คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1

ข้อมูลจากวิกิไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือชัดเจน เรื่องพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับก็ยังไม่มีหลักฐานร่วมสมัยยืนยันในเรื่องนี้ครับ ในประเด็นนี้ผมขออธิบายเป็นส่วนๆไป อาจจะยาวสักหน่อยแต่เชื่อว่าคงสามารถทำให้เข้าใจได้ละเอียดครับ
(ในวิกิเขียนว่า "พระนางกุสาวดี เดิมมีพระนามว่า เจ้านางกุลธิดา[ต้องการอ้างอิง] เป็นพระธิดาในพญาแสนหลวง (พระแสนเมือง) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในสมัย พ.ศ. 2193 (ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นแก่พม่า) ครองเมืองได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2205 ก็เสียเมืองให้แก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งเป็นแม่ทัพในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในครั้งนั้น เจ้านางกุลธิดาได้ถูกนำตัวมาถวายเป็นบาทบาจาริกาแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกพระนางให้อภิเษกกับพระเพทราชา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมช้าง กล่าวกันว่า ขณะนั้นพระนางได้ทรงครรภ์กับสมเด็จพระนารายณ์แล้ว แต่เกิดความละอายที่มีลูกกับหญิงลาว (ซึ่งแต่เดิมไทยอยุธยาถือว่าเชียงใหม่หรืออาณาจักรล้านนาก็เป็นลาวเหมืองกับล้านช้าง-หลวงพระบาง-เวียงจันทร์ และดูถูกว่าต่ำต้อยกว่าไทยที่อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์[ต้องการอ้างอิง]) จึงพระราชทานนางให้แก่พระเพทราชา พระนางประสูติพระโอรสที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร (บริเวณวัดโพธิ์ประทับช้างในปัจจุบัน) มีนามว่า เจ้าเดื่อ หรือ มะเดื่อ ดังนั้น พระโอรสที่ประสูติจากพระนางจึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง")
หลักฐานประเภทคำให้การเชลย
พระนาม กุสาวดี ปรากฏในเอกสาร "คำให้การชาวกรุงเก่า" แปลมาจากเอกสารต้นฉบับภาษาพม่าชื่อ "โยธยา ยาสะวิน" หรือ "ราชวงศ์อยุทธยา" ที่ราชสำนักพม่าเรียบเรียงจากจากคำให้การเชลยอยุทธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุทธยา พ.ศ. ๒๓๑๐
เอกสารชิ้นเดียวกันนี้มีฉบับภาษามอญด้วย แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "คำให้การขุนหลวงหาวัด" แต่มีเนื้อหาต่างกันบ้าง ฉบับนี้เรียกพระนามพระมารดาพระเจ้าเสือว่า "เจ้าจอมสมบุญ" ภายหลังเรียกว่า "พระราชชายาเทวี"
คำให้การทั้งสองฉบับกล่าวตรงกันว่าพระมารดาพระเจ้าเสือเป็นสนมของสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อนางตั้งครรภ์สมเด็จพระนารายณ์จึงยกให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (พระเพทราชา) ไปเลี้ยงแทน แต่คำให้การไม่ได้กล่าวว่านางเป็นธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ทั้งๆที่เอกสารนี้ระบุถึงเรื่องสงครามกับเชียงใหม่ด้วย
เอกสารฉบับระเภทคำให้การนี้เรียบเรียงขึ้นหลังเหตุการณ์มาก เนื้อหาหลายตอนไม่สอดคล้องกับหลักฐานร่วมสมัยและมีความพิสดารสูง หลายตอนคล้ายกับมุขปาฐะมากกว่าจดหมายเหตุที่มีการบันทึกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะชื่อคนที่มีความคลาดเคลื่อนบ้าง ดังนั้นอาจยากจะยึดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดครับ
หลักฐานประเภทพงศาวดาร
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาที่พบในปัจจุบันมีเนื้อหาไม่สมบูรณ์อยู่มาก เข้าใจว่าเพราะสูญหายไปในช่วงสงครามเสียกรุง จึงต้องชำระขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งเนื้อหาหลายตอนมีความคลาดเคลื่อนจากหลักฐานร่วมสมัย หลายตอนเชื่อว่าถูกแต่งเสริมขึ้นในภายหลัง มีพงศาวดารที่กล่าวถึงพระเจ้าเสือที่ควรกล่าวถึงคือ
พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)
เชื่อว่าชำระในสมัยอยุทธยาตอนปลาย เพราะมีเนื้อหาในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มาจนจบในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระต่างจากพงศาวดารที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ ศักราชส่วนใหญ่ตรงตามหลักฐานต้น และไม่มีเนื้อหาประณามกษัตริย์อยุทธยาเหมือนฉบับที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ มีการกล่าวถึงชาติกำเนิดพระเจ้าเสือว่า
"ลุศักราช ๑๐๖๗ ปีระกาสัปตศก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป ณ เมืองพระพิษณุโลกถึงที่โพทับช้าง มีพระโองการตรัสว่า สมเด็จพระนารายเป็นเจ้า เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปตีเมืองล้านช้างสมเด็จพระมารดาทรงพระครรภ์แก่ เสด็จมาส่งตั้งจวนใต้ต้นมะเดื่อประสูติกู...."
ข้อมูลนี้ไม่ได้ระบุว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับ และประสูติเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ยกทัพไปตีล้านช้าง ต่างจากพงศาวดารสมัยหลังที่ระบุว่าไปตีเชียงใหม่ พบในหลักฐานดัตช์ว่าใน กลางปี พ.ศ.๒๒๑๑ มีการเตรียมทัพไปตีล้านช้างแต่ล้มเลิกไป ต่อมาใน พ.ศ.๒๒๑๓ จึงมีการกำหนดทำสงครามกับล้านช้างอีกครั้ง แล้วจึงเกิดสงครามใหญ่ในช่วง พ.ศ.๒๒๑๔-๒๒๑๖ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ชำระใน จ.ศ.๑๑๕๗ (พ.ศ.๒๒๓๘) สมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระราชพงศาวดารฉบับที่มีเนื้อหาตั้งแต่สถาปนากรุงจนเสียกรุงครั้งที่ ๒ ที่เก่าที่สุดที่พบในปัจจุบันคือ มีเนื้อหาแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเรียกเข้าใจว่าอ้างอิงจากเอกสารเก่าที่เหลืออยู่หรืออาจมีการชำระมาก่อนหน้า บรรยายเหตุการณ์ตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุทธยามาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ตอนพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ไปตีเมืองไทรโยค แล้วมีข้อความระบุต่อจากนั้นว่า "ยังขาดอยู่ ๒ สมุด แต่ศักราช ๑๐๓๐ เศษ" คือขาดสมุดไทยไปสองเล่ม เนื้อหาที่ปรากฏต่อมากล่าวถึงการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์ต่อเนื่องไปจนจบใน จ.ศ.๑๐๖๐ (พ.ศ.๒๒๔๑) รัชกาลพระเจ้าเสือ
ส่วนที่สอง ชำระขึ้นใหม่โดยเจ้าพระยาพิพิธพิชัย มีเนื้อหาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์จนถึงเสียกรุงครั้งที่ ๒ โดยมีข้อความในบานแพนกระบุว่า "เพียงนี้เรื่องพระเพทราชากับพระเจ้าเสือทำไว้แต่ก่อน บัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีรับสั่ง ให้เจ้าพระยาพิพิธพิชัยกระทำเรื่องพระนารายณ์เป็นเจ้า กับพระเพทราชาพระเจ้าเสือ พระบรมโกศ พระเจ้าพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ทำศักราชถัดกันไป"
พระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน
ปรากฏในบานแพนกว่ารัชกาลที่ ๒ เมื่อยังเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๑ เมื่อ จ.ศ. ๑๑๖๙ (พ.ศ. ๒๓๕๐) มีการรวมเนื้อหาที่แยกเป็น ๒ ส่วนของฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ให้ต่อเนื่องกัน และเพิ่มเติดิมด้วยมรายละเอียดหลาอย่างรวมถึงเนื้อหาที่ขาดไปสองเล่มด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของพระเจ้าเสือก็ถูกเพิ่มขึ้นมาในพงศาวดารฉบับนี้เอง และพงศาวดารฉบับนี้กลายเป็นแม่แบบให้พงศาวดารที่ชำระในภายหลัง เนื้อหาในพงศาวดารฉบับต่อๆ มาไม่ค่อยต่างจากฉบับนี้มากนัก
แต่เนื้อหาที่ถูกเพิ่มมาเมื่อเทียบกับพงศาวดารเก่าๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการระบุศักราชชัดเจน มีการเพิ่มประวัติบุคคลสามัญมามากทั้งพระเจ้าเสือในวัยเยาว์ พระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนซ์ ฟอลคอน) โกษาเหล็ก โกษาปานไปฝรั่งเศสซึ่งผิดกับคติการเขียนพงศาวดารเดิมเน้นเรื่องพระมหากษัตริย์หรือเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง เนื้อหาหลายเรื่องดูเหมือนเรื่องเล่า มีความพิสดารเหนือจริงเช่น เรื่องพระยาช้างที่รู้ภาษามนุษย์ พระยาสีหราชเดโชหายตัวไล่ฆ่าพม่า โกษาปานเอาหมอผีไปโชว์อาคมที่ฝรั่งเศสซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานชั้นต้นคือจดหมายเหตุของคณะทูตขณะอยู่ในฝรั่งเศสที่ตีพิมพ์ที่ฝรั่งเศสหลังจากคณะทูตกลับไทยแค่ปีเดียวอย่างมาก นอกจากนี้บันทึกของโกษาปานที่เหลืออยู่ก็แสดงให้เห็นว่าท่านจดทุกสิ่งตามท่านเห็นอย่างละเอียดตามความเป็นจริง (บันทึกโกษาปานถูกเก็บอยู่ที่กรุงศรีอยุทธยามาตลอด ยังมีหลักฐานฝรั่งเศสระบุว่าเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงเคยเอามาอ่าน แต่ก็คงหายไปแล้วตอนเสียกรุง สันนิษฐานว่าผู้ชำระพงศาวดารในสมัยรัตนโกสินทร์แต่งเสริมเนื้อหาขึ้นใหม่จากมุขปาฐะที่จดจำมาได้)
พระราชพงศาวดารฉบับนี้กล่าวว่าเมื่อโกษาปาน (ที่ถูกควรเป็นโกษาเหล็ก) ตีเมืองเชียงใหม่ได้ สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงเลือกบุตรีเจ้าเมืองเชียงใหม่มาเป็นสนม "แล้วเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาจากเมืองเชียงใหม่นั้นพระองค์เสด็จทรงสังวาสด้วยราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ แลนางนั้นก็ทรงครรภ์ขึ้นมา ทรงพระกรุณาละอายพระทัย จึงพระราชทานนางนั้นให้แก่พระเพทราชาแล้วดำรัสว่า นางลาวคนนี้มีครรภ์ขึ้นมา เราจะเอาไปเลี้ยงในพระราชวัง ก็คิดละอายแก่พระสนามทั้งปวงและท่านจงรับเอาไปเลี้ยงไว้ ณ บ้านเถิด"
ต่อมาในปีขาล จ.ศ.๑๐๒๔ (พ.ศ.๒๒๐๕) ระหว่างที่นางกับพระเพทราชาตามเสด็จพระนารายณ์ไปพิษณุโลกนางก็คลอดบุตรชายที่โพธิ์ประทับช้าง ชื่อ "เดื่อ" คือพระเจ้าเสือ เป็นพงศาวดารฉบับแรกที่ระบุพระนามเดิมและปีประสูติอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามเรื่องปีประสูติในพระราชพงศาวดารยังน่าสงสัย เพราะเมื่อตรวจสอบกับ มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า ระบุว่าอยุทธยาตีเชียงใหม่ได้ใน วันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๔ จ.ศ.๑๐๒๔ ซึ่งเดือน ๔ จัดเป็นปลายปีแล้ว ถึงเดือน ๕ ต้องเปลี่ยนศักราช จึงเป็นไปไม่ได้ที่ธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่จะตั้งครรภ์และคลอดให้ทันในศักราช ๑๐๒๔
หลักฐานชั้นต้นของชาวต่างประเทศ
จดหมายเหตุราชอาณาจักรสยามของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ บันทึกเรื่องพระเจ้าเสือเพียงว่าเป็นบุตรของออกพระเพทราชา ไม่ได้ระบุว่าเป็นโอรสลับ และกล่าวว่า "ออกหลวงสุรศักดิ์ ชายหนุ่มอายุราว ๒๘ ถึง ๓๐ ปี" แสดงว่าประสูติในช่วง พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๒๐๓ ก่อนสงครามตีเมืองเชียงใหม่เล็กน้อย
จดหมายเหตุของเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์เยอรมันที่ตามคณะทูตบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์เข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ระบุว่าพระเจ้าเสือที่ทรงเป็นพระมหาอุปราชเวลานั้นมีพระชนม์ ๒๐ พรรษาลองหักลบแบบหยาบๆจะได้ปีพระราชสมภพประมาณ พ.ศ.๒๒๑๓ แต่เมื่อคำนวณกับพระชนม์ของพระโอรสองค์ใหญ่คือพระเจ้าท้ายสระที่ประสูติราว พ.ศ. ๒๒๒๑
แสดงว่าพระเจ้าเสือต้องมีโอรสตั้งแต่ราว ๘ พรรษา อายุที่เค็มพ์เฟอร์บันทึกจึงไม่น่าถูกต้อง ลาลูแบร์น่าจะถูกต้องกว่า
สรุปแล้ว เรื่องที่พระเจ้าเสือเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ที่ประสูติจากสนมธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ยังไม่มีหลักฐานอื่นนอกจากคำให้การสมัยหลังกับพระราชพงศาวดารของไทยที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ครับ

พระเจ้าเสือจากภาพยนตร์โทรทัศน์พันท้ายนรสิงห์
ข้อมูลจากวิกิไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือชัดเจน เรื่องพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับก็ยังไม่มีหลักฐานร่วมสมัยยืนยันในเรื่องนี้ครับ ในประเด็นนี้ผมขออธิบายเป็นส่วนๆไป อาจจะยาวสักหน่อยแต่เชื่อว่าคงสามารถทำให้เข้าใจได้ละเอียดครับ
(ในวิกิเขียนว่า "พระนางกุสาวดี เดิมมีพระนามว่า เจ้านางกุลธิดา[ต้องการอ้างอิง] เป็นพระธิดาในพญาแสนหลวง (พระแสนเมือง) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในสมัย พ.ศ. 2193 (ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นแก่พม่า) ครองเมืองได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2205 ก็เสียเมืองให้แก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งเป็นแม่ทัพในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในครั้งนั้น เจ้านางกุลธิดาได้ถูกนำตัวมาถวายเป็นบาทบาจาริกาแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกพระนางให้อภิเษกกับพระเพทราชา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมช้าง กล่าวกันว่า ขณะนั้นพระนางได้ทรงครรภ์กับสมเด็จพระนารายณ์แล้ว แต่เกิดความละอายที่มีลูกกับหญิงลาว (ซึ่งแต่เดิมไทยอยุธยาถือว่าเชียงใหม่หรืออาณาจักรล้านนาก็เป็นลาวเหมืองกับล้านช้าง-หลวงพระบาง-เวียงจันทร์ และดูถูกว่าต่ำต้อยกว่าไทยที่อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์[ต้องการอ้างอิง]) จึงพระราชทานนางให้แก่พระเพทราชา พระนางประสูติพระโอรสที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร (บริเวณวัดโพธิ์ประทับช้างในปัจจุบัน) มีนามว่า เจ้าเดื่อ หรือ มะเดื่อ ดังนั้น พระโอรสที่ประสูติจากพระนางจึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง")
หลักฐานประเภทคำให้การเชลย
พระนาม กุสาวดี ปรากฏในเอกสาร "คำให้การชาวกรุงเก่า" แปลมาจากเอกสารต้นฉบับภาษาพม่าชื่อ "โยธยา ยาสะวิน" หรือ "ราชวงศ์อยุทธยา" ที่ราชสำนักพม่าเรียบเรียงจากจากคำให้การเชลยอยุทธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุทธยา พ.ศ. ๒๓๑๐
เอกสารชิ้นเดียวกันนี้มีฉบับภาษามอญด้วย แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "คำให้การขุนหลวงหาวัด" แต่มีเนื้อหาต่างกันบ้าง ฉบับนี้เรียกพระนามพระมารดาพระเจ้าเสือว่า "เจ้าจอมสมบุญ" ภายหลังเรียกว่า "พระราชชายาเทวี"
คำให้การทั้งสองฉบับกล่าวตรงกันว่าพระมารดาพระเจ้าเสือเป็นสนมของสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อนางตั้งครรภ์สมเด็จพระนารายณ์จึงยกให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (พระเพทราชา) ไปเลี้ยงแทน แต่คำให้การไม่ได้กล่าวว่านางเป็นธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ทั้งๆที่เอกสารนี้ระบุถึงเรื่องสงครามกับเชียงใหม่ด้วย
เอกสารฉบับระเภทคำให้การนี้เรียบเรียงขึ้นหลังเหตุการณ์มาก เนื้อหาหลายตอนไม่สอดคล้องกับหลักฐานร่วมสมัยและมีความพิสดารสูง หลายตอนคล้ายกับมุขปาฐะมากกว่าจดหมายเหตุที่มีการบันทึกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะชื่อคนที่มีความคลาดเคลื่อนบ้าง ดังนั้นอาจยากจะยึดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดครับ
หลักฐานประเภทพงศาวดาร
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาที่พบในปัจจุบันมีเนื้อหาไม่สมบูรณ์อยู่มาก เข้าใจว่าเพราะสูญหายไปในช่วงสงครามเสียกรุง จึงต้องชำระขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งเนื้อหาหลายตอนมีความคลาดเคลื่อนจากหลักฐานร่วมสมัย หลายตอนเชื่อว่าถูกแต่งเสริมขึ้นในภายหลัง มีพงศาวดารที่กล่าวถึงพระเจ้าเสือที่ควรกล่าวถึงคือ
พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)
เชื่อว่าชำระในสมัยอยุทธยาตอนปลาย เพราะมีเนื้อหาในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มาจนจบในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระต่างจากพงศาวดารที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ ศักราชส่วนใหญ่ตรงตามหลักฐานต้น และไม่มีเนื้อหาประณามกษัตริย์อยุทธยาเหมือนฉบับที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ มีการกล่าวถึงชาติกำเนิดพระเจ้าเสือว่า
"ลุศักราช ๑๐๖๗ ปีระกาสัปตศก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป ณ เมืองพระพิษณุโลกถึงที่โพทับช้าง มีพระโองการตรัสว่า สมเด็จพระนารายเป็นเจ้า เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปตีเมืองล้านช้างสมเด็จพระมารดาทรงพระครรภ์แก่ เสด็จมาส่งตั้งจวนใต้ต้นมะเดื่อประสูติกู...."
ข้อมูลนี้ไม่ได้ระบุว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับ และประสูติเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ยกทัพไปตีล้านช้าง ต่างจากพงศาวดารสมัยหลังที่ระบุว่าไปตีเชียงใหม่ พบในหลักฐานดัตช์ว่าใน กลางปี พ.ศ.๒๒๑๑ มีการเตรียมทัพไปตีล้านช้างแต่ล้มเลิกไป ต่อมาใน พ.ศ.๒๒๑๓ จึงมีการกำหนดทำสงครามกับล้านช้างอีกครั้ง แล้วจึงเกิดสงครามใหญ่ในช่วง พ.ศ.๒๒๑๔-๒๒๑๖ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ชำระใน จ.ศ.๑๑๕๗ (พ.ศ.๒๒๓๘) สมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระราชพงศาวดารฉบับที่มีเนื้อหาตั้งแต่สถาปนากรุงจนเสียกรุงครั้งที่ ๒ ที่เก่าที่สุดที่พบในปัจจุบันคือ มีเนื้อหาแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเรียกเข้าใจว่าอ้างอิงจากเอกสารเก่าที่เหลืออยู่หรืออาจมีการชำระมาก่อนหน้า บรรยายเหตุการณ์ตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุทธยามาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ตอนพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ไปตีเมืองไทรโยค แล้วมีข้อความระบุต่อจากนั้นว่า "ยังขาดอยู่ ๒ สมุด แต่ศักราช ๑๐๓๐ เศษ" คือขาดสมุดไทยไปสองเล่ม เนื้อหาที่ปรากฏต่อมากล่าวถึงการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์ต่อเนื่องไปจนจบใน จ.ศ.๑๐๖๐ (พ.ศ.๒๒๔๑) รัชกาลพระเจ้าเสือ
ส่วนที่สอง ชำระขึ้นใหม่โดยเจ้าพระยาพิพิธพิชัย มีเนื้อหาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์จนถึงเสียกรุงครั้งที่ ๒ โดยมีข้อความในบานแพนกระบุว่า "เพียงนี้เรื่องพระเพทราชากับพระเจ้าเสือทำไว้แต่ก่อน บัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีรับสั่ง ให้เจ้าพระยาพิพิธพิชัยกระทำเรื่องพระนารายณ์เป็นเจ้า กับพระเพทราชาพระเจ้าเสือ พระบรมโกศ พระเจ้าพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ทำศักราชถัดกันไป"
พระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน
ปรากฏในบานแพนกว่ารัชกาลที่ ๒ เมื่อยังเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๑ เมื่อ จ.ศ. ๑๑๖๙ (พ.ศ. ๒๓๕๐) มีการรวมเนื้อหาที่แยกเป็น ๒ ส่วนของฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ให้ต่อเนื่องกัน และเพิ่มเติดิมด้วยมรายละเอียดหลาอย่างรวมถึงเนื้อหาที่ขาดไปสองเล่มด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของพระเจ้าเสือก็ถูกเพิ่มขึ้นมาในพงศาวดารฉบับนี้เอง และพงศาวดารฉบับนี้กลายเป็นแม่แบบให้พงศาวดารที่ชำระในภายหลัง เนื้อหาในพงศาวดารฉบับต่อๆ มาไม่ค่อยต่างจากฉบับนี้มากนัก
แต่เนื้อหาที่ถูกเพิ่มมาเมื่อเทียบกับพงศาวดารเก่าๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการระบุศักราชชัดเจน มีการเพิ่มประวัติบุคคลสามัญมามากทั้งพระเจ้าเสือในวัยเยาว์ พระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนซ์ ฟอลคอน) โกษาเหล็ก โกษาปานไปฝรั่งเศสซึ่งผิดกับคติการเขียนพงศาวดารเดิมเน้นเรื่องพระมหากษัตริย์หรือเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง เนื้อหาหลายเรื่องดูเหมือนเรื่องเล่า มีความพิสดารเหนือจริงเช่น เรื่องพระยาช้างที่รู้ภาษามนุษย์ พระยาสีหราชเดโชหายตัวไล่ฆ่าพม่า โกษาปานเอาหมอผีไปโชว์อาคมที่ฝรั่งเศสซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานชั้นต้นคือจดหมายเหตุของคณะทูตขณะอยู่ในฝรั่งเศสที่ตีพิมพ์ที่ฝรั่งเศสหลังจากคณะทูตกลับไทยแค่ปีเดียวอย่างมาก นอกจากนี้บันทึกของโกษาปานที่เหลืออยู่ก็แสดงให้เห็นว่าท่านจดทุกสิ่งตามท่านเห็นอย่างละเอียดตามความเป็นจริง (บันทึกโกษาปานถูกเก็บอยู่ที่กรุงศรีอยุทธยามาตลอด ยังมีหลักฐานฝรั่งเศสระบุว่าเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงเคยเอามาอ่าน แต่ก็คงหายไปแล้วตอนเสียกรุง สันนิษฐานว่าผู้ชำระพงศาวดารในสมัยรัตนโกสินทร์แต่งเสริมเนื้อหาขึ้นใหม่จากมุขปาฐะที่จดจำมาได้)
พระราชพงศาวดารฉบับนี้กล่าวว่าเมื่อโกษาปาน (ที่ถูกควรเป็นโกษาเหล็ก) ตีเมืองเชียงใหม่ได้ สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงเลือกบุตรีเจ้าเมืองเชียงใหม่มาเป็นสนม "แล้วเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาจากเมืองเชียงใหม่นั้นพระองค์เสด็จทรงสังวาสด้วยราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ แลนางนั้นก็ทรงครรภ์ขึ้นมา ทรงพระกรุณาละอายพระทัย จึงพระราชทานนางนั้นให้แก่พระเพทราชาแล้วดำรัสว่า นางลาวคนนี้มีครรภ์ขึ้นมา เราจะเอาไปเลี้ยงในพระราชวัง ก็คิดละอายแก่พระสนามทั้งปวงและท่านจงรับเอาไปเลี้ยงไว้ ณ บ้านเถิด"
ต่อมาในปีขาล จ.ศ.๑๐๒๔ (พ.ศ.๒๒๐๕) ระหว่างที่นางกับพระเพทราชาตามเสด็จพระนารายณ์ไปพิษณุโลกนางก็คลอดบุตรชายที่โพธิ์ประทับช้าง ชื่อ "เดื่อ" คือพระเจ้าเสือ เป็นพงศาวดารฉบับแรกที่ระบุพระนามเดิมและปีประสูติอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามเรื่องปีประสูติในพระราชพงศาวดารยังน่าสงสัย เพราะเมื่อตรวจสอบกับ มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า ระบุว่าอยุทธยาตีเชียงใหม่ได้ใน วันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๔ จ.ศ.๑๐๒๔ ซึ่งเดือน ๔ จัดเป็นปลายปีแล้ว ถึงเดือน ๕ ต้องเปลี่ยนศักราช จึงเป็นไปไม่ได้ที่ธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่จะตั้งครรภ์และคลอดให้ทันในศักราช ๑๐๒๔
หลักฐานชั้นต้นของชาวต่างประเทศ
จดหมายเหตุราชอาณาจักรสยามของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ บันทึกเรื่องพระเจ้าเสือเพียงว่าเป็นบุตรของออกพระเพทราชา ไม่ได้ระบุว่าเป็นโอรสลับ และกล่าวว่า "ออกหลวงสุรศักดิ์ ชายหนุ่มอายุราว ๒๘ ถึง ๓๐ ปี" แสดงว่าประสูติในช่วง พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๒๐๓ ก่อนสงครามตีเมืองเชียงใหม่เล็กน้อย
จดหมายเหตุของเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์เยอรมันที่ตามคณะทูตบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์เข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ระบุว่าพระเจ้าเสือที่ทรงเป็นพระมหาอุปราชเวลานั้นมีพระชนม์ ๒๐ พรรษาลองหักลบแบบหยาบๆจะได้ปีพระราชสมภพประมาณ พ.ศ.๒๒๑๓ แต่เมื่อคำนวณกับพระชนม์ของพระโอรสองค์ใหญ่คือพระเจ้าท้ายสระที่ประสูติราว พ.ศ. ๒๒๒๑
แสดงว่าพระเจ้าเสือต้องมีโอรสตั้งแต่ราว ๘ พรรษา อายุที่เค็มพ์เฟอร์บันทึกจึงไม่น่าถูกต้อง ลาลูแบร์น่าจะถูกต้องกว่า
สรุปแล้ว เรื่องที่พระเจ้าเสือเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ที่ประสูติจากสนมธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ยังไม่มีหลักฐานอื่นนอกจากคำให้การสมัยหลังกับพระราชพงศาวดารของไทยที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ครับ
แสดงความคิดเห็น
ใครรู้จัก ประวัติพระนางกุสาวดี พระมารดาของสมเด็จพระเจ้าเสือบ้างคะ
มีใครทราบรายละเอียดมากกว่าที่วางไว้ใน http://th.wikipedia.org/ อีกไม๊คะ
รบกวนขอข้อมูลด้วยค่ะ