"ความสงบบ่อเกิดปัญญา"

กระทู้สนทนา

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


"ความสงบบ่อเกิดปัญญา"
เสียงอ่านพระธรรมเทศนาพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง


ความสงบ
ในฐานะที่พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ตั้งอกตั้งใจมาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ทุกท่านอยู่คนละแห่งละหนก็มารวมกัน ณ วัดป่าพงนี้ ซึ่งเป็นพระประจำอยู่วัดนี้ก็มี ที่เป็นอาคันตุกะเพิ่งมาอาศัยอยู่ก็มี ก็ล้วนแต่เป็นนักบวช ซึ่งได้พยายามหาความสงบด้วยกันทั้งนั้น

ความสงบอยู่ที่ตัวเรา
ความสงบที่แท้จริงนั้น พวกเราทั้งหลายจงเข้าใจ พระพุทธองค์ตรัสว่า ความสงบอย่างแท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลจากพวกเรา มันอยู่กับพวกเรา แต่เราทั้งหลายมองข้ามไปข้ามมาอยู่เสมอ ต่างคนก็ต่างมีอุบายที่จะหาความสงบนั่นเอง แต่ก็ยังมีความฟุ้งซ่าน รำคาญ ไม่ถนัดใจอยู่ ก็ยังไม่ได้รับความพอใจในการปฏิบัติของตนเอง คือยังไม่ถึงเป้าหมาย เปรียบประหนึ่งว่าเราเดินทางออกจากบ้านเราแล้วก็เร่ร่อนไปสารพัดแห่ง ไม่มีความสบาย แม้จะไปรถ จะไปเรือ จะไปที่ไหนอะไรก็ตามที มันยังไม่ถึงบ้านเรา เมื่อเรายังไม่ถึงบ้านเรานั้นก็ไม่ค่อยสบาย ยังมีภาระผูกพันอยู่เสมอ นี้เรียกว่าเดินยังไม่ถึง ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็เร่ร่อนไปในทิศต่างๆเพื่อแสวงหาโมกขธรรม
ยกตัวอย่างเช่นพระภิกษุสามเณรเรานี้ ใครๆก็ต้องการความสงบ ตลอดพวกท่านทั้งหลายถึงอาตมาก็เหมือนกัน หาความสงบไม่เป็นที่พอใจ ไปที่ไหนก็ยังไม่เป็นที่พอใจ เข้าไปในป่านี้ก็ดี ไปกราบอาจารย์นั้นก็ดี ไปฟังธรรมใครก็ดี ก็ยังไม่ได้รับความพอใจ อันนี้เป็นเพราะอะไร

เราต้องการความสงบแบบใด
หาความสงบไปอยู่ในที่สงบ ไม่อยากจะให้มีเสียง ไม่อยากจะให้มีรูป ไม่อยากจะให้มีกลิ่น ไม่อยากจะให้มีรส อยู่เงียบๆอย่างนี้นึกว่ามันจะสบาย คิดว่าความสงบมันอยู่ตรงนั้น ซึ่งความเป็นจริงนั้นเราไปอยู่เงียบๆไม่มีอะไร มันจะรู้อะไรไหม มันจะรู้สึกอะไรไหม ลองคิดดูซิ ตาของเรานั้นนะ ถ้าไม่เห็นรูป มันจะเป็นอย่างไรไหม จมูกนี้ก็ไม่ได้กลิ่น มันจะเป็นอย่างไรไหม ลิ้นของเราไม่ได้รู้จักรส มันจะเป็นอะไร อย่างไรไหม ร่างกายไม่กระทบโผฏฐัพพะที่ถูกต้องอะไร มันจะเป็นอะไรไหม ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นคนตาบอดซิ คนหูหนวกคนจมูกขาด ลิ้นหลุดไป กายไม่รับรู้อะไรเป็นอัมพาตไปเลย มันจะมีอะไรไหม แต่ใครก็มักจะคิดอย่างนั้น อยากจะไปอยู่ที่ว่ามันไม่มีอะไรความคิดอย่างนั้นเคยคิด เคยคิดมา

ความสงบเกิดจากภายในจิตใจ
ในสมัยที่อาตมาเป็นพระปฏิบัติใหม่ๆ จะนั่งสมาธิตรงไหน เสียงมันก็อื้อ มันไม่สงบเลย คิดผ่านไปผ่านมาเสมอว่า จะทำอย่างไรหนอมันไม่สงบ จนต้องหาขี้ผึ้งมาปั้นกลมๆอุดเข้าไปในหูนี่ ไม่ได้ยินอะไร มีแต่เสียงอื้อเท่านั้น นึกว่ามันจะดี นึกว่ามันจะสงบ เปล่า! ความปรุงแต่งอะไรต่ออะไรต่างๆนี้ มิใช่อยู่ที่หูดอก มันเกิดภายในจิตในใจ มันจะมีสารพัดอย่าง ต้องคลำหามันค้นคว้าหาความสงบ พูดง่ายๆ จะไปอยู่ในเสนาสนะอะไรก็ดีนะ คิดไม่อยากจะทำอะไร มันขัดข้องไม่ได้ทำเพียร อยากจะนั่งให้มันสงบ ลานวัดก็ไม่อยากจะไปกวาดมัน อะไรก็ไม่อยากจะทำมัน อยากจะอยู่เฉยๆ อยากหาความสงบอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ให้ช่วยกิจวัดที่เราอาศัยอยู่ก็ไม่ค่อยจะเอาใจใส่มัน เพราะเห็นว่ามันเป็นงานภายนอก

การปล่อยวางที่ไม่ถูกต้อง
อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟังเลยนะ เช่นว่าอาจารย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์อาตมา ท่านมีศรัทธามากที่สุด ตั้งใจมาปฏิบัติละวาง หาความสงบ ผมก็สอนให้ละให้วาง ท่านก็เข้าใจเหมือนกันว่า ละวางทั้งหมดมันคงจะดี ความเป็นจริงตั้งแต่มาอยู่ด้วยก็ไม่อยากทำอะไร แม้หลังคากุฏิลมมันพัดตกไปข้างหนึ่ง ท่านก็เฉย ท่านว่าอันนั้นมันเป็นของภายนอก แน่ะ ไม่เอาใจใส่ แดดฝนรั่วทางโน้น ท่านก็ขยับมาทางนี้ ท่านว่าไม่ใช่เรื่องของท่าน เรื่องของท่านมันเรื่องจิตสงบ หลังคารั่วมันไม่ใช่เรื่องของท่าน มันขัดข้อง วุ่นวาย ไม่ให้เป็นภาระ นี่ความเห็นมันเป็นอย่างนั้น อีกวันหนึ่งอาตมาก็เดินไป ไปพบหลังคามันตก ก็ถามว่า "เอ..กุฏิของใคร" ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นกุฏิของท่านอาจารย์องค์นั้น "อือ..แปลกนะ" นี่ก็เลยได้พูดกัน อธิบายอะไรต่ออะไรกันหลายอย่าง เสนาสนะวัตรน่ะที่อยู่ของเรานั้น คนเรามันต้องมีที่อยู่ ที่อยู่มันเป็นอย่างไรก็ต้องดูมัน การปล่อยวางไม่ใช่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราปล่อย เราทิ้ง อันนั้นมันเป็นลักษณะคนที่ไม่รู้เรื่อง ฝนตกหลังคารั่ว ต้องขยับไปข้างโน้น แดดออก เอ้า ขยับมาข้างนี้อีกแล้วทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ปล่อยไม่วางอยู่ตรงนั้น อาตมาก็เลยเทศน์ให้ฟังกัณฑ์ใหญ่ ท่านก็ยังมาเข้าใจว่า
"เออ หลวงพ่อบางทีเทศน์ให้เรายึดมั่น บางทีเทศน์ให้เราปล่อยวาง ไม่รู้จะเอาอย่างไร ขนาดหลังคากุฏิมันตกลงไป เราก็ปล่อยวางขนาดนี้ ท่านก็ยังว่าไม่ถูกอีก แต่ท่านก็เทศน์ว่าไม่ให้ยึด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันจึงจะถูก" ดูซิคนเราจิตมันเป็นอย่างนี้ ในการปฏิบัติมันโง่อย่างนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ
ตาเรามันมีรูปไหมถ้าไม่อาศัยรูปข้างนอก รูปมีในตาไหม หูเรานี้มีเสียงไหม ถ้าเสียงข้างนอกไม่มากระทบมันจะมีเสียงไหม ถ้าไม่อาศัยกลิ่นข้างนอก จมูกของเรามันจะมีกลิ่นไหม ลิ้นมันจะมีรสไหม มันต้องอาศัยรสภายนอกมากระทบ มันจึงมีรสอย่างนั้น เหตุมันอยู่ตรงไหนนะ เราพิจารณาดูที่พระท่านว่า ธรรมมันเกิดเพราะเหตุ ถ้าหูเราไม่มีแล้วจะมีโอกาสได้ยินเสียงไหม ตาเราไม่มีมันจะมีเหตุให้เราเห็นรูปไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันคือเหตุ พระท่านบอกว่าธรรมมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อจะดับก็เพราะเหตุมันดับก่อน ผลมันจึงดับ เมื่อผลมันจะมีขึ้น ก็มีเหตุมาก่อนแล้วผลมันจึงตามมา
ถ้าหากเราเข้าใจว่าความสงบมันอยู่ตรงนั้น มันจะมีปัญญาไหมมันจะมีเหตุมีผลไหม สำหรับที่เราจะต้องปฏิบัติหาความสงบ มันจะมีอะไรไหม ถ้าเราจะไปโทษเสียง ไปนั่งที่ไหนมีเสียงก็ไม่สบายใจแล้ว คิดว่าที่นี่ไม่ดี ที่ไหนมีรูปก็ว่าที่นั่นไม่ดี ไม่สงบ อย่างนั้นก็เป็นคน อายตนะหายหมด ตาบอด หูหนวกหมด ทีนี้ผมทดลองดูก็คิดไป
"เอ มันก็แปลกเหมือนกัน มันไม่สบาย เพราะตา หู จมูก ลิ้นกาย จิต นี่แหละ หรือว่าเราจะเป็นคนที่จักษุบอดดีนะ มันไม่ต้องเห็นอะไรดีนะ มันจะหมดกิเลสที่ตรงจักษุมันบอดละมั้ง หรือว่าหูมันหนักมันตึง มันจะหมดกิเลสที่ตรงนั้นละมั้ง"

รู้ความเป็นจริงจักเกิดปัญญา
ลองๆดูก็ไม่ใช่ทั้งหมดนั้นแหละ งั้นคนตาบอดก็สำเร็จอรหันต์สิคนหูหนวกก็สำเร็จหมดแล้ว คนตาบอดหูหนวกสำเร็จหมด ถ้าหากว่ากิเลสมันเกิดตรงนั้น อันนั้นคือเหตุของมัน อะไรมันเกิดจากเหตุเราต้องดับตรงนั้น เหตุมันเกิดตรงนี้ เราพิจารณาจากเหตุนี้ ความเป็นจริงอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นของที่ให้เกิดปัญญา ถ้าเรารู้เรื่องตามความเป็นจริง ถ้าเราไม่รู้เรื่อง เราก็จะต้องปฏิเสธว่าไม่อยากจะเห็นรูป ไม่อยากจะฟังเสียง ไม่อยากจะอะไรทั้งนั้น มันวุ่นวายอยู่ตรงนั้น เราตัดเหตุมันออกเสียแล้ว จะเอาอะไรมาพิจารณาเล่า ลองๆซิ อะไรจะเป็นเหตุ อะไรจะเป็นเบื้องต้นท่ามกลาง เบื้องปลาย มันจะมีไหม นี่ อันนี้คือความคิดผิดของพวกเราทั้งหลาย
ดังนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้สำรวม การสำรวมนี้แหละมันเป็นศีล ศีลสังวร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นศีล เป็นสมาธิเหล่านี้ เราคิดดูประวัติพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังไม่บวช ท่านไปพบพระชื่ออัสสชิด้วยตาของท่านเอง เห็นพระอัสสชิเดินไปบิณฑบาต เมื่อมองเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า "แหม พระองค์นี้แปลกเหลือเกิน เดินไม่ช้าไม่เร็ว กลีบจีวรสีจีวรของท่านไม่ฉูดฉาด เรียบๆ เดินไปก็ไม่มองหน้ามองหลัง สังวรสำรวม" เกิดแปลกขึ้นในใจ อันนั้นเป็นเหตุแก่ผู้มีปัญญา ท่านสารีบุตรสงสัยก็ตรงเข้าไปกราบเรียนถามท่านอยากจะรู้ว่าใครมาจากไหนอย่างนี้ "ท่านเป็นใคร" "เราเป็นสมณะ"
"ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน"
"พระโคดมเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา"
"พระโคดมนั้น ท่านสอนว่าอย่างไร"
"ท่านสอนว่า ธรรมทั้งหลายมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อมันจะดับก็เพราะเหตุมันดับไปก่อน"

อายตนะกับผู้มีปัญญา
นี้คือพระสารีบุตรนิมนต์ให้ท่านเทศน์ให้ฟัง ท่านก็อธิบายพอสังเขปเท่านั้น ท่านยกเหตุผลขึ้นมา ธรรมเกิดเพราะเหตุ เหตุเกิดก่อนผลจึงเกิด เมื่อผลมันจะดับ เหตุต้องดับก่อน เท่านั้นเอง พระสารีบุตรพอแล้ว ได้ฟังธรรมพอสังเขปเท่านั้น ไม่ต้องพิสดารเท่านั้นแหละอันนี้เรียกว่ามันเป็นเหตุ เพราะในเวลานั้นพระสารีบุตรท่านมีตา มีหูมีจมูก มีลิ้น มีกาย มีจิต อายตนะของท่านครบอยู่ ถ้าหากว่าอายตนะของท่านไม่มี มันจะมีเหตุไหม ท่านจะเกิดปัญญาไหม ท่านจะรู้อะไรต่ออะไรไหม แต่พวกเราทั้งหลายกลัวมันจะกระทบ หรือชอบให้มันกระทบ แต่ไม่มีปัญญา ให้มันกระทบเรื่อยๆทางตา หู จมูกลิ้น กาย จิต เลยเพลินไป เลยหลง นี้มันเป็นอย่างนี้ อายตนะนี้มันให้เพลินก็ได้ ให้หลงก็ได้ มันให้เกิดความรู้มีปัญญาก็ได้ มันให้โทษและให้คุณพร้อมกัน แล้วแต่บุคคลที่จะมีปัญญา

รู้จักโลกตามความเป็นจริง
อันนี้ให้เราเข้าใจว่าเราเป็นนักบวช เข้ามาปฏิบัติ ปฏิบัติทุกอย่าง ความชั่วก็ให้รู้จัก คนสอนง่ายก็ให้รู้จัก คนสอนยากก็ให้รู้จักท่านให้รู้จักทั้งหมด เพื่ออะไร เพื่อเราจะรู้ความจริงที่เราจะต้องเอามาปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติแต่สิ่งที่ว่ามันดีมันถูกใจเรา เราจึงจะชอบมันไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งในโลกนี้นะ บางสิ่งเราชอบใจ บางสิ่งเราไม่ชอบใจ มันมีอยู่ในโลก มันไม่มีอยู่ที่อื่น ตามธรรมดาสิ่งอะไรที่ชอบใจเราก็ต้องการสิ่งนั้น พระเณรอยู่ด้วยกันก็เหมือนกัน ถ้าองค์ไหนไม่ชอบใจไม่เอา เอาแต่องค์ที่ชอบ นี่ดูซิ เอาแต่สิ่งที่ชอบ ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ ความเป็นจริงพระพุทธองค์ให้มีประสบการณ์โลกวิทู เราเกิดมาดูโลกอันนี้ให้แจ่มแจ้ง ให้ชัดเจน ถ้าเราไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง ไปไหนไม่ไหวไปไม่ได้ จำเป็นจะต้องรู้จัก อยู่ในโลกก็ต้องรู้จักโลก พระอริยบุคคลสมัยก่อนก็ดี พระพุทธเจ้าของเราก็ดี ท่านก็อยู่กับพวกเรานี้ อยู่กับพวกปุถุชนนี้ อยู่ในโลกนี้ ท่านก็เอาความจริงในโลกนี้เอง ไม่ใช่ว่าท่านไปเอาที่ไหน ไม่ใช่ท่านหนีโลกไปหาสัจจธรรมที่อื่น แต่ท่านมีปัญญา สังวรสำรวมอายตนะของท่านอยู่เสมอ การประพฤติปฏิบัตินี้คือการพิจารณาดูสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ รู้ตามความเป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ ให้รู้เรื่องมัน
ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้รู้อายตนะเครื่องต่อไต่ นัยน์ตามันก็ต่อเอารูปเข้ามาเป็นอารมณ์ หูมันก็ต่อเอาเสียงเข้ามา จมูกมันก็ต่อเอากลิ่นเข้ามา ลิ้นมันก็ต่อเอารสเข้ามา ร่างกายก็ต่อเอาโผฏฐัพพะเข้ามา เกิดความรู้ขึ้น ที่เกิดความรู้ขึ้นน่ะให้เราพิจารณาตามความจริงถ้าเราไม่รู้จักตามความเป็นจริง เราจะชอบมันที่สุด หรือเกลียดมันที่สุด ชอบมันอย่างยิ่ง เกลียดมันอย่างยิ่ง อารมณ์นี้ถ้ามันเกิดขึ้นมานี่ที่เราจะตรัสรู้ ที่ปัญญามันจะเกิดตรงนี้ แต่ว่าเราไม่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น

สำรวมสังวร...ทำอย่างไร?
พระพุทธองค์ท่านให้สังวรสำรวม การสังวรสำรวมนั้นไม่ใช่ว่าไม่ให้เห็นรูป ไม่ให้ได้ยินเสียง ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่รู้จักรส ไม่รู้จักโผฏฐัพพะ ไม่รู้จักธรรมารมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติไม่เข้าใจ พอเห็นรูปก็เสียว ฟังเสียงก็เสียว หนีเรื่อย หนีไปไม่สู้ หนีไปนึกว่ามันจะหมดฤทธิ์หมดเดช นึกว่ามันจะจบลง มันจะพ้น มันไม่พ้นนะ อันนั้นไม่พ้น หนีไปไม่รู้ตามความจริง ข้างหน้ามันก็โผล่ขึ้นอีก ต้องแก้ปัญหาอีก เช่นพวกปฏิบัตินี่ อยู่ในวัดก็ดี อยู่ในป่าก็ดี อยู่ในเขาก็ดี ไม่สบาย เดินธุดงค์ไปดูอันนั้นไปดูอันนี้สารพัดอย่างว่าจะสบายใจ ไปแล้ว กลับมาแล้วก็ไม่เห็นอะไร ลองขึ้นไปบนภูเขา"เออ ตรงนี้สบายนะ เอาละ" ไม่รู้สบายกี่วันก็เบื่ออีกแล้ว เอ้า ลงไปในทะเล "เออ ตรงนี้มันเย็นดี ตรงนี้พอแล้ว เอาละ" นานอีกก็เบื่อทะเลอีก เบื่อป่า เบื่อภูเขา เบื่อทะเล เบื่อสารพัดอย่าง ไม่ใช่เบื่อเป็นสัมมาทิฏฐิ เบื่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นไม่ตรงตามความจริงอย่างนั้นกลับมาถึงวัดแล้ว "จะทำอย่างไรหนอ ไปแล้วไม่ได้อะไรมา" แล้วก็ทิ้งบาตร สึก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่