โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน
(ที่มา:มติชนรายวัน 13 มิ.ย.2556)
เมื่อกล่าวถึงเรื่องวิกฤตการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2540 และเรื่องคดีขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้ว
ผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว ทำไมจะต้องนำขึ้นมากล่าวถึงอีก
ทั้งนี้ก็เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวได้ให้บทเรียนกับประเทศไทยในหลายเรื่อง ที่คนไทยรุ่นหลังจะได้เรียนรู้ เพื่อจะได้ไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก
นอกจากนี้ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมาให้กับประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
เพราะได้สร้างหนี้สาธารณะให้กับประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.4 ล้านล้านบาท โดยไม่ได้พัฒนาประเทศทางด้านไหนเลย
อีกทั้งรัฐบาลไทยยังต้องชำระเงินจากงบประมาณ ปีละประมาณ 6 หมื่นล้านบาททุกปีมากว่าสิบปีแล้ว
เพื่อชำระดอกเบี้ยให้กับหนี้ก้อนนี้ ตามข้อตกลงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร้องขอให้รัฐบาลช่วยรับผิดชอบเรื่องดอกเบี้ย
โดย ธปท.จะขอรับผิดชอบเฉพาะเรื่องเงินต้น
แต่ ธปท.ไม่เคยชำระคืนเงินต้นเลย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ให้บทเรียนในหลายเรื่อง โดยบทเรียนแรกเป็นเรื่องวิสัยทัศน์ของผู้นำของประเทศ
ที่จะต้องปรับประเทศให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยปัญหาของประเทศไทยในช่วงนั้นเป็นปัญหาที่หมักหมมมานานแล้ว
โดยค่าเงินบาทในขณะนั้นมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่กับดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าที่แข็งเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศมาก
และเป็นมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่หลายรัฐบาลก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เฉพาะในสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ซึ่งแทนที่รัฐบาลก่อนหน้านี้จะได้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลงแต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวจะเสียความนิยม
จึงปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังต่อมา จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลพลเอกชวลิต ที่ไม่สามารถจะแบกรับค่าเงินที่แข็งค่ามากได้อีกต่อไป
เพราะค่าเงินบาทที่แข็งทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไม่สามารถส่งออกไปแข่งขันได้ ดังนั้นบทเรียนนี้จึงสอนให้รู้ว่า
ผู้นำที่ดีจะต้องมีวิสัยทัศน์เห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และจะต้องยินยอมทำเรื่องที่ไม่ถูกใจประชาชนบ้าง
เพื่อประโยชน์ในระยะยาวของประเทศ
ทั้งนี้รวมถึงเรื่องพลังงานที่เป็นปัญหาหมักหมมของประเทศนี้ด้วย
บทเรียนต่อมาเป็นเรื่องการสู้ค่าเงิน การที่ ธปท.นำเงินทุนสำรองของประเทศไปสู้กับกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่
ที่มาเก็งกำไรค่าเงินบาทในขณะนั้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องเสียเงินทุนสำรองไปทั้งหมด ข้อมูลและแนวคิดในการดำเนินการในขณะนั้น
ผู้ที่น่าจะทราบดีที่สุดคนหนึ่งคือท่านอดีต รมว.คลัง คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งขณะนั้นท่านทำงานที่ ธปท.
และมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องปริวรรตเงินตรานี้ โดยในเวลาต่อมา ได้มีการสัมภาษณ์ของผู้บริหารกองทุนข้ามชาติเหล่านี้
ให้คนไทยได้ช้ำใจเพิ่มเติมว่า เหมือนกับเหล่าหมาป่าที่เห็นแกะฝูงใหญ่ที่วิ่งออกมาให้เลือกกัดกินกันตามใจชอบ
ซึ่งทำให้เห็นภาพขณะนั้นได้ชัดเจน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีทางที่ประเทศไทยที่เงินสำรองในขณะนั้นจะไปสู้กับกองทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติได้
จึงไม่ทราบว่าในขณะนั้น ธปท.คิดกันอย่างไร
ทั้งนี้ต้องขอกล่าวถึงปัญหาของ ธปท.ในการตรวจสอบการบริหารงานของสถาบันการเงินหลายแห่งก่อนหน้านี้
ที่มีการปล่อยเงินกู้กันอย่างหละหลวมให้กับผู้ถือ
หุ้นและพรรคพวกของตนจนทำให้เกิดหนี้เสียจำนวนมาก จนทำให้ ธปท.ต้องเข้ายึดสถาบันการเงินหลายแห่งในขณะนั้น
ซึ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือของทั้งสถาบันการเงินของไทยและ ธปท. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นของปัญหา
และในปัจจุบัน ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหลายแห่งก็มีพฤติกรรมการปล่อยกู้ที่คล้ายคลึงกันตั้งแต่หลายปีก่อน
และมีปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ก็หวังว่า ธปท.จะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
บทเรียนที่สาม เป็นเรื่องของการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ควรจะเป็น
เพราะการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง ก็เท่ากับเป็นการตัดเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจที่อาศัยเงินกู้จากสถาบันการเงินเหล่านี้
จริงอยู่ที่ว่ามีธุรกิจเป็นจำนวนมากเป็นมีหนี้เสียกับสถาบันการเงินเหล่านี้ แต่ไม่ใช่ธุรกิจทั้งหมด
แต่เมื่อมีการปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว ทำให้ธุรกิจทั้งหมดทั้งที่เป็นหนี้ดีและหนี้เสียต้องกลายเป็นหนี้เสียทั้งหมด
ซึ่งหากมีการบริหารจัดการที่ดี หนี้เสียจะไม่มากถึงขนาดนั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเมื่อเกิดวิกฤตการณ์แล้วต้องใช้วิจารณญาณให้ดี
พิจารณาผลกระทบให้ครบในทุกด้าน
บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่มีการจัดตั้งและคัดเลือกผู้บริหารโดยรัฐบาลในขณะนั้น โดยมีการดำเนินการที่ผิดปกติหลายประการ ซึ่งถ้าให้อธิบายหมดคงต้องใช้เวลานาน ดังนั้นจึงขอกล่าวถึงเรื่องที่สำคัญหลักๆ เช่น
การจัดกองสินทรัพย์จำนวนอย่างต่ำ 5 พันล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อต้องการให้ต่างประเทศนำเงินจากต่างประเทศมาลงทุน
เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ล่มสลายขณะนั้นคงไม่มีคนไทยคนไหนสามารถจะหาเงินค้ำประกันจำนวนดังกล่าวได้
แต่ปรากฏว่าต่างประเทศไม่ได้นำเงินเข้ามาเลย แต่ใช้การระดมทุนในประเทศไทยเพื่อมาซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก
แล้วนำมาขายคืนให้กับคนไทยในราคาที่แพงและได้กำไรกันอย่างมหาศาล เหมือนกับเป็นการจับเสือมือเปล่า
แทนที่จะให้คนไทยได้มาเจรจาประนอมหนี้เองโดยอ้างว่าจะเป็นการเพาะนิสัยที่ไม่ดี (Moral Hazard)
แต่กลับปล่อยให้ต่างชาติตั้งโต๊ะเป็นตัวกลางกินส่วนต่างจากการประมูลซื้อสินทรัพย์และนำมาขายให้กับคนไทยกันเอง
โดยทรัพย์สินกว่า 8 แสนล้านบาท ถูกขายได้เพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น เพื่อนำไปทำกำไรต่อ
และที่แย่กว่านั้นและเป็นคดีที่มีการตัดสินแล้วคือการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ที่ประมูลได้ โดย ปรส.อนุญาตให้ผู้ประมูลได้นำกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาเซ็นสัญญาแทนชื่อผู้ที่ประมูลได้จริง ทั้งๆ ที่เลยกำหนดวันเซ็นสัญญาไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
จากกำไรมหาศาลนี้ โดยรัฐบาลในขณะนั้นได้มีการออกกฎหมายใหม่เพื่ออนุญาตให้ละเว้นภาษีเงินได้แก่กองทุนรวมเหล่านี้
แต่ขณะนั้นกฎหมายยังออกไม่เสร็จในช่วงที่มีการประมูล จึงมีการอนุญาตให้นำกองทุนรวมที่พึ่งตั้งใหม่นี้มาเซ็นสัญญาแทนได้
ทั้งที่เลยกำหนดเวลาไปแล้ว ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลในเบื้องลึกว่า
มีนักการเมืองหลายคนในรัฐบาลขณะนั้น มีส่วนร่วมในการดำเนินการนี้ โดยแอบไปลงทุนข้างหลังร่วมกับกองทุนรวมเหล่านี้
และได้ประโยชน์ไปอย่างมหาศาล
คำถามที่ค้างคาใจคือ ถ้าศาลตัดสินว่า ผู้บริหารของ ปรส.ที่ตั้งโดยรัฐบาลขณะนั้น มีความผิดที่ทำรัฐเสียหาย
โดยอนุญาตให้กองทุนรวมที่ตั้งใหม่และไม่ได้เป็นผู้ประมูลได้ เข้ามาเซ็นสัญญาแทนผู้ประมูลได้ ทั้งที่เลยเวลากำหนดแล้ว
เพื่อไม่ต้องเสียภาษี แล้วรัฐบาลที่ออกกฎหมายใหม่ให้เว้นภาษีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกองทุนรวมเหล่านี้
และอาจจะมีการสั่งให้ ปรส.อนุญาตให้ใช้กองทุนรวมที่ตั้งใหม่นี้เซ็นสัญญาได้จะมีความผิดด้วยหรือไม่
นี่นับเป็นเพียงเรื่องเดียวในอีกหลายเรื่องที่มีดำเนินการที่ผิดปกติของ ปรส.
นับเป็นเรื่องที่ดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมายืนยันว่า
คดี ปรส.นี้ยังไม่หมดอายุ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะไม่ปล่อยให้หมดอายุโดยไม่ได้มีการพิจารณา
โดยหากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบย้อนหลังกันอย่างจริงจังแล้ว ก็น่าจะทราบได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่ได้ประโยชน์อย่างมากในเรื่องนี้
ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางการเงินในระดับสูง
บทเรียนนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดและยากที่จะให้อภัยกันได้ เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะล่มสลาย
ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งมาหาประโยชน์โดยการร่วมมือกับต่างประเทศ
ในการนำซากปรักหักพังของประเทศไปหากินบนความทุกข์ของคนทั้งประเทศ
คอร์รัปชั่นที่ว่าเลวร้ายมากแล้ว ยังเทียบไม่ได้เลยกับความเลวร้ายของเรื่องนี้
และก็หวังว่าคนไทยทุกคนจะจำทุกบทเรียนของเหตุการณ์นี้เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
คดี ปรส. บทเรียนประเทศไทย
(ที่มา:มติชนรายวัน 13 มิ.ย.2556)
เมื่อกล่าวถึงเรื่องวิกฤตการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2540 และเรื่องคดีขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้ว
ผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว ทำไมจะต้องนำขึ้นมากล่าวถึงอีก
ทั้งนี้ก็เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวได้ให้บทเรียนกับประเทศไทยในหลายเรื่อง ที่คนไทยรุ่นหลังจะได้เรียนรู้ เพื่อจะได้ไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก
นอกจากนี้ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมาให้กับประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
เพราะได้สร้างหนี้สาธารณะให้กับประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.4 ล้านล้านบาท โดยไม่ได้พัฒนาประเทศทางด้านไหนเลย
อีกทั้งรัฐบาลไทยยังต้องชำระเงินจากงบประมาณ ปีละประมาณ 6 หมื่นล้านบาททุกปีมากว่าสิบปีแล้ว
เพื่อชำระดอกเบี้ยให้กับหนี้ก้อนนี้ ตามข้อตกลงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร้องขอให้รัฐบาลช่วยรับผิดชอบเรื่องดอกเบี้ย
โดย ธปท.จะขอรับผิดชอบเฉพาะเรื่องเงินต้น
แต่ ธปท.ไม่เคยชำระคืนเงินต้นเลย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ให้บทเรียนในหลายเรื่อง โดยบทเรียนแรกเป็นเรื่องวิสัยทัศน์ของผู้นำของประเทศ
ที่จะต้องปรับประเทศให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยปัญหาของประเทศไทยในช่วงนั้นเป็นปัญหาที่หมักหมมมานานแล้ว
โดยค่าเงินบาทในขณะนั้นมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่กับดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าที่แข็งเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศมาก
และเป็นมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่หลายรัฐบาลก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เฉพาะในสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ซึ่งแทนที่รัฐบาลก่อนหน้านี้จะได้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลงแต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวจะเสียความนิยม
จึงปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังต่อมา จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลพลเอกชวลิต ที่ไม่สามารถจะแบกรับค่าเงินที่แข็งค่ามากได้อีกต่อไป
เพราะค่าเงินบาทที่แข็งทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไม่สามารถส่งออกไปแข่งขันได้ ดังนั้นบทเรียนนี้จึงสอนให้รู้ว่า
ผู้นำที่ดีจะต้องมีวิสัยทัศน์เห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และจะต้องยินยอมทำเรื่องที่ไม่ถูกใจประชาชนบ้าง
เพื่อประโยชน์ในระยะยาวของประเทศ
ทั้งนี้รวมถึงเรื่องพลังงานที่เป็นปัญหาหมักหมมของประเทศนี้ด้วย
บทเรียนต่อมาเป็นเรื่องการสู้ค่าเงิน การที่ ธปท.นำเงินทุนสำรองของประเทศไปสู้กับกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่
ที่มาเก็งกำไรค่าเงินบาทในขณะนั้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องเสียเงินทุนสำรองไปทั้งหมด ข้อมูลและแนวคิดในการดำเนินการในขณะนั้น
ผู้ที่น่าจะทราบดีที่สุดคนหนึ่งคือท่านอดีต รมว.คลัง คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งขณะนั้นท่านทำงานที่ ธปท.
และมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องปริวรรตเงินตรานี้ โดยในเวลาต่อมา ได้มีการสัมภาษณ์ของผู้บริหารกองทุนข้ามชาติเหล่านี้
ให้คนไทยได้ช้ำใจเพิ่มเติมว่า เหมือนกับเหล่าหมาป่าที่เห็นแกะฝูงใหญ่ที่วิ่งออกมาให้เลือกกัดกินกันตามใจชอบ
ซึ่งทำให้เห็นภาพขณะนั้นได้ชัดเจน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีทางที่ประเทศไทยที่เงินสำรองในขณะนั้นจะไปสู้กับกองทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติได้
จึงไม่ทราบว่าในขณะนั้น ธปท.คิดกันอย่างไร
ทั้งนี้ต้องขอกล่าวถึงปัญหาของ ธปท.ในการตรวจสอบการบริหารงานของสถาบันการเงินหลายแห่งก่อนหน้านี้
ที่มีการปล่อยเงินกู้กันอย่างหละหลวมให้กับผู้ถือ
หุ้นและพรรคพวกของตนจนทำให้เกิดหนี้เสียจำนวนมาก จนทำให้ ธปท.ต้องเข้ายึดสถาบันการเงินหลายแห่งในขณะนั้น
ซึ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือของทั้งสถาบันการเงินของไทยและ ธปท. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นของปัญหา
และในปัจจุบัน ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหลายแห่งก็มีพฤติกรรมการปล่อยกู้ที่คล้ายคลึงกันตั้งแต่หลายปีก่อน
และมีปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ก็หวังว่า ธปท.จะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
บทเรียนที่สาม เป็นเรื่องของการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ควรจะเป็น
เพราะการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง ก็เท่ากับเป็นการตัดเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจที่อาศัยเงินกู้จากสถาบันการเงินเหล่านี้
จริงอยู่ที่ว่ามีธุรกิจเป็นจำนวนมากเป็นมีหนี้เสียกับสถาบันการเงินเหล่านี้ แต่ไม่ใช่ธุรกิจทั้งหมด
แต่เมื่อมีการปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว ทำให้ธุรกิจทั้งหมดทั้งที่เป็นหนี้ดีและหนี้เสียต้องกลายเป็นหนี้เสียทั้งหมด
ซึ่งหากมีการบริหารจัดการที่ดี หนี้เสียจะไม่มากถึงขนาดนั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเมื่อเกิดวิกฤตการณ์แล้วต้องใช้วิจารณญาณให้ดี
พิจารณาผลกระทบให้ครบในทุกด้าน
บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่มีการจัดตั้งและคัดเลือกผู้บริหารโดยรัฐบาลในขณะนั้น โดยมีการดำเนินการที่ผิดปกติหลายประการ ซึ่งถ้าให้อธิบายหมดคงต้องใช้เวลานาน ดังนั้นจึงขอกล่าวถึงเรื่องที่สำคัญหลักๆ เช่น
การจัดกองสินทรัพย์จำนวนอย่างต่ำ 5 พันล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อต้องการให้ต่างประเทศนำเงินจากต่างประเทศมาลงทุน
เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ล่มสลายขณะนั้นคงไม่มีคนไทยคนไหนสามารถจะหาเงินค้ำประกันจำนวนดังกล่าวได้
แต่ปรากฏว่าต่างประเทศไม่ได้นำเงินเข้ามาเลย แต่ใช้การระดมทุนในประเทศไทยเพื่อมาซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก
แล้วนำมาขายคืนให้กับคนไทยในราคาที่แพงและได้กำไรกันอย่างมหาศาล เหมือนกับเป็นการจับเสือมือเปล่า
แทนที่จะให้คนไทยได้มาเจรจาประนอมหนี้เองโดยอ้างว่าจะเป็นการเพาะนิสัยที่ไม่ดี (Moral Hazard)
แต่กลับปล่อยให้ต่างชาติตั้งโต๊ะเป็นตัวกลางกินส่วนต่างจากการประมูลซื้อสินทรัพย์และนำมาขายให้กับคนไทยกันเอง
โดยทรัพย์สินกว่า 8 แสนล้านบาท ถูกขายได้เพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น เพื่อนำไปทำกำไรต่อ
และที่แย่กว่านั้นและเป็นคดีที่มีการตัดสินแล้วคือการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ที่ประมูลได้ โดย ปรส.อนุญาตให้ผู้ประมูลได้นำกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาเซ็นสัญญาแทนชื่อผู้ที่ประมูลได้จริง ทั้งๆ ที่เลยกำหนดวันเซ็นสัญญาไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
จากกำไรมหาศาลนี้ โดยรัฐบาลในขณะนั้นได้มีการออกกฎหมายใหม่เพื่ออนุญาตให้ละเว้นภาษีเงินได้แก่กองทุนรวมเหล่านี้
แต่ขณะนั้นกฎหมายยังออกไม่เสร็จในช่วงที่มีการประมูล จึงมีการอนุญาตให้นำกองทุนรวมที่พึ่งตั้งใหม่นี้มาเซ็นสัญญาแทนได้
ทั้งที่เลยกำหนดเวลาไปแล้ว ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลในเบื้องลึกว่า
มีนักการเมืองหลายคนในรัฐบาลขณะนั้น มีส่วนร่วมในการดำเนินการนี้ โดยแอบไปลงทุนข้างหลังร่วมกับกองทุนรวมเหล่านี้
และได้ประโยชน์ไปอย่างมหาศาล
คำถามที่ค้างคาใจคือ ถ้าศาลตัดสินว่า ผู้บริหารของ ปรส.ที่ตั้งโดยรัฐบาลขณะนั้น มีความผิดที่ทำรัฐเสียหาย
โดยอนุญาตให้กองทุนรวมที่ตั้งใหม่และไม่ได้เป็นผู้ประมูลได้ เข้ามาเซ็นสัญญาแทนผู้ประมูลได้ ทั้งที่เลยเวลากำหนดแล้ว
เพื่อไม่ต้องเสียภาษี แล้วรัฐบาลที่ออกกฎหมายใหม่ให้เว้นภาษีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกองทุนรวมเหล่านี้
และอาจจะมีการสั่งให้ ปรส.อนุญาตให้ใช้กองทุนรวมที่ตั้งใหม่นี้เซ็นสัญญาได้จะมีความผิดด้วยหรือไม่
นี่นับเป็นเพียงเรื่องเดียวในอีกหลายเรื่องที่มีดำเนินการที่ผิดปกติของ ปรส.
นับเป็นเรื่องที่ดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมายืนยันว่า
คดี ปรส.นี้ยังไม่หมดอายุ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะไม่ปล่อยให้หมดอายุโดยไม่ได้มีการพิจารณา
โดยหากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบย้อนหลังกันอย่างจริงจังแล้ว ก็น่าจะทราบได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่ได้ประโยชน์อย่างมากในเรื่องนี้
ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางการเงินในระดับสูง
บทเรียนนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดและยากที่จะให้อภัยกันได้ เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะล่มสลาย
ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งมาหาประโยชน์โดยการร่วมมือกับต่างประเทศ
ในการนำซากปรักหักพังของประเทศไปหากินบนความทุกข์ของคนทั้งประเทศ
คอร์รัปชั่นที่ว่าเลวร้ายมากแล้ว ยังเทียบไม่ได้เลยกับความเลวร้ายของเรื่องนี้
และก็หวังว่าคนไทยทุกคนจะจำทุกบทเรียนของเหตุการณ์นี้เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก