เราสวดมนต์กันมาก สวดถูกบ้างผิดบ้าง สวดสิ่งที่ควรสวดบ้าง ไม่ควรสวดบ้าง เพราะความไม่รู้ แล้วแต่ผู้ที่เคารพนับถือ
จะแนะนำให้สวดอะไร ก็มักจะสวดกันไป โดยไม่รู้ความหมายด้วย บางทีก็ใช้เวลานานและยากที่จะจำ แต่ว่าเชื่อ มีศรัทธา
ในบทสวดมนต์ว่าขลังและศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะบันดาลประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ต้องการให้ได้ตามคำโฆษณาที่เขาเขียนเอา
ไว้บ้างพูดเอาไว้บ้าง ในหนังสือสวดมนต์นั้น ๆ ก็มี
การสวดมนต์เป็น “วิธีการ” อันหนึ่งในการทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ “พิธีการ” วิธีการกับพิธีการไม่เหมือนกัน เดี๋ยวจะอธิบาย
การสวดมนต์ เป็นวิธีการอันหนึ่งในการทำจิตให้สงบ เป็นบริกรรมสมาธิ ถ้าจุดมุ่งหมายอันนี้ จะสวดอะไรก็ได้ เพื่อให้จิตสงบ
คือทำสมาธิโดยวิธีบริกรรม หมายถึง สวดเบา ๆ สิ้นมนต์ไปบทหนึ่ง ๆ ว่าซ้ำ ๆ จนจิตใจจดจ่ออยู่กับบทนั้น ไม่วอกแวกไปที่อื่น
จะสวดบทเดียวหรือหลายบทก็ได้ ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับบทสวดเป็นใช้ได้ เหมือนท่องหนังสือ หรือท่องสูตรคูณ
ตัวอย่างที่นิยมสวดกันทั้งฝ่ายพระ ฝ่ายฆราวาส และเป็นบทที่ดี เช่น บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิโส ภควา
ถ้าเราสวดคนเดียว ต้องการให้เป็นสมาธิ ก็สวดเบา ๆ สวดกลับไปกลับมา ๒๐-๓๐ เที่ยวก็ได้
เดิมทีเดียว คำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้จารึกลงเป็นตัวอักษรในใบลาน พระสาวกนำพาพระพุทธพจน์มาโดยการถ่ายทอด
จากอาจารย์ไปยังศิษย์โดยการท่องจำ ท่องเป็นกลุ่ม ๆ และช่วยกันจำ ถ้าเป็นหนังสือสมัยนี้ก็เรียกว่าท่องกันเป็นเล่ม ๆ สมัยก่อน
นี้เขาบอกกันให้จำ เขาเรียกว่าไปต่อหนังสือ
บางทีวัดหนึ่งก็มีหนังสืออยู่เล่มเดียวที่กุฏิเจ้าอาวาส ลูกศิษย์ไม่มีหนังสือ ลูกศิษย์ก็ต้องไปต่อหนังสือ คืนนี้ได้แค่นี้ พออีกคืนหนึ่ง
ก็ไปต่อ อาจารย์ก็ว่านำ ลูกศิษย์ก็ว่าตาม ท่องจำ ก็จำกันได้เป็นเล่ม สวดมนต์ฉบับหลวงเล่มใหญ่ ๔๐๐-๕๐๐ หน้า บางคนก็จำ
ได้หมด ท่องหลายปี ท่องไปเรื่อย ๆ เพราะว่าบวชอยู่เรื่อย ๆ
คนที่ไม่ได้บวช หรือว่าสึกแล้ว แต่ว่ายังมีฉันทะยังมีศรัทธา ยังอุตสาหะในการที่จะท่องจำ ก็ท่องต่อไปเรื่อย ๆ ก็จำได้เยอะ จำได้
มากอย่างไม่น่าจะจำได้ เป็นที่ประหลาดใจของคนที่ได้ยินได้ฟังว่าจำได้อย่างไร ไม่มีเทคนิคลี้ลับอะไรหรอก เพียงแต่ว่ามีฉันทะ
อุตสาหะในการท่องเท่านั้น ไปเห็นอะไรดี ๆ ก็ท่องเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์กับการสวดบ้าง เพื่อการเพ่งพินิจเนื้อความบ้าง ท่อง
จำแล้วก็ง่ายกับการที่จะเพ่งพินิจเนื้อความ
เพราะฉะนั้น ในองค์ของพหูสูต ท่านจึงมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ธตา จำได้ วจสา ปริจิตา ว่าได้คล่องปาก มนสานุเปกฺขิตา เพ่งพินิจในใจ
เอาใจไปเพ่งพินิจเนื้อความ ว่าเนื้อความนี้มีความหมายอย่างใด ไม่ต้องไปเปิดหนังสือก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ
การท่องจำพระพุทธพจน์นั่นเอง ก็กลายมาเป็นบทสวดมนต์ในภายหลัง
บทสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็น ส่วนมากแต่งขึ้นในภายหลัง พระท่านก็จะสวดเหมือนกัน สวดเป็นบทต้น ๆ พอไปกลาง ๆ พระ
ท่านจะสวดพระพุทธพจน์ เช่น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ธรรมนิยามสูตร โลกธรรมสูตร
อะไรที่มีเนื้อธรรมดี ๆ ท่านจะสวดหลัง ๆ ของการสวดมนต์
ท่านลองเทียบดูกับการสวดปาติโมกข์ก็ได้ คือเป็นการท่องวินัย ๒๒๗ ข้อ ท่ามกลางสงฆ์ทุก ๑๕ วัน ต้องท่องเร็วมากเลย
มีผู้ทบทวนอยู่ข้างธรรมมาสน์ องค์ที่สวดก็พนมมือ ไม่มองใคร สวดเรื่อยไป ส่วนมากโดยเฉลี่ยก็ ๔๕ นาทีถึงจะจบ จบแล้ว
ก็เหนื่อย เพราะว่าสวดไม่หยุดเลย เร็วด้วย เร็วกว่าสวดมนต์
เมื่อก่อนนี้ท่านสวดพร้อมกัน และรู้ความหมาย เพราะเป็นภาษาของท่านเอง ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนามาอยู่ในเมืองไทย
เราก็สวดเพื่อจะรักษาธรรมเนียมเดิมเอาไว้ นี่หมายถึงการสวดมนต์นะครับ แต่ส่วนมากไม่รู้ความหมายว่าสวดอะไร เพราะ
ไม่ใช่ภาษาของเรา และก็ไม่ได้เรียน ไม่เข้าใจ การสวดปาติโมกข์จึงกลายเป็นพิธีการ ไม่ใช่วิธีการ เป็นพิธีการ พิธีกรรม
โดยที่ผู้สวดก็ไม่รู้เนื้อความ ผู้ฟังก็ไม่รู้เนื้อความ แต่ว่าต้องสวดเป็นพิธีการ หรือเป็นวินัยบัญญัติว่าต้องสวดปาติโมกข์ หรือ
ทบทวนวินัยทุก ๑๕ วัน
เมื่อก่อนนี้ ท่านฟังไป ๆ ท่านรู้เรื่อง ถ้าพระองค์ไหนท่านรู้ว่าต้องอาบัติอะไร ก็สะกิดเพื่อนมา ไปปลงอาบัติใกล้ ๆ นั้นเอง
และผู้ที่สวดก็ต้องหยุดสวด
แต่ว่าเวลานี้ ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าปลงอาบัติกันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วค่อยเข้าไปฟังปาติโมกข์
สวดมนต์เพื่ออะไร ?
จะแนะนำให้สวดอะไร ก็มักจะสวดกันไป โดยไม่รู้ความหมายด้วย บางทีก็ใช้เวลานานและยากที่จะจำ แต่ว่าเชื่อ มีศรัทธา
ในบทสวดมนต์ว่าขลังและศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะบันดาลประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ต้องการให้ได้ตามคำโฆษณาที่เขาเขียนเอา
ไว้บ้างพูดเอาไว้บ้าง ในหนังสือสวดมนต์นั้น ๆ ก็มี
การสวดมนต์เป็น “วิธีการ” อันหนึ่งในการทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ “พิธีการ” วิธีการกับพิธีการไม่เหมือนกัน เดี๋ยวจะอธิบาย
การสวดมนต์ เป็นวิธีการอันหนึ่งในการทำจิตให้สงบ เป็นบริกรรมสมาธิ ถ้าจุดมุ่งหมายอันนี้ จะสวดอะไรก็ได้ เพื่อให้จิตสงบ
คือทำสมาธิโดยวิธีบริกรรม หมายถึง สวดเบา ๆ สิ้นมนต์ไปบทหนึ่ง ๆ ว่าซ้ำ ๆ จนจิตใจจดจ่ออยู่กับบทนั้น ไม่วอกแวกไปที่อื่น
จะสวดบทเดียวหรือหลายบทก็ได้ ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับบทสวดเป็นใช้ได้ เหมือนท่องหนังสือ หรือท่องสูตรคูณ
ตัวอย่างที่นิยมสวดกันทั้งฝ่ายพระ ฝ่ายฆราวาส และเป็นบทที่ดี เช่น บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิโส ภควา
ถ้าเราสวดคนเดียว ต้องการให้เป็นสมาธิ ก็สวดเบา ๆ สวดกลับไปกลับมา ๒๐-๓๐ เที่ยวก็ได้
เดิมทีเดียว คำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้จารึกลงเป็นตัวอักษรในใบลาน พระสาวกนำพาพระพุทธพจน์มาโดยการถ่ายทอด
จากอาจารย์ไปยังศิษย์โดยการท่องจำ ท่องเป็นกลุ่ม ๆ และช่วยกันจำ ถ้าเป็นหนังสือสมัยนี้ก็เรียกว่าท่องกันเป็นเล่ม ๆ สมัยก่อน
นี้เขาบอกกันให้จำ เขาเรียกว่าไปต่อหนังสือ
บางทีวัดหนึ่งก็มีหนังสืออยู่เล่มเดียวที่กุฏิเจ้าอาวาส ลูกศิษย์ไม่มีหนังสือ ลูกศิษย์ก็ต้องไปต่อหนังสือ คืนนี้ได้แค่นี้ พออีกคืนหนึ่ง
ก็ไปต่อ อาจารย์ก็ว่านำ ลูกศิษย์ก็ว่าตาม ท่องจำ ก็จำกันได้เป็นเล่ม สวดมนต์ฉบับหลวงเล่มใหญ่ ๔๐๐-๕๐๐ หน้า บางคนก็จำ
ได้หมด ท่องหลายปี ท่องไปเรื่อย ๆ เพราะว่าบวชอยู่เรื่อย ๆ
คนที่ไม่ได้บวช หรือว่าสึกแล้ว แต่ว่ายังมีฉันทะยังมีศรัทธา ยังอุตสาหะในการที่จะท่องจำ ก็ท่องต่อไปเรื่อย ๆ ก็จำได้เยอะ จำได้
มากอย่างไม่น่าจะจำได้ เป็นที่ประหลาดใจของคนที่ได้ยินได้ฟังว่าจำได้อย่างไร ไม่มีเทคนิคลี้ลับอะไรหรอก เพียงแต่ว่ามีฉันทะ
อุตสาหะในการท่องเท่านั้น ไปเห็นอะไรดี ๆ ก็ท่องเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์กับการสวดบ้าง เพื่อการเพ่งพินิจเนื้อความบ้าง ท่อง
จำแล้วก็ง่ายกับการที่จะเพ่งพินิจเนื้อความ
เพราะฉะนั้น ในองค์ของพหูสูต ท่านจึงมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ธตา จำได้ วจสา ปริจิตา ว่าได้คล่องปาก มนสานุเปกฺขิตา เพ่งพินิจในใจ
เอาใจไปเพ่งพินิจเนื้อความ ว่าเนื้อความนี้มีความหมายอย่างใด ไม่ต้องไปเปิดหนังสือก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ
การท่องจำพระพุทธพจน์นั่นเอง ก็กลายมาเป็นบทสวดมนต์ในภายหลัง
บทสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็น ส่วนมากแต่งขึ้นในภายหลัง พระท่านก็จะสวดเหมือนกัน สวดเป็นบทต้น ๆ พอไปกลาง ๆ พระ
ท่านจะสวดพระพุทธพจน์ เช่น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ธรรมนิยามสูตร โลกธรรมสูตร
อะไรที่มีเนื้อธรรมดี ๆ ท่านจะสวดหลัง ๆ ของการสวดมนต์
ท่านลองเทียบดูกับการสวดปาติโมกข์ก็ได้ คือเป็นการท่องวินัย ๒๒๗ ข้อ ท่ามกลางสงฆ์ทุก ๑๕ วัน ต้องท่องเร็วมากเลย
มีผู้ทบทวนอยู่ข้างธรรมมาสน์ องค์ที่สวดก็พนมมือ ไม่มองใคร สวดเรื่อยไป ส่วนมากโดยเฉลี่ยก็ ๔๕ นาทีถึงจะจบ จบแล้ว
ก็เหนื่อย เพราะว่าสวดไม่หยุดเลย เร็วด้วย เร็วกว่าสวดมนต์
เมื่อก่อนนี้ท่านสวดพร้อมกัน และรู้ความหมาย เพราะเป็นภาษาของท่านเอง ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนามาอยู่ในเมืองไทย
เราก็สวดเพื่อจะรักษาธรรมเนียมเดิมเอาไว้ นี่หมายถึงการสวดมนต์นะครับ แต่ส่วนมากไม่รู้ความหมายว่าสวดอะไร เพราะ
ไม่ใช่ภาษาของเรา และก็ไม่ได้เรียน ไม่เข้าใจ การสวดปาติโมกข์จึงกลายเป็นพิธีการ ไม่ใช่วิธีการ เป็นพิธีการ พิธีกรรม
โดยที่ผู้สวดก็ไม่รู้เนื้อความ ผู้ฟังก็ไม่รู้เนื้อความ แต่ว่าต้องสวดเป็นพิธีการ หรือเป็นวินัยบัญญัติว่าต้องสวดปาติโมกข์ หรือ
ทบทวนวินัยทุก ๑๕ วัน
เมื่อก่อนนี้ ท่านฟังไป ๆ ท่านรู้เรื่อง ถ้าพระองค์ไหนท่านรู้ว่าต้องอาบัติอะไร ก็สะกิดเพื่อนมา ไปปลงอาบัติใกล้ ๆ นั้นเอง
และผู้ที่สวดก็ต้องหยุดสวด
แต่ว่าเวลานี้ ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าปลงอาบัติกันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วค่อยเข้าไปฟังปาติโมกข์