สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
(ขอโทษครูและคนเรียนครุศาสตร์ทุกท่านไว้ก่อน)
สิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อจากนี้เป็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" เท่านั้น ไม่มีเจตนาเหมารวมแต่อย่างใด และเป็นประสบการณ์อันมีเจตคติส่วนตัวผสมรวมอยู่ด้วย
สมัยผมยังเรียนอยู่ปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ (ม.หนึ่งกลางสยาม) มีบางวิชาที่มีเด็กครุศาสตร์มาเรียนด้วย เป็นพวกครุที่จะไปเป็นครูสอนวิทย์นี่แหละ
ผมพบว่าลักษณะการเรียนและศึกษาฟิสิกส์ของผมและผองเพื่อน กับเด็กครุต่างกันมากเลยทีเดียว
ฝั่งผม เด็กวิทยา จริงๆเป็นพวกเด็กนิสัยแปลกสำหรับวิทยาด้วยมั้ง จะเป็นพวกสนใจประเด็นเล็กประเด็นน้อยที่โผล่ๆมาระหว่างการสอน การพิสูจน์ และความหมายของสมการที่ออกมา
พวกผมจะดึ่มด่ำไปกับแนวคิดที่อยู่ในทฤษฎีหนึ่งๆ ส่วนใหญ่จะนั่งดูการ proof และมาคุยกันหลังเรียน
ปัญหาอยู่ที่ถ้าจดจะตามแนวคิดไม่ทัน ถ้าฟังอาจรู้เรื่อง แต่ผ่านๆไปจนใกล้สอบไม่มีอะไรให้อ่าน + ลืมอีก เอิ๊ก
เรื่องการบ้าน ระเบียบในการจดนี่อย่าพูดถึง กลุ่มผมรวมถึงผมด้วยไม่ค่อยจะแคร์งานที่ได้มาเท่าไหร่ โดยเฉพาะโจทย์ซ้ำๆ
เด็กครุต่างกันมาก พวกเขาเป็นเด็กขยันเอามากๆ ตั้งใจเรียนแทบไม่วอกแวก จดแลคเชอร์ได้ครบสมบูรณ์ แบ่งส่วนก็ดี ลายมือสวยซะด้วย
กับผมพวกเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ "รูปแบบ" ที่ตายตัวมากเลย
แต่ผลการสอบ พูดแบบเข้าใจง่ายเลยก็คือพวกเขาเป็นฐานให้พวกผมอ่ะนะ.... เพราะข้อสอบฟิสิกส์ยิ่งโดยเฉพาะของมหาลัยเป็นข้อสอบที่วัดแนวคิดมากกว่าท่องจำ พวกผมเลยถนัดกว่า
ส่วนตัว การเรียนวิชาฟิสิกส์การเรียนแบบท่องจำ ท่องสูตร แทนสูตร เป็นการเรียนที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
อาจารย์ยุคเก่าและครูมัธยมจำนวนมากยังคงสอนด้วยวิธีแบบนั้น ย้อนกลับไปได้ไกลถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ผม สิ่งนี้ทำให้รากฐานทางวิทยาศาสตร์ประเทศเราไม่แน่น และวิทยาศาสตร์กลับกลายเป็นเรื่องไกลตัว กลายเป็นสิ่งที่เรียนเพื่อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้ไปแทน
เพื่อนผมคนนึงหลับจบ มันลองไปสอนเป็นครูมัธยม หลังจากนั้น 6 เดือนมันก็ออกมาสอนพิเศษ (เดิมสอนพิเศษก่อนอยู่แล้ว) บ่นให้ฟังใหญ่
ระเบียบวุ่นวายของการเป็นครู จุดประสงค์การสอน สังคมครูในโรงเรียน แผนงานต่างๆ บลาๆ ทำให้เพื่อนผมแทบไม่มีเวลาไปสนใจการสอนเพื่อให้เด็กเข้าใจ
บางทีมีขอเรียกสอนรายบุคคล เด็กก็ไม่มากัน และท้ายสุดก็สอบตกกัน วุ่นวายกันถึงโรงเรียนเพราะผู้ปกครองไม่ยอม เขาเลยต้องให้ผ่านไป (ผมดูข้อสอบแล้ว มันเป็นข้อสอบเชิงแนวคิดที่ตรงไปตรงมามาก ไม่ต้องคิดเลข แค่เข้าใจนิยามก็ตอบได้)
ที่บ่นๆมานี่ไม่รู้จะสรุปยังไงดี
เอาเป็นว่าจริง ผมยอมรับว่ามีครูที่สอนไม่ดี ผมก็เจอมากับตัวตั้งแต่มัธยมถึงมหาลัย
เด็กที่ไม่เอาจริงๆก็มีอยู่เช่นกัน เนื่องจากพื้นฐานมีปัญหามาตั้งแต่ระดับต้นๆ
รูปแบบทางราชการของการศึกษาไทยก็ขัดขวางการเสริมการเรียนรู้ให้เด็กอย่างรุนแรง การเปลี่ยนแปลงเกิดบ่อยและไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
เราควรโทษใครดี? ไม่รู้สิผมไม่แน่ใจ ผมรู้แค่ว่าระบบการศึกษาของเรายังคงล้มเหลว แม้เราจะใช้คำว่า "ปฏิรูป" มาแล้วหลายทีก็ตาม
อีกประเด็นที่ผมแปลกใจคือผมและเพื่อนหลายคนหลุดมาจากวงจรสายบังคับแปลกๆนั่นได้ไง
อาจเป็นเพราะชีวิตสุดวิบากของผมวัยเด็กก็ได้มั้ง
เอ้ย เริ่มไม่เกี่ยวละ ตัดจบๆ
สรุปท้ายสุด ผมมาบ่นเฉยๆ ไม่ต้องสนใจครับ 555
สิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อจากนี้เป็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" เท่านั้น ไม่มีเจตนาเหมารวมแต่อย่างใด และเป็นประสบการณ์อันมีเจตคติส่วนตัวผสมรวมอยู่ด้วย
สมัยผมยังเรียนอยู่ปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ (ม.หนึ่งกลางสยาม) มีบางวิชาที่มีเด็กครุศาสตร์มาเรียนด้วย เป็นพวกครุที่จะไปเป็นครูสอนวิทย์นี่แหละ
ผมพบว่าลักษณะการเรียนและศึกษาฟิสิกส์ของผมและผองเพื่อน กับเด็กครุต่างกันมากเลยทีเดียว
ฝั่งผม เด็กวิทยา จริงๆเป็นพวกเด็กนิสัยแปลกสำหรับวิทยาด้วยมั้ง จะเป็นพวกสนใจประเด็นเล็กประเด็นน้อยที่โผล่ๆมาระหว่างการสอน การพิสูจน์ และความหมายของสมการที่ออกมา
พวกผมจะดึ่มด่ำไปกับแนวคิดที่อยู่ในทฤษฎีหนึ่งๆ ส่วนใหญ่จะนั่งดูการ proof และมาคุยกันหลังเรียน
ปัญหาอยู่ที่ถ้าจดจะตามแนวคิดไม่ทัน ถ้าฟังอาจรู้เรื่อง แต่ผ่านๆไปจนใกล้สอบไม่มีอะไรให้อ่าน + ลืมอีก เอิ๊ก
เรื่องการบ้าน ระเบียบในการจดนี่อย่าพูดถึง กลุ่มผมรวมถึงผมด้วยไม่ค่อยจะแคร์งานที่ได้มาเท่าไหร่ โดยเฉพาะโจทย์ซ้ำๆ
เด็กครุต่างกันมาก พวกเขาเป็นเด็กขยันเอามากๆ ตั้งใจเรียนแทบไม่วอกแวก จดแลคเชอร์ได้ครบสมบูรณ์ แบ่งส่วนก็ดี ลายมือสวยซะด้วย
กับผมพวกเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ "รูปแบบ" ที่ตายตัวมากเลย
แต่ผลการสอบ พูดแบบเข้าใจง่ายเลยก็คือพวกเขาเป็นฐานให้พวกผมอ่ะนะ.... เพราะข้อสอบฟิสิกส์ยิ่งโดยเฉพาะของมหาลัยเป็นข้อสอบที่วัดแนวคิดมากกว่าท่องจำ พวกผมเลยถนัดกว่า
ส่วนตัว การเรียนวิชาฟิสิกส์การเรียนแบบท่องจำ ท่องสูตร แทนสูตร เป็นการเรียนที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
อาจารย์ยุคเก่าและครูมัธยมจำนวนมากยังคงสอนด้วยวิธีแบบนั้น ย้อนกลับไปได้ไกลถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ผม สิ่งนี้ทำให้รากฐานทางวิทยาศาสตร์ประเทศเราไม่แน่น และวิทยาศาสตร์กลับกลายเป็นเรื่องไกลตัว กลายเป็นสิ่งที่เรียนเพื่อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้ไปแทน
เพื่อนผมคนนึงหลับจบ มันลองไปสอนเป็นครูมัธยม หลังจากนั้น 6 เดือนมันก็ออกมาสอนพิเศษ (เดิมสอนพิเศษก่อนอยู่แล้ว) บ่นให้ฟังใหญ่
ระเบียบวุ่นวายของการเป็นครู จุดประสงค์การสอน สังคมครูในโรงเรียน แผนงานต่างๆ บลาๆ ทำให้เพื่อนผมแทบไม่มีเวลาไปสนใจการสอนเพื่อให้เด็กเข้าใจ
บางทีมีขอเรียกสอนรายบุคคล เด็กก็ไม่มากัน และท้ายสุดก็สอบตกกัน วุ่นวายกันถึงโรงเรียนเพราะผู้ปกครองไม่ยอม เขาเลยต้องให้ผ่านไป (ผมดูข้อสอบแล้ว มันเป็นข้อสอบเชิงแนวคิดที่ตรงไปตรงมามาก ไม่ต้องคิดเลข แค่เข้าใจนิยามก็ตอบได้)
ที่บ่นๆมานี่ไม่รู้จะสรุปยังไงดี
เอาเป็นว่าจริง ผมยอมรับว่ามีครูที่สอนไม่ดี ผมก็เจอมากับตัวตั้งแต่มัธยมถึงมหาลัย
เด็กที่ไม่เอาจริงๆก็มีอยู่เช่นกัน เนื่องจากพื้นฐานมีปัญหามาตั้งแต่ระดับต้นๆ
รูปแบบทางราชการของการศึกษาไทยก็ขัดขวางการเสริมการเรียนรู้ให้เด็กอย่างรุนแรง การเปลี่ยนแปลงเกิดบ่อยและไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
เราควรโทษใครดี? ไม่รู้สิผมไม่แน่ใจ ผมรู้แค่ว่าระบบการศึกษาของเรายังคงล้มเหลว แม้เราจะใช้คำว่า "ปฏิรูป" มาแล้วหลายทีก็ตาม
อีกประเด็นที่ผมแปลกใจคือผมและเพื่อนหลายคนหลุดมาจากวงจรสายบังคับแปลกๆนั่นได้ไง
อาจเป็นเพราะชีวิตสุดวิบากของผมวัยเด็กก็ได้มั้ง
เอ้ย เริ่มไม่เกี่ยวละ ตัดจบๆ
สรุปท้ายสุด ผมมาบ่นเฉยๆ ไม่ต้องสนใจครับ 555
แสดงความคิดเห็น
อยากถามคุณครูที่สอนนักเรียนทุกคนครับ
เลยเลือกสายวิท คณิต คิดว่าน่าจะเหมาะ
ครับ วิท โลก ชีวะ เคมี ก็ถือว่าไปได้
แต่ ฟิสิกส์ !!! สอบ เลขนัยสำคัญ แล้วก็ เมกะ จิกกะ ผมได้ 1/10 เพื่อน ได้ 4 คนเดียวในห้อง นอกกนั้น 0 1 2 3 ครับ ไม่มีใครผ่าน
คือคุณครูของผมสอนไม่เข้าใจเลยครับ ฟิสิกส์เนี้ย ไม่รู้มาเป็นครูได้ไง ถ้าใครไม่เรียนด้วยคงไม่รู้ [ ไม่ต้องบอกให้ผมไปเปป็นครูเองนะครับ
คือ คนตกหมดห้อง ผมอยากรู้ว่าคุณครู เคยคิดไหมครับว่า ตัวเองสอนไม่ดี สอนไม่เข้าใจ หรือว่า มั่วแต่โทษเด็กว่าโง่เขลาอย่างเดียว ถ้าสอนเข้าใจจริงๆ ก็น่าจะผ่านสักคนนะครับ ห้องผมห้องธรรมดาครับ ไม่ใช่ กิฟ คิง พสวท แต่ห้องพวกนั้นก็มีแต่คุณครูดีๆที่ไปสอน = _ =
คือมีอะไรเพิ่มเติมโต้แย้งได้ครับ ผมยินดีฟังทุกความคิดเหห็น จากใจพวกเราเด็ก ม ปลาย 4/8 :::
แก้ไข พต.
...คือตอนนี้ทั้งห้องกำลังนั่งจดงานแก้ครับ ทำโจทย์ทั้งหมด 10 ข้อ แสดงวิธีทำ 3 รอบ = 1 คะแนน