉบับไหนก็ได้มาใช้
มีคุณจรัลที่เป็น สสร.ในขณะนั้น ซึ่งก็เป็น ตลก.ในขณะนี้ ออกมายืนยันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมันง่ายนิดเดียว
มีนักวิชาการอีกหลายท่านล้วนแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียงกัน แก้ง่ายนิดเดียว
ไม่เว้นแม้แต่คุณอภิสิทธิ์ก็ออกมายืนยันเสียงแข็ง ถ้าผมได้รับการเลือกตั้ง ผมจะชูมือแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้อย่างแน่นอน
หรือแม้แต่คุณวสันต์ การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับง่ายนิดเดียว แค่ตั้ง สสร.ก็เรียบร้อย
แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรครับ เรียบร้อย ตลก.สิไม่ว่า การแก้รัฐธรรมนูญอาจกลายเป็นการล้มการปกครองไปเสียฉิบ เห็นหรือยังครับว่า ทำไมผมจึงต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้
สรุปก็คือ ตราบใดที่ไม่ปล่อยให้รัฐบาลบริหารไปตามครรลองที่ควรเป็น จะอาศัยอำนาจนอกระบบหรืออำนาจตุลการการภิวัฒน์ในการล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ตราบนั้นประชาชนก็จะไม่เห็นการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล นอกจากมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ดังนั้นระบอบทักษิณที่หลายฝ่ายหวาดกลัวกันนัก ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทยอย่างแน่นอน แล้วเราจะปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้กันไปอีกกี่ปี เจ็ดปีที่ผ่านมายังไม่ทำให้ตาสว่างกันบ้าง มันก็เป็นเวรกรรมของประเทศอย่างแท้จริง
ปล.เป็นการเขียนขึ้นจากความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆนะครับ ไม่มีข้อมูลประกอบ ดังนั้นคงต้องใช้วิจารณญาณกันเอง จะเห็นด้วยทั้งหมด หรือ เห็นด้วยเป็นบางเรื่อง หรือจะไม่เห็นด้วยเลยก็เป็นสิทธิของทุกคนนะครับ บ๋ายบาย
ไม่ใช่ผมจะมองไม่เห็นข้อผิดพลาดของรัฐบาล
แต่ที่แน่ๆ มันมีขบวนจ้องล้มรัฐบาลอย่างแน่นอน และยังเป็นขบวนที่เพียงหวังผลล้มรัฐบาลให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ ดังที่พวกเราก็ได้รับรู้ในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา คนเหล่านี้ผมมองว่า มันน่ากลัวกว่าการทำงานของรัฐบาลเป็นไหนๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผมต้องคอยออกมาขีดเขียนในประเด็นบางประเด็นที่หลายคนอาจมองข้ามไป
มันไม่ใช่การดิสเครดิต เพื่อให้รัฐบาลดูดีขึ้น
มันไม่ใช่การนำความเลวของคนอื่น เพื่อมากลบความเลวของรัฐบาล
และมันก็ไม่ใช่การมองแต่ด้านดี แล้วละเสียด้านไม่ดีของรัฐบาล
แต่เป็นการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้ฉุกคิดต่างหากครับว่า ขบวนการจ้องล้มเหล่านั้น มันกระทำกันด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ต่างหากครับ และเมื่อเริ่มต้นไม่บริสุทธิ์แล้ว เราจะหวังความบริสุทธิ์จากสุดท้ายได้อย่างไรกัน
อย่างมองกันเรื่องทุจริตนั้น ถ้าเรามองด้วยใจที่ไม่อคติ เรามองด้วยสภาพความเป็นจริง ปัญหาการทุจริตมันมีกันทุกองค์กร มีกันในทุกหน่วยงาน และก็มีกันในทุกรัฐบาล ดังนั้นถ้าจะอาศัยประเด็นนี้ออกมาเพื่อขับไล่รัฐบาลล่ะก้อ มันคงต้องขับไล่รัฐบาลกันทุกคณะแล้วล่ะครับ ดังนั้นที่ผมจะมองก็คือต้องแยกแยะให้ออกเสียก่อนว่า ใครกันแน่ที่ทุจริต มีหลักฐานแน่ชัด หรือแค่สันนิษฐาน หรือแค่การคาดเดา
เขียนอย่างนี้ อาจมีหลายคนที่จิตใจประเสริฐเหนือความเป็นจริง คงยอมรับไม่ได้ ถ้าสังคมจะยอมรับการทุจริตแล้วตัวเองได้ประโยชน์ ก็จะออกมาตีโพยตีพายว่า สังคมเกิดอะไรขึ้น นั่นคือการมองในมุมมองที่คับแคบครับ เพราะเมื่อสังคมไทยมีตัวเลือกแค่สองทาง ระหว่างโกงแล้วไม่ทำ กับ โกงแล้วทำ มนุษย์ย่อมมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ดีกว่า หรือเลวน้อยกว่าไม่ใช่หรือครับ นี่จึงเป็นสังคมของคนที่ “จริต”ยังไม่ถูก “ดัด”ไงครับ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า รัฐบาลทุจริตกันอย่างโจ๋งครึ่ม ทุจริตกันจนอาจทำให้ประเทศล่มจมอย่างที่หลายคนหวาดกลัว แล้วผมยังจะดันทุรังเชียร์กันต่อไป มันไม่ใช่ครับ ถ้าถึงขั้นนั้นผมคงไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะผมย่อมเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน นี่เป็นความเห็นแก่ตัวตามประสามนุษย์ทุกผู้ทุกคน
ยกตัวอย่างเรื่องข้าวก็ได้ ถ้าด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ คงไม่ค้านเรื่องหมื่นห้า ทำให้ต้นทุนข้าวไทยสูงกว่าชาติอื่น ทำให้ข้าวไทยขายไม่ได้ สูญเสียแชมป์ส่งออก แต่ลดจำนำหมื่นสอง ก็จะทำให้ชาวนาเสียผลประโยชน์ แต่พอรัฐบาลกลับมารับจำนำหมื่นห้าตามเดิม ก็ยังกระแนะกระแหนหาเสียงกับชาวนาไปโน่น
จะมาอ้างเรื่องให้ลดความสูญเสียจากทุจริตมากกว่าไปลดผลประโยชน์ของชาวนา นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้าวไทยถูกกว่าข้าวชาติอื่นไม่ใช่หรือ แล้วไม่ห่วงข้าวขายไม่ออก ไม่ห่วงความเป็นแชมป์ส่งออกแล้วอย่างนั้นหรือ อย่างนี้มันหวังผลอะไรกัน ถ้าไม่ใช่หวังผลเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล
คราวนี้มาพูดเรื่องการทุจริตที่โหมกระหน่ำยังกับว่าประเทศจะล่มจมในวันนี้พรุ่งนี้ ป๊าดโธ่ มีหลักฐานแน่ชัดก็นำออกมาแสดงให้เห็นกันจะจะเลยสิครับว่า รัฐบาลทุจริต รัฐมนตรีท่านใดได้รับผลประโยชน์ แล้วผมจะออกมาร่วมด่าด้วย ไม่ใช่ตีกินกันไปวันๆอย่างทุกวันนี้
ข้อสำคัญมีองค์กรอิสระมากมายรออ้าแขนรับลูกอยู่มิใช่หรือครับ ก็ขนาด ปปช.จะหมดวาระอยู่รอมร่อ คดีที่จะหมดอายุความอยู่รอมร่อ ไม่สนใจ แต่กลับมีความพยายามจะเร่งทำคดีนี้ให้เสร็จก่อนหมดวาระให้ได้
พวกเราคงต้องรอ ปปช.เขาชี้มูลความผิดเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ ขออย่างเดียว อย่าเป็นประเภท สุกเอาเผากินหรือชี้มูลไปตามสถานการณ์ก็แล้วกันนะครับ มันจะกลายเป็นข้อกังขาให้สังคมรับไม่ได้อีกแหละครับ
สำหรับการทุจริตในภาคปฏิบัตินั้น ก็ต้องแก้ไขกันไปครับ ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ต้น การทุจริตมันแทรกซึมไปทุกวงการ จะไปหวังโครงการใดโครงการหนึ่งเต็มไปด้วยความโปร่งใส จึงเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ดังนั้นใครทุจริต จับได้ก็ลงโทษกันไป สิ่งที่เราควรดูจึงเป็นความจริงจังในการอุดรูรั่ว อุดช่องโหว่ของรัฐบาลมากกว่าจะมาคอยดิสเครดิตไปวันๆ
ถ้าลำพังเล่นแค่เรื่องเหล่านี้ก็ยังพอจะรับได้ แต่การปล่อยข่าวหวังผลล้มรัฐบาลด้วยวิธีการสกปรก
อย่างเรื่องมูดดีส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยงี้
อย่างเรื่องสหรัฐฯห้ามนำเข้าข้าวไทยอย่างนี้
และถึงขั้นปล่อยข่าวข้าวไทยมีสารเคมีตกค้าง ทำให้ผู้บริโภคอาจมีอันตรายจากการบริโภคข้าวไทยได้
ทำกันแบบนี้ มันเกินกว่าความเป็นคนไทยที่ควรทำกับประเทศไทยแล้วกระมังครับ อย่างนี้ถ้าผมยังเชื่อว่า คนพวกนี้หวังดีกับประเทศ ต้องการให้ประเทศเดินหน้า ผมคงจะเป็นพวกปล่อยไม่ไป มีสมองเพียงซีกเดียวแล้วล่ะครับ
ก็เหมือนไทยเข้มแข็ง ก็มีหลายเรื่องไม่ใช่หรือครับที่เต็มไปด้วยกลิ่นคละคลุ้งด้วยความฉาวโฉ่ แล้วรัฐบาลที่เป็นฝ่ายค้านดีแต่พูดในตอนนี้ เขาทำอย่างไรบ้าง รัฐมนตรีไม่มีใครเกี่ยว ก็เลยปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันไป บางเรื่องก็ให้คนของตัวตรวจสอบกันเอง แล้วก็ขับเอาพวกปลาซิวปลาสร้อยออกไปจากพรรค พอมาถึงตอนนี้จะเป็นจะตายกันทั้งพรรค เพราะทนเห็นความทุจริตไม่ได้ ทุเรศเอ๊ย เอ้อ ยิ่งพิมพ์ของยิ่งขึ้น คงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เรื่องปากท้องก็เช่นกัน กล่าวหารัฐบาลไม่ยอมแก้ปัญหาปากท้อง แล้วเคยดูบ้างไหม รัฐบาลที่มีโอกาสบริหารนโยบายได้อย่างราบรื่นหรือไม่ มันติดขัดไปเสียทุกอย่าง เดี๋ยวพวกนั้นต้านเรื่องนั้น เดี๋ยวพวกนี้ต้านเรื่องนี้ เดี๋ยวพวกโน้นก็ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เดี่ยว ปปช.ก็ออกมาเสนอให้มาฟ้องบ้าง แล้วมาบ่นว่าเรื่องมาก ทำงานไม่ทัน เซ็งกับพวกเอ็งจริงๆวุ้ย
ก็ดูค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15000 บาทสิครับ ได้รับการต่อต้านกันอย่างแข็งขัน ทั้งๆที่มันเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนอีกสองกลุ่มหลัก และยังเป็นการกระตุ้นเศรษกิจภายในไปพร้อมกันด้วย
แต่ก็ยังมีคนอ้างธุรกิจบางธุรกิจ เอสเอ็มอีบางเอสเอ็มอี ต้องปิดกิจการลง แล้วเหมาไปว่าเป็นเพราะพิษของการขึ้นค่าแรง อีกทั้งข้าวของแพงขึ้นเพราะพิษของการปรับค่าแรง
ทั้งๆที่ทุกๆปี ก่อนปรับค่าแรง มันก็มีธุรกิจที่ต้องปิดกิจการและก็มีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่คละเคล้ากันไป ส่วนสินค้ามันก็มีแต่แพงขึ้นมิใช่หรือครับ อย่างนี้ต่างหากครับที่เขาเรียกว่า การนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวอย่างแท้จริง
ส่วนผลงานของรัฐบาลที่ยังไม่ราบรื่นก็คงพอจะเห็นภาพแล้วไม่ใช่หรือครับ มันเป็นความยากลำบากที่จะบริหารได้อย่างราบรื่นปลอดโปร่ง เพราะเจ้าขบวนการดังว่า คอยขัดแข้งขัดขาอยู่ในทุกเรื่อง ต้านในทุกโอกาส
ไม่ต้องอื่นไกล แค่สถานการณ์โลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ยักษ์ใหญ่หลายประเทศ เศรษฐกิจก็กำลังย่ำแย่ ดังนั้นเราจะหวังพึ่งการส่งออกหรือปัจจัยจากภายนอกคงไม่ได้ แต่การกระตุ้นภายในที่รัฐบาลทำมาก็เริ่มอ่อนแรงลง ครั้นจะอาศัยเม็ดเงินจากการบริหารจัดการน้ำมากระตุ้นภายในในครึ่งปีหลัง ก็ถูกเบรกจนหัวทิ่มอยู่ขณะนี้ อย่างนี้ควรจะโทษรัฐบาลดีหรือโทษฝ่ายค้านกันดีล่ะครับ
ดังนั้นถ้าอยากเห็น ถ้าอยากรู้ว่ารัฐบาลมีความสามารถเพียงใด จำต้องแก้ไขฟันเฟืองตัวแรกของเครื่องจักรประเทศไทยเครื่องนี้ก่อนครับ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ฟันเฟืองที่ทำให้องคาพยพของประเทศขับเคลื่อนไปไม่ได้ต่างหากครับ
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันเป็นการร่างขึ้นเพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้อำนาจทั้งนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอยู่ในเงื้อมมือของอำนาจตุลาการ และยิ่งอำนาจตุลาการเลือกข้างมากขึ้นเท่าไร การบริหารก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว พอเห็นภาพชัดเจนขึ้นหรือยังครับ
หลายท่านคงต้องเถียงกันคอเป็นเอ็นเป็นแน่ แต่ความจริงก็คือความจริง เพราะก่อนผ่านประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกตั้งให้เป็นฉบับหัวคูนมาแล้ว นั่นคือ หลายต่อหลายฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องสร้างปัญหาให้กับประเทศอย่างแน่นอน แต่ที่จำใจต้องรับก็เป็นเพราะ
คำข่มขู่ให้รับๆไปก่อน ดีกว่าไม่ผ่าน แล้วเผด็จการในตอนนั้นจะหยิบเอารัฐธรรมนูญฉบับไหนก็ได้มาใช้
มีคุณจรัลที่เป็น สสร.ในขณะนั้น ซึ่งก็เป็น ตลก.ในขณะนี้ ออกมายืนยันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมันง่ายนิดเดียว
มีนักวิชาการอีกหลายท่านล้วนแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียงกัน แก้ง่ายนิดเดียว
ไม่เว้นแม้แต่คุณอภิสิทธิ์ก็ออกมายืนยันเสียงแข็ง ถ้าผมได้รับการเลือกตั้ง ผมจะชูมือแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้อย่างแน่นอน
หรือแม้แต่คุณวสันต์ การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับง่ายนิดเดียว แค่ตั้ง สสร.ก็เรียบร้อย
แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรครับ เรียบร้อย ตลก.สิไม่ว่า การแก้รัฐธรรมนูญอาจกลายเป็นการล้มการปกครองไปเสียฉิบ เห็นหรือยังครับว่า ทำไมผมจึงต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้
สรุปก็คือ ตราบใดที่ไม่ปล่อยให้รัฐบาลบริหารไปตามครรลองที่ควรเป็น จะอาศัยอำนาจนอกระบบหรืออำนาจตุลการการภิวัฒน์ในการล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ตราบนั้นประชาชนก็จะไม่เห็นการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล นอกจากมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ดังนั้นระบอบทักษิณที่หลายฝ่ายหวาดกลัวกันนัก ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทยอย่างแน่นอน แล้วเราจะปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้กันไปอีกกี่ปี เจ็ดปีที่ผ่านมายังไม่ทำให้ตาสว่างกันบ้าง มันก็เป็นเวรกรรมของประเทศอย่างแท้จริง
ปล.เป็นการเขียนขึ้นจากความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆนะครับ ไม่มีข้อมูลประกอบ ดังนั้นคงต้องใช้วิจารณญาณกันเอง จะเห็นด้วยทั้งหมด หรือ เห็นด้วยเป็นบางเรื่อง หรือจะไม่เห็นด้วยเลยก็เป็นสิทธิของทุกคนนะครับ บ๋ายบาย