หลายคนคงมีจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เมืองกรุงคล้ายๆกันกับผม ผมเองนั้นเริ่มเข้าสู่เมืองกรุงตอนที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เดินทางมุ่งสู่ กรุงเทพเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สำหรับผมการเข้าศึกษาต่อนั้นมีตัวเลือกอยู่แค่ 1 ตัวเลือกเท่านั้นคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะค่าเทอมที่ถูกเหมาะสมกับฐานะของครอบครัวในตอนนั้น แม้ว่าผมเองนั้นจะสามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ของมหาวิทยาลัยปิดก็ตาม แต่คำตอบในตอนนั้นที่ได้จากพ่อกับแม่คือ "เงินเราไม่มี"
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสถาบันการศึกษาที่สอนให้ผมได้รู้จักอะไรหลายๆอย่าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเองนั้นจดจำอยู่เสมอคือ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง เราต้องพึ่งตัวเอง การเรียนที่นี่ ที่ซึ่งใครหลายๆคนกลัว กลัวว่าจะเรียนไม่จบเพราะการเรียนที่ต้องพึ่งตนเองอย่างเดียว ไม่มีสอบเก็บคะแนน ไม่มีการทำงานส่งอาจารย์ มีแต่ไปเรียน อ่าน แล้วก็สอบ มีแต่ผ่านกับตกเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่กำลังเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงผมเองนั้นก็ทำงานควบคู่ไปด้วยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน แม้ว่าหน้าที่หลักในตอนนั้นคือ "ต้องเรียนให้จบ" ใบปริญญาคือความหวังที่พ่อกับแม่อยากเห็นมากที่สุด มากพอกับอยากถ่ายรูปคู่กับลูกชายในวันรับปริญญา
หลายคนอาจคิดว่าปริญญาแค่ใบเดียว มันคือกระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ผมอยากบอกว่า สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับคน ตจว หรือแม้แต่คนทั่วๆไป เราไม่รู้หรอกว่า รูปถ่ายวันที่เรารับปริญญา มันมีความสำคัญกับพ่อแม่เราขนาดไหน ติดไว้ข้างผนังบ้านใดเวลาคนไปคนมาที่บ้านล้วนแล้วแต่ชื่นชม มันทำให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ยิ้มได้และภูมิใจในตัวลูก
ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้ามาเรียนต่อปริญญาตรี ซึ่งใช้เวลาเรียนอยู่ 5 ปี จึงสำเร็จการศึกษา ช่วงที่เรียน 5 ปีนั้นผมเองกลับบ้านอยู่ 3 ครั้ง แม่จะใช้วิธีเขียนจดหมายมาถึงผมตลอด ซึ่งในจดหมายก็จะพูดถึงการตั้งตารอวันที่เราจบปริญญาตรี ให้เราขยันเรียนและสุดท้ายให้เรารู้จักประหยัดใช้เงิน แม่มักจะพุดถึงเรื่องการทำนาเสมอว่า "ปีนี้ฝนแล้ง ข้าวได้พอกินนะ คงไม่พอขาย ประหยัดใช้นะลูก"
หลังเรียนจบผมก็ทำงานแบบเต็มที่เพราะไม่ห่วงเรื่องเรียน จากเด็ก ตจว คนหนึ่งได้ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จากที่เคยแต่แหงนหน้ามองเครื่องบินก็มีโอกาสได้นั่งเครื่องบิน จากที่เคยเห็นภาพของประเทศนั้นประเทศนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ผ่านหนังสือ ก็มีโอกาสได้เดินทางไป ได้เห็น นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังของลูกชาวนาคนหนึ่ง
ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาเรียนและทำงานต่อในเมืองกรุง เมืองที่มีแต่ป่าใหญ่ แต่เป็นป่าคอนกรีต เมืองที่ผู้คนต่างก็ตัวใครตัวมันแม้ว่าบ้านอยู่ติดกันยังไม่รู้จักกัน อยู่ห้องติดกันก็ไม่รู้จักกัน ช่วงทำงานนี้เองยิ่งเป็นช่วงที่ผมกับพ่อแม่ห่างกันมากขึ้น ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ห่างอยู่แล้ว ตอนนี้ทำให้ห่างกันมากขึ้นไปอีก 2 ปีกลับบ้านครั้ง หลังมาก็มีแต่โทรศัพท์พูดคุยกัน ตอนนั้นในความรู้สึกของผมคือ พ่อกับแม่สบายดีอยู่ หากท่านเป็นไรท่านคงบอกเราแล้ว ผมคิดแบบนี้จริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาผมก็ส่งเงินให้ท่าน สร้างบ้านให้ท่าน ซื้อที่ดินให้ท่าน คือท่านอยากได้อะไรหากผมทำได้ผมก็ทำให้ตลอด
เมื่อปลายปี 2555 ผมได้มีโอกาสมาทำงานแถวบ้าน เป็นระยะเวลาสิ้นๆไม่กี่วัน ผมเลยใช้โอกาสนั้นกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่สักครั้งหนึ่ง หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนาน ช่วงที่ผมกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ เป็นช่วงที่กำลังลงเกี่ยวข้าวพอดี ผมเลยชวนน้องๆที่รู้จักไปช่วยลงแขกเกี่ยวข้าวที่บ้าน เพราะว่าหากจะจ้างคนเกี่ยวก็ค่าจ้างแพง เลยขอแรงจากน้องไปช่วยเกี่ยวข้าวที่บ้าน
วันที่ผมพาน้องๆไปเกี่ยวข้าวช่วยพ่อกับแม่ เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสนั่งมองท่านแบบจริงๆจังๆ พ่อกับแม่ ที่นานๆครั้งผมได้เห็น มาวันนี้ท่านทั้งสองแก่ลงไปมาก กำลังของท่านก็ดูถดถอยลง จากที่เราคิดว่าท่านคงสบายดี หาใช่เลย ท่านป่วยบ่อยขึ้นอาจเป็นเพราะว่าอายุท่านเยอะ แต่ท่านทำงานหนัก ที่ผมรู้ก็เพราะว่าผมเห็นยาในถุงที่วางไว้บนโต๊ะทีวี ที่ผ่านมาท่านไม่เคยพูดไม่เคยบอกผมเลย ท่านคงกลัวว่าผมจะเป็นห่วง หากว่าวันนี้ผมไม่กลับมาช่วยท่านเกี่ยวข้าวผมก็คงไม่มีโอกาสรู้
ผมนั่งมองพ่อกับแม่พร้อมกับละสายตาหันไปมองทุ่งนาที่น้องๆกำลังช่วยกันเกี่ยวข้าว นาผืนนี้พ่อกับแม่จะมีแรงทำไปอีกสักกี่ปี ดูท่านทั้งสองแล้วกำลังวังชาก็ถดถอยลงไปเรื่อยๆ หากจะบอกให้ท่านหยุดทำนาคงเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่คือคำถามที่ก่อตัวอยู่ในหัวของผม
พ่อกับแม่นั่งมองผืนนาที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ปีนี้ท่านไม่เหนื่อย เพราะมีผมกับน้องๆมาช่วยท่านเกี่ยวข้าว ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อกับแม่ในยามที่ท่านมองมัดข้าวที่เกี่ยวแล้ว ปีนี้ข้าวน่าจะได้เยอะเพราะนำท่ามันดี คงมีข้าวกินได้ตลอดทั้งปี ผมมองพ่อกับแม่พร้อมกับได้คำตอบสุดท้ายที่อยู่ในใจ "ผมจะกลับบ้านมาทำนา"
หลังจากได้คำตอบ "ผมจะกลับบ้านมาทำนา" ผมก็จัดแจงขอลาออกจากที่ทำงาน พร้อมกับบอกลาเพื่อนๆว่า ผมจะกลับบ้านที่ ตจว เพื่อถามว่าจะลาออกกลับบ้านไปทำอะไร? ผมบอกว่า "จะไปทำนา" เพื่อนบอกว่า "ไอ้โง่" ผมไม่ตอบโต้ใดๆมีแต่ยิ้มเท่านั้น แต่เป็นยิ้มที่ผมมีความสุขที่สุด มันสะบายใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
การตัดสินใจที่จะกลับบ้านที่ ตจว เป็นการตัดสินใจหันหลังให้เมืองกรุงแบบหากไม่จำเป็นจะไม่ขอก้าวย่างเข้าไปเป็นเด็ดขาด ขอใช้ชีวิตเป็นคน ตจว แบบเต็มตัว แต่ผมอยากจะบอกว่าวันแรกที่ย้ายตัวเองกลับมาอยู่นั้น มันรู้สึกแปลกๆ มันตื่นเต้นไปหมด จากคนที่ต้องตื่นเช้ามาไปทำงานค่ำลงก็กลับห้อง มาวันนี้ผมตื่นเช้ามาก็ตักบาตรกับแม่ กินข้าวเช้ากับพ่อแม่ เราได้คุยกัน เราได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น นี่คือความสุขที่ผมคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับมัน
จากคนที่เคยทำงานหากจะอยู่นิ่งๆก็คงเป็นไปไม่ได้ เลยคิดวางแผนที่จะหาอะไรสักอย่างทำดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะกว่าจะถึงน่าลงนาก้อีกนานเลยพยายามนึกว่าที่ผ่านมาตัวเองชอบอะไรแล้วเคยทำอะไรมาบ้างพอที่จะเอามาทำเป็นอาชีพได้บ้าง สุดท้ายผมเลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารเล็กๆในเมือง ทำเอง ไม่มีลูกจ้าง เสาร์อาทิตย์ก็ไปเรียนต่อปริญญาโท นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำหลังจากกลับมาอยู่บ้านที่ ตจว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมได้กลับมาอยู่ใกล้กับพ่อแม่ ได้มีโอกาสดูแลท่านยามแก่เฒ่า เพียงแค่นี้ผมก็พอใจและยอมแลกกับหน้าที่การงานและเงินเดือนสูง
ผมอยากให้ทุกท่าน หากมีโอกาส หากมีเวลา กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของท่านบ้างนะครับ ท่านรอพวกคุณอยู่ ได้ฟังเสียงได้พูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ไม่เท่ากับที่เราได้เจอหน้าท่านนะครับ หลายคนมีเวลาไปเที่ยวแต่ไม่มีเวลาให้พ่อกับแม่ เวลานั้นมีอยู่แล้วมันขึ้นอยู่กับว่าท่านจะกลับไปหาพ่อกับแม่หรือเปล่าก็เท่านั้นครับ
หันหลังให้เมืองกรุง มุ่งสู่ ตจว
หลายคนคงมีจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เมืองกรุงคล้ายๆกันกับผม ผมเองนั้นเริ่มเข้าสู่เมืองกรุงตอนที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เดินทางมุ่งสู่ กรุงเทพเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สำหรับผมการเข้าศึกษาต่อนั้นมีตัวเลือกอยู่แค่ 1 ตัวเลือกเท่านั้นคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะค่าเทอมที่ถูกเหมาะสมกับฐานะของครอบครัวในตอนนั้น แม้ว่าผมเองนั้นจะสามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ของมหาวิทยาลัยปิดก็ตาม แต่คำตอบในตอนนั้นที่ได้จากพ่อกับแม่คือ "เงินเราไม่มี"
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสถาบันการศึกษาที่สอนให้ผมได้รู้จักอะไรหลายๆอย่าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเองนั้นจดจำอยู่เสมอคือ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง เราต้องพึ่งตัวเอง การเรียนที่นี่ ที่ซึ่งใครหลายๆคนกลัว กลัวว่าจะเรียนไม่จบเพราะการเรียนที่ต้องพึ่งตนเองอย่างเดียว ไม่มีสอบเก็บคะแนน ไม่มีการทำงานส่งอาจารย์ มีแต่ไปเรียน อ่าน แล้วก็สอบ มีแต่ผ่านกับตกเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่กำลังเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงผมเองนั้นก็ทำงานควบคู่ไปด้วยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน แม้ว่าหน้าที่หลักในตอนนั้นคือ "ต้องเรียนให้จบ" ใบปริญญาคือความหวังที่พ่อกับแม่อยากเห็นมากที่สุด มากพอกับอยากถ่ายรูปคู่กับลูกชายในวันรับปริญญา
หลายคนอาจคิดว่าปริญญาแค่ใบเดียว มันคือกระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ผมอยากบอกว่า สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับคน ตจว หรือแม้แต่คนทั่วๆไป เราไม่รู้หรอกว่า รูปถ่ายวันที่เรารับปริญญา มันมีความสำคัญกับพ่อแม่เราขนาดไหน ติดไว้ข้างผนังบ้านใดเวลาคนไปคนมาที่บ้านล้วนแล้วแต่ชื่นชม มันทำให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ยิ้มได้และภูมิใจในตัวลูก
ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้ามาเรียนต่อปริญญาตรี ซึ่งใช้เวลาเรียนอยู่ 5 ปี จึงสำเร็จการศึกษา ช่วงที่เรียน 5 ปีนั้นผมเองกลับบ้านอยู่ 3 ครั้ง แม่จะใช้วิธีเขียนจดหมายมาถึงผมตลอด ซึ่งในจดหมายก็จะพูดถึงการตั้งตารอวันที่เราจบปริญญาตรี ให้เราขยันเรียนและสุดท้ายให้เรารู้จักประหยัดใช้เงิน แม่มักจะพุดถึงเรื่องการทำนาเสมอว่า "ปีนี้ฝนแล้ง ข้าวได้พอกินนะ คงไม่พอขาย ประหยัดใช้นะลูก"
หลังเรียนจบผมก็ทำงานแบบเต็มที่เพราะไม่ห่วงเรื่องเรียน จากเด็ก ตจว คนหนึ่งได้ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จากที่เคยแต่แหงนหน้ามองเครื่องบินก็มีโอกาสได้นั่งเครื่องบิน จากที่เคยเห็นภาพของประเทศนั้นประเทศนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ผ่านหนังสือ ก็มีโอกาสได้เดินทางไป ได้เห็น นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังของลูกชาวนาคนหนึ่ง
ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาเรียนและทำงานต่อในเมืองกรุง เมืองที่มีแต่ป่าใหญ่ แต่เป็นป่าคอนกรีต เมืองที่ผู้คนต่างก็ตัวใครตัวมันแม้ว่าบ้านอยู่ติดกันยังไม่รู้จักกัน อยู่ห้องติดกันก็ไม่รู้จักกัน ช่วงทำงานนี้เองยิ่งเป็นช่วงที่ผมกับพ่อแม่ห่างกันมากขึ้น ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ห่างอยู่แล้ว ตอนนี้ทำให้ห่างกันมากขึ้นไปอีก 2 ปีกลับบ้านครั้ง หลังมาก็มีแต่โทรศัพท์พูดคุยกัน ตอนนั้นในความรู้สึกของผมคือ พ่อกับแม่สบายดีอยู่ หากท่านเป็นไรท่านคงบอกเราแล้ว ผมคิดแบบนี้จริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาผมก็ส่งเงินให้ท่าน สร้างบ้านให้ท่าน ซื้อที่ดินให้ท่าน คือท่านอยากได้อะไรหากผมทำได้ผมก็ทำให้ตลอด
เมื่อปลายปี 2555 ผมได้มีโอกาสมาทำงานแถวบ้าน เป็นระยะเวลาสิ้นๆไม่กี่วัน ผมเลยใช้โอกาสนั้นกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่สักครั้งหนึ่ง หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนาน ช่วงที่ผมกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ เป็นช่วงที่กำลังลงเกี่ยวข้าวพอดี ผมเลยชวนน้องๆที่รู้จักไปช่วยลงแขกเกี่ยวข้าวที่บ้าน เพราะว่าหากจะจ้างคนเกี่ยวก็ค่าจ้างแพง เลยขอแรงจากน้องไปช่วยเกี่ยวข้าวที่บ้าน
วันที่ผมพาน้องๆไปเกี่ยวข้าวช่วยพ่อกับแม่ เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสนั่งมองท่านแบบจริงๆจังๆ พ่อกับแม่ ที่นานๆครั้งผมได้เห็น มาวันนี้ท่านทั้งสองแก่ลงไปมาก กำลังของท่านก็ดูถดถอยลง จากที่เราคิดว่าท่านคงสบายดี หาใช่เลย ท่านป่วยบ่อยขึ้นอาจเป็นเพราะว่าอายุท่านเยอะ แต่ท่านทำงานหนัก ที่ผมรู้ก็เพราะว่าผมเห็นยาในถุงที่วางไว้บนโต๊ะทีวี ที่ผ่านมาท่านไม่เคยพูดไม่เคยบอกผมเลย ท่านคงกลัวว่าผมจะเป็นห่วง หากว่าวันนี้ผมไม่กลับมาช่วยท่านเกี่ยวข้าวผมก็คงไม่มีโอกาสรู้
ผมนั่งมองพ่อกับแม่พร้อมกับละสายตาหันไปมองทุ่งนาที่น้องๆกำลังช่วยกันเกี่ยวข้าว นาผืนนี้พ่อกับแม่จะมีแรงทำไปอีกสักกี่ปี ดูท่านทั้งสองแล้วกำลังวังชาก็ถดถอยลงไปเรื่อยๆ หากจะบอกให้ท่านหยุดทำนาคงเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่คือคำถามที่ก่อตัวอยู่ในหัวของผม
พ่อกับแม่นั่งมองผืนนาที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ปีนี้ท่านไม่เหนื่อย เพราะมีผมกับน้องๆมาช่วยท่านเกี่ยวข้าว ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อกับแม่ในยามที่ท่านมองมัดข้าวที่เกี่ยวแล้ว ปีนี้ข้าวน่าจะได้เยอะเพราะนำท่ามันดี คงมีข้าวกินได้ตลอดทั้งปี ผมมองพ่อกับแม่พร้อมกับได้คำตอบสุดท้ายที่อยู่ในใจ "ผมจะกลับบ้านมาทำนา"
หลังจากได้คำตอบ "ผมจะกลับบ้านมาทำนา" ผมก็จัดแจงขอลาออกจากที่ทำงาน พร้อมกับบอกลาเพื่อนๆว่า ผมจะกลับบ้านที่ ตจว เพื่อถามว่าจะลาออกกลับบ้านไปทำอะไร? ผมบอกว่า "จะไปทำนา" เพื่อนบอกว่า "ไอ้โง่" ผมไม่ตอบโต้ใดๆมีแต่ยิ้มเท่านั้น แต่เป็นยิ้มที่ผมมีความสุขที่สุด มันสะบายใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
การตัดสินใจที่จะกลับบ้านที่ ตจว เป็นการตัดสินใจหันหลังให้เมืองกรุงแบบหากไม่จำเป็นจะไม่ขอก้าวย่างเข้าไปเป็นเด็ดขาด ขอใช้ชีวิตเป็นคน ตจว แบบเต็มตัว แต่ผมอยากจะบอกว่าวันแรกที่ย้ายตัวเองกลับมาอยู่นั้น มันรู้สึกแปลกๆ มันตื่นเต้นไปหมด จากคนที่ต้องตื่นเช้ามาไปทำงานค่ำลงก็กลับห้อง มาวันนี้ผมตื่นเช้ามาก็ตักบาตรกับแม่ กินข้าวเช้ากับพ่อแม่ เราได้คุยกัน เราได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น นี่คือความสุขที่ผมคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับมัน
จากคนที่เคยทำงานหากจะอยู่นิ่งๆก็คงเป็นไปไม่ได้ เลยคิดวางแผนที่จะหาอะไรสักอย่างทำดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะกว่าจะถึงน่าลงนาก้อีกนานเลยพยายามนึกว่าที่ผ่านมาตัวเองชอบอะไรแล้วเคยทำอะไรมาบ้างพอที่จะเอามาทำเป็นอาชีพได้บ้าง สุดท้ายผมเลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารเล็กๆในเมือง ทำเอง ไม่มีลูกจ้าง เสาร์อาทิตย์ก็ไปเรียนต่อปริญญาโท นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำหลังจากกลับมาอยู่บ้านที่ ตจว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมได้กลับมาอยู่ใกล้กับพ่อแม่ ได้มีโอกาสดูแลท่านยามแก่เฒ่า เพียงแค่นี้ผมก็พอใจและยอมแลกกับหน้าที่การงานและเงินเดือนสูง
ผมอยากให้ทุกท่าน หากมีโอกาส หากมีเวลา กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของท่านบ้างนะครับ ท่านรอพวกคุณอยู่ ได้ฟังเสียงได้พูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ไม่เท่ากับที่เราได้เจอหน้าท่านนะครับ หลายคนมีเวลาไปเที่ยวแต่ไม่มีเวลาให้พ่อกับแม่ เวลานั้นมีอยู่แล้วมันขึ้นอยู่กับว่าท่านจะกลับไปหาพ่อกับแม่หรือเปล่าก็เท่านั้นครับ