2 หญิง คลัง .... ซี 12 .... ไทยรัฐออนไลน์

กระทู้สนทนา
ข้าราชการสตรีที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงการคลังมีไม่มากนัก
แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้มีอยู่ 2 ราย
ที่มีวิถีชีวิตและเส้นทางในการรับราชการแตกต่างกันราวฟ้า กับดิน

ถูกแล้ววันนี้กำลังจะกล่าวขวัญถึงผู้หญิงเก่ง 2 คนในกระทรวงการคลัง
ที่กำลังมีชื่อเป็นข่าวคราวอยู่ในความสนใจของผู้คนแทบทุกวงการยามนี้

คนแรก นางเบญจา หลุยเจริญ รัฐมนตรีหญิงคนล่าสุดของรัฐบาลนี้ในตำแหน่ง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้มีเส้นทางการเจริญเติบโตในราชการ
อย่างรวดเร็วอย่างยากจะหาใครมาเทียมเทียบจากปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
ธรรมศาสตร์ และปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน พร้อมกับปริญญาโท
รัฐประศาสนศาสตร์ จุฬา และ วปอ.46

ชื่อ เบญจา หลุยเจริญ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสังคมทั่วไปเมื่อสมัยดำรงตำแหน่ง
รองอธิบดีกรมสรรพากร ในปี 2546 และเป็นผู้ให้คำวินิจฉัยยืนยันในนามกรมสรรพากรว่า
การซื้อขายหุ้นของคนในตระกูลชินวัตรไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใดทำให้มหาเศรษฐี
ประหยัดเงินไปได้เป็นจำนวนมาก

จากนั้นเส้นทางชีวิตการรับราชการของเธอก็เจริญรุดหน้าราวติดปีก ปี 2547
เป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาฐานภาษี ปี 2548 เป็นผู้ตรวจ ราชการกระทรวงการคลัง ปี
2551 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ปี 2554 เป็น อธิบดีกรมสรรพสามิต ปี 2555 เป็น
อธิบดีกรมศุลกากร และกำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ตุลาคม 2556 นี้

ความกล้าหาญและความเก่งกาจในเรื่องภาษีของเธอจึงทำให้ผู้มีอำนาจบงการ
รัฐบาลเลือกตัวเธอมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ในคราวนี้ให้สมศักดิ์ศรีที่เป็นเครือข่ายในระบอบทักษิณ

รายที่สองบ่มเพาะการศึกษามาคล้ายคลึงกันคือ ปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
ธรรมศาสตร์ และปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน พร้อมกับปริญญาโท
รัฐประศาสนศาสตร์ นิด้าและ วปอ.45

นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ใช้ชีวิตเรียบง่ายในราชการจน
ปี 2544 เป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง
ปี 2547 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง
ปี 2549 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง
ปี 2552 เป็น ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เทียบเท่าอธิบดี
ปี 2553 เป็น รองปลัดกระทรวงการคลัง อีกรอบ

ตลอดชีวิตการรับราชการเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์และ
ปฏิบัติราชการด้วยความตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น

ล่าสุดที่กล่าวถึงโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลว่ามีจุดที่จะเกิดการ
ทุจริตได้ทุกขั้นตอนนั้นเป็นการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา
ในฐานะข้าราชการที่ถูกเรียกตัวไปจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
โดยตรงซึ่งย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

แต่แล้วเมื่อเป็นข่าวคราวออกมากลับกลายว่าเธอต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน
จะสอบข้อเท็จจริงอะไรก็ว่ากันไปแต่ถ้าถึงขั้นสอบวินัย รับรองว่าต้องมีเรื่องใหญ่ตามมาแน่

นี่แหละคือสิ่งที่คนตั้งใจทำความดีความถูกต้องพูดความจริงเพื่อปกปักรักษา
ประโยชน์ของแผ่นดินต้องพบต้องเจอเมื่อเรามีรัฐบาลอย่างนี้

ข้าราชการทั้งหลายทั้งชายและหญิงเลือกเฟ้นตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว่าจะเลือก
เดินบนเส้นทางไหนในตัวอย่างทั้งสองที่ยกมา.

“ซี.12”

http://www.thairath.co.th/column/pol/corner/355703

ในฐานะที่เป็นผู้หญิง  ด้วยกัน  แม้ไม่ได้รับราชการ   แต่ก็มาจากครอบครัวข้าราชการ
ตั้งแต่รุ่นพ่อ  จนถึงตัวเอง  และมั่นใจว่า ซื่อสัตย์สุจริต  ไม่แพ้ใครสักคนเดียว
อยากบอกว่า  2  คนยลตามช่อง  กฎหมาย  ก็มีช่องโหว่  ช่องว่าง  ให้ปชช.ใช้
เพื่อปกป้องผลประโยชน์  และก็อาจจะทำให้ราชการเสียประโยชน์
หากคิดว่า มันจะทำให้  ราชการเสียประโยชน์  ก็ต้องแก้กฎหมายให้รัดกุม  
ไม่ให้ปชช.ฉวยโอกาสได้  แต่อย่าไปโทษ ปชช.   ว่าหลีกเลี่ยง  การเสียภาษี

การเสียภาษี  มีทางเลือกมากมาย  ที่ทำให้เราเสียภาษีน้อย  โดยไม่ผิดกฎหมาย

ขอยกตัวอย่าง  เรื่องของตัวเองก็แล้วกันนะคะ    เพราะเจอกับ ตัวเอง
เอาใจเขามาใส่ใจเรา  เป็นปชช. ตัวเล็กๆ  ไปเสียภาษี  ขอให้จนท.สรรพากรช่วย
ตรวจสอบ  แบบฟอร์มการเสียภาษี  ที่กรอกไปเรียบร้อยแล่วหน่อย  ...เถอะค่ะ
คุณเธอตรวจสอบ แบบละเอียด  และก็บอกว่า  คุณป้ากรอกผิด  ...  ลงรายการไม่
ครบถ้วน  ก็เลยเป็นเหตุทำให้ได้ภาษีคืนเพิ่มขึ้น หมื่น กว่าบาท
เราก็ชื่นชมเธอ   แต่คุณเธอ  ก็ทำให้ราชการเสียประโยชน์  เหมือนกัน
หากมันเปลี่ยนจาก หมื่นกว่าบาท  เป็นหลายสิบล้านบาท  
เปลี่ยนผู้เสียภาษีจาก สาวเหลือน้อย  เป็นนักการเมือง  สักคนหนึ่ง
มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน  กับ รมต. หญิงหมาดๆ เจอ ไหม

ขอยกตัวอย่างคนเดียวนะคะ   เพราะรู้สึกคนเขียน เงื้อมีดเตรียมไว้แล้ว
สำหรับ  คุณเญจา  ...


เป็นกำลังใจให้ 2 หญิงเก่ง ของกระทรวงการคลังค่ะ   ยิ้ม


สาวแว่น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่