เรื่องเล่าจากสาวบาร์

เมื่อก่อนชอบเขียนไดอารี่มากจำได้ว่าเขียนทุกคืนก่อนนอน แต่ก็จำไม่ได้อีกนั่นแหละว่าเลิกเขียนไปตอนไหน ช่วงนี้ว่างๆ หมายเหตุว่างมาก ก็เลยลองมาฝึกปรือภาษาไทยซะหน่อยว่าสมองยังใช้ได้ดีอยู่มั้ย ก็เลยกลายมาเป็นเรื่องที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่แหละ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ


    ความเงียบบนรถทัวร์ที่วิ่งทางไกล ผู้โดยสารหลายคนบนรถต่างหลับไหล เพราะคงใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง บวกกับแอร์เย็นเฉียบที่ถึงแม้จะมีผ้าห่มบางๆคลุมอยู่แต่ก็ไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นแต่อย่างใด เธอนั่งริมหน้าต่างเงียบๆ มองความมึดที่ผ่านไป ได้ยินแต่เสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ อากาศเย็นเฉียบจนเธอต้องดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาถึงคอ เบาะข้างๆว่างไม่มีผู้โดยสารเธอจึงขยับเหยียดขาขึ้นมาบนเบาะเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ที่ต้องขดตัวอยู่บนรถมาหลายชั่วโมง ทั้งเมื่อย หนาว  ง่วงนอน แต่เธอก็หลับตาไม่ลง เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมง ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เธอตัดสินใจแล้วที่จะเดินหน้าต่อไป แม้ในใจจะหวั่นไหวหรือกลัวแค่ไหนก็ตาม นาทีนี้เธอบอกตัวเองว่าเธอต้องเดินต่อไป ชีวิตเธอเจอมามากพอแล้ว แค่หยุดยืนก็กลายเป็นว่าเธอถอยหลังไปซะแล้ว เธอไม่มีเวลาที่จะมาระลึกถึงความเจ็บปวดหรือเวิ่นเว้อกับความรู้สึกของตัวเองมากมายนัก เพราะเธอยังมีครอบครัว มีลูกชายที่เธอต้องรับผิดชอบ เมื่อ๓เดือนก่อนหน้านี้เธอยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ เมืองที่หลายๆคนไปตามหาความฝัน หลายๆคนสมหวังกับสิ่งที่ฝัน แล้วก็ยังมีอีกหลายๆคนที่พ่ายแพ้กลับมา และเธอก็เช่นกัน เวลา ๑๐ กว่าปีที่อยู่ดิ้นรนที่เมืองใหญ่แห่งนั้น ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเธอดีขึ้นเลย มีอย่างเดียวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเธอคือลูกชายที่อายุ ๗ ขวบที่เธอเลี้ยงดูมาคนเดียวลูกของเธอไม่เคยได้รับการเหลียวแล จากผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อตั้งแต่เขาอายุได้ ๑ ขวบ จริงๆเธอคิดว่าเป็นการดีเสียอีกที่เลิกกันไปได้ เพราะไม่งั้นเธอต้องหาเลี้ยง ทั้งสามีทั้งลูกเธอคงไม่ไหว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่