09 ก.ค. 2556 เวลา 11:37:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"การจัดทำอันดับความน่าเชื่อถือ" หรือ "เครดิตเรตติ้ง" ถือเป็นมาตรวัดความเสี่ยงตราสารหนี้ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี เพียงแต่ในยุคที่ตลาดการลงทุนมีความผันผวนมากขึ้นจากเงินทุนเคลื่อนย้าย นักลงทุนจึงเริ่มให้ความสำคัญกับ "เครดิตเรตติ้ง" ในฐานะตัวคัดกรองหุ้นอีกทางหนึ่ง
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้พูดคุยกับ "สันติ กีระนันทน์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพื่อไขข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ "เครดิตเรตติ้ง" ซึ่งเขาบอกว่า การจัดทำ "เครดิตเรตติ้ง" และ "การทำบทวิเคราะห์" มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน นั่นคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านพื้นฐานทางการเงินของธุรกิจ กลยุทธ์การทำตลาด แนวโน้มการเติบโต ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ปลายทางของการใช้งานกลับต่างกัน เพราะ "บทวิเคราะห์" จัดทำโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดคุณค่า "หุ้น" ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่ละแห่งว่ามีความเหมาะสมควรจะลงทุนในเวลานั้น ๆ หรือไม่ และควรมีราคาเท่าไหร่
ขณะที่ "เครดิตเรตติ้ง" จะใช้สำหรับแบ่งเกรด "ตราสารหนี้" ของบริษัทที่เข้ารับการจัดอันดับว่า สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ซึ่งสำหรับทริสฯได้จัดแบ่งออกเป็น 8 สัญลักษณ์ ได้แก่ AAA, AA, A, BBB, BB, B, C และ D (ไล่จากระดับสูงสุดมาต่ำสุด ตามลำดับ)
ดังนั้น หากจะเลือกลงทุน "หุ้น" ที่มี "เรตติ้งดี" จึงอาจจะไม่ตรงวัตถุประสงค์การจัดทำนัก เพราะเรตติ้งของบริษัทไม่ได้สะท้อนการเติบโตของราคาหุ้นตรง ๆ เสมอไป
"ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนใช้เครดิตเรตติ้งเป็นตัวตัดสินใจเพื่อลงทุนในหุ้น เพราะบางบริษัทแม้จะมีเรตติ้งดี แต่โอกาสการเติบโตของราคาหุ้นกลับมีไม่มาก และอาจให้ผลตอบแทนน้อยด้วย นั่นเป็นเพราะบริษัทนั้น ๆ อาจจะมีคุณสมบัติตามที่เรากำหนด เช่น ฐานทุนแกร่ง กำไรสูง ฯลฯ จึงส่งผลดีต่อเรตติ้ง แต่การที่มีเงินมาก ในบางรายกลับหมายถึงเงินทุนที่ท่วมบริษัท ไม่ได้เอาไปบริหารให้มีประสิทธิภาพ จนทำให้ ROE ต่ำ อย่างนี้จึงน่าจะส่งผลดีเฉพาะลงทุนตราสารหนี้ ไม่ใช่หุ้น"
แม้ว่า "เครดิตเรตติ้ง" จะออกมาเคลมตัวเองว่า "ไม่ใช่เครื่องมือชั้นเทพ" ที่ใช้ได้กับทุกตลาด แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้างในบาง บจ.ที่โดดเด่นทั้งในแง่ "เรตติ้ง" และ "หุ้น"
โดยทริสฯประเมินว่า กลุ่มธุรกิจดาวเด่นติดเกรดเรตติ้ง "A" และยังมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหาร เช่น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจพลังงานที่มีรายได้แน่นอนจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่มีโอกาสการเติบโตต่อเนื่องตามภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว จึงถือว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
เพียงแต่กลุ่มธุรกิจที่มีความโดดเด่นเหล่านี้ก็คงจะชะล่าใจไม่ได้ เพราะในช่วงหลังจากนี้ หากสหรัฐลดการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ เนื่องจากเมื่อเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง ความต้องการซื้อตราสารต่าง ๆ ก็จะน้อยลงในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น บจ.จึงจำเป็นต้องประคองตัวและรักษาคุณสมบัติที่ดีไว้
"ครึ่งปีหลังนี้คงยังไม่มีสถานการณ์ด่วนที่จะส่งผลลบต่อการปรับลดเครดิตเรตติ้ง แต่ในระยะยาวต้องยอมรับว่า หากสหรัฐลดคิวอี ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของสภาพคล่องที่หายไป ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้สูงขึ้น ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย"
แล้วโปรดฟังอีกครั้งหนึ่งว่า "เครดิตเรตติ้ง" ไม่ใช่ตัวชี้วัดคัดเลือกหุ้นที่จะให้ผลสำเร็จเสมอไป ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องใช้วิจารณญาณและความสามารถของการประยุกต์ใช้เครื่องมือ ก่อนตัดสินใจ
เข้าลงทุนในสภาวะต่าง ๆ ของตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
ทริสฯ ชี้กับดัก เครดิตเรตติ้ง "ไม่ใช่เครื่องมือวัดชั้นเทพ"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"การจัดทำอันดับความน่าเชื่อถือ" หรือ "เครดิตเรตติ้ง" ถือเป็นมาตรวัดความเสี่ยงตราสารหนี้ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี เพียงแต่ในยุคที่ตลาดการลงทุนมีความผันผวนมากขึ้นจากเงินทุนเคลื่อนย้าย นักลงทุนจึงเริ่มให้ความสำคัญกับ "เครดิตเรตติ้ง" ในฐานะตัวคัดกรองหุ้นอีกทางหนึ่ง
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้พูดคุยกับ "สันติ กีระนันทน์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพื่อไขข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ "เครดิตเรตติ้ง" ซึ่งเขาบอกว่า การจัดทำ "เครดิตเรตติ้ง" และ "การทำบทวิเคราะห์" มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน นั่นคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านพื้นฐานทางการเงินของธุรกิจ กลยุทธ์การทำตลาด แนวโน้มการเติบโต ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ปลายทางของการใช้งานกลับต่างกัน เพราะ "บทวิเคราะห์" จัดทำโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดคุณค่า "หุ้น" ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่ละแห่งว่ามีความเหมาะสมควรจะลงทุนในเวลานั้น ๆ หรือไม่ และควรมีราคาเท่าไหร่
ขณะที่ "เครดิตเรตติ้ง" จะใช้สำหรับแบ่งเกรด "ตราสารหนี้" ของบริษัทที่เข้ารับการจัดอันดับว่า สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ซึ่งสำหรับทริสฯได้จัดแบ่งออกเป็น 8 สัญลักษณ์ ได้แก่ AAA, AA, A, BBB, BB, B, C และ D (ไล่จากระดับสูงสุดมาต่ำสุด ตามลำดับ)
ดังนั้น หากจะเลือกลงทุน "หุ้น" ที่มี "เรตติ้งดี" จึงอาจจะไม่ตรงวัตถุประสงค์การจัดทำนัก เพราะเรตติ้งของบริษัทไม่ได้สะท้อนการเติบโตของราคาหุ้นตรง ๆ เสมอไป
"ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนใช้เครดิตเรตติ้งเป็นตัวตัดสินใจเพื่อลงทุนในหุ้น เพราะบางบริษัทแม้จะมีเรตติ้งดี แต่โอกาสการเติบโตของราคาหุ้นกลับมีไม่มาก และอาจให้ผลตอบแทนน้อยด้วย นั่นเป็นเพราะบริษัทนั้น ๆ อาจจะมีคุณสมบัติตามที่เรากำหนด เช่น ฐานทุนแกร่ง กำไรสูง ฯลฯ จึงส่งผลดีต่อเรตติ้ง แต่การที่มีเงินมาก ในบางรายกลับหมายถึงเงินทุนที่ท่วมบริษัท ไม่ได้เอาไปบริหารให้มีประสิทธิภาพ จนทำให้ ROE ต่ำ อย่างนี้จึงน่าจะส่งผลดีเฉพาะลงทุนตราสารหนี้ ไม่ใช่หุ้น"
แม้ว่า "เครดิตเรตติ้ง" จะออกมาเคลมตัวเองว่า "ไม่ใช่เครื่องมือชั้นเทพ" ที่ใช้ได้กับทุกตลาด แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้างในบาง บจ.ที่โดดเด่นทั้งในแง่ "เรตติ้ง" และ "หุ้น"
โดยทริสฯประเมินว่า กลุ่มธุรกิจดาวเด่นติดเกรดเรตติ้ง "A" และยังมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหาร เช่น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจพลังงานที่มีรายได้แน่นอนจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่มีโอกาสการเติบโตต่อเนื่องตามภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว จึงถือว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
เพียงแต่กลุ่มธุรกิจที่มีความโดดเด่นเหล่านี้ก็คงจะชะล่าใจไม่ได้ เพราะในช่วงหลังจากนี้ หากสหรัฐลดการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ เนื่องจากเมื่อเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง ความต้องการซื้อตราสารต่าง ๆ ก็จะน้อยลงในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น บจ.จึงจำเป็นต้องประคองตัวและรักษาคุณสมบัติที่ดีไว้
"ครึ่งปีหลังนี้คงยังไม่มีสถานการณ์ด่วนที่จะส่งผลลบต่อการปรับลดเครดิตเรตติ้ง แต่ในระยะยาวต้องยอมรับว่า หากสหรัฐลดคิวอี ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของสภาพคล่องที่หายไป ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้สูงขึ้น ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย"
แล้วโปรดฟังอีกครั้งหนึ่งว่า "เครดิตเรตติ้ง" ไม่ใช่ตัวชี้วัดคัดเลือกหุ้นที่จะให้ผลสำเร็จเสมอไป ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องใช้วิจารณญาณและความสามารถของการประยุกต์ใช้เครื่องมือ ก่อนตัดสินใจ
เข้าลงทุนในสภาวะต่าง ๆ ของตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวัง