ตามรอย “พุทธทาส” ในมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้!

กระทู้ข่าว


“พุทธทาสภิกขุ” นามนี้ดังก้องโลก หลายคนอาจเคยมีโอกาสเดินตามรอยท่าน จากบทธรรมคำสอนที่ฝากเอาไว้อย่างมากล้น มากเสียจนแม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยก้าวย่ำลงไปศึกษาพระธรรมด้วยตนเอง คงเคยได้รับอานิสงส์แห่งความเมตตาไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ผ่านตัวอักษรในหน้าหนังสือ ผ่านคำเทศน์ที่ยังถูกเปิดซ้ำๆ ดั่งเจ้าของสำเนียงไม่เคยลาลับไปไหน

       ในวาระครบรอบ 20 ปีมรณกาล และรำลึกเดือนแห่งการเกิดของท่าน (พ.ค.) จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ตามรอย ปัดฝุ่นอดีตผู้ยิ่งใหญ่ จากปากคำของคนใกล้ชิด ในอีกหลายแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยรู้!
       
--------------------------------------------------------------------------------



  
เด็กชายเงื่อม (ท่านพุทธทาสภิกขุ)




       เลือด “ศิลปิน” จากโยมพ่อ

       “เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
       จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
       เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
       ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
       จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
       อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
       เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า
       ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง”
       
       “มองแต่แง่ดีเถิด” คือหนึ่งในบทธรรมคำสอนจากท่านพุทธทาส หากลองติดตามงานเขียนของท่าน จะรู้ว่าบทกลอนคือกลวิธีอีกอย่างหนึ่งที่มักถูกหยิบมาใช้เพื่อถ่ายทอดธรรมะ สะท้อนให้เห็นอารมณ์ศิลปินในตัวท่านที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ว่ากันว่าคุณสมบัติข้อนี้สืบทอดมาจากโยมพ่อ “นายเซี้ยง พานิช” ซึ่งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน มีทักษะในการต่อเรือและมีศิลปะในการวาดภาพ


  
ตามรอยไปยังบ้านเกิด




       ลองตามรอยท่านไปยังสถานที่เกิด ณ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงแม้จะถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนผู้อยู่อาศัยมาหลายรุ่นแล้ว แต่ตัวบ้านยังคงสภาพรอยอดีตเดิมเอาไว้ ไม่ได้ทุบทิ้งไปไหน ตัวเรือนมีความกว้างประมาณ 3 เมตร และลึกเข้าไปสัก 9 เมตร ยังคงเป็นอู่ต่อเรือซึ่งเชื่อมต่อกับลำธารกว้างใหญ่ ความร่มรื่นและร่มเย็นของบรรยากาศโดยรอบในขณะนี้ ช่วยให้พอจะจินตนาการได้ว่า “เด็กชายเงื่อม พานิช” หรือ “ท่านพุทธทาส” ที่ใครๆ ต่างเทิดทูนในวันนี้ โตมากับความสงบเงียบเช่นไร
       
       ถึงแม้บ้านเก่าของท่านจะเป็นร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน “ร้านไชยาพานิช” มีชีวิตอยู่กับเรื่องเงินๆ ทองๆ ซื้อมาขายไปตลอดเวลา แต่ท่านกลับไม่ได้พกเอานิสัยเห็นแก่ได้อย่างที่พ่อค้าทั่วๆ ไปมักติดตัวมาด้วย ทั้งที่เคยใช้เวลาอยู่ดูแล เป็นผู้จัดการร้านแทนโยมแม่ “นางเคลื่อน พานิช” หลังโยมพ่อเสียชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง อาจเป็นเพราะท่านเอาจิตใจใส่ลงไปในกองหนังสือมากมายภายในร้านมากกว่า
       
       เพราะบ้านของท่าน นอกจากจะขายสินค้าเรือกสวนไร่นาและสินค้าจากทะเลแล้ว ยังมีสินค้าประเภทหนังสือขนส่งมาจากกรุงเทพฯ ด้วย เป็นหนังสือเหลือเอามาโละขายลดราคา ทางร้านจึงรับซื้อไว้ ทำให้เด็กชายใฝ่รู้ตัวน้อยๆ ในตอนนั้นติดหนังสือ และกลายเป็นนักอ่านตัวยงตลอดชีวิตของเขา
       
       
--------------------------------------------------------------------------------

       


  


       “มัธยัสถ์” เช่นโยมแม่

       ส่วนนิสัยประหยัด-มัธยัสถ์ น่าจะได้มาจากโยมแม่ ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโต มีน้องชายหนึ่งคน น้องสาวอีกหนึ่งคน เด็กชายเงื่อมจึงต้องแบกความรับผิดชอบเอาไว้แต่เล็กๆ ต้องค้าขายช่วยคุณพ่อ ควบคู่กับการช่วยงานครัวคุณแม่ ทำให้สามารถทำกับข้าว-เข้าครัวได้อย่างไม่เคอะเขิน และช่วยให้ซึมซับวินัยหลายๆ อย่างจากคุณแม่มาไว้กับตัว
       
       
       ยกตัวอย่างง่ายๆ ในสมัยก่อนนั้น ทุกคนยังคงดื่มน้ำจากขันกันอยู่ ทั้งๆ ที่น้ำสมัยก่อนเป็นน้ำฝน ไม่ใช่น้ำประปา เรียกว่าเป็นน้ำฟรีก็ว่าได้ แต่ท่านจะถูกสอนให้ตักกินแต่พอดี ไม่ให้ตักดื่มครึ่งหนึ่งแล้วเททิ้งอย่างที่หลายคนนิยมทำ เพราะคุณแม่สอนไว้ว่าถือเป็นการสิ้นเปลือง
       แม้กระทั่งเรื่องการใช้ฟืนใช้ไฟในระหว่างหุงต้ม ฟืนแดงๆ หลังหุงข้าวเสร็จก็ไม่ให้เปล่าประโยชน์ ให้วางแผงใช้ทำอย่างอื่นต่อ เช่น การปิ้งปลา การคั้นกะทิก็ต้องให้คุ้ม คนอื่นอาจจะคั้นกันแค่ 2 เที่ยว แต่โยมแม่ของท่าน สอนให้คั้นถึง 4 เที่ยว โดยให้เอาฝอยมะพร้าวเหล่านั้นมาตำให้ละเอียดหลังจากคั้นไปแล้ว 2 รอบ แล้วมาคั้นอีก 2 รอบ จะช่วยให้ได้น้ำจากกะทิออกมาเพิ่มขึ้น
         
       
       ในสมัยที่ยังเรียนหนังสือ ท่านได้ค่าขนมเพียงวันละ 1 สตางค์ เทียบกับปริมาณอาหารสมัยนั้น แทบแลกอะไรกินไม่ได้เลย ถ้าวันไหนไม่ได้หอบอาหารมาจากบ้าน ก็ต้องซื้อขนมจีนอย่างเดียว และอาศัยเด็ดยอดผักบุ้งละแวกนั้นเอามาใส่จานกินเพิ่มให้อิ่มท้อง ซึ่งท่านได้เขียนเล่าชีวิตในช่วงนั้นเอาไว้ว่า “ก็อิ่มท้องและอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้” ยิ่งช่วยตอกย้ำให้เห็นนิสัยมัธยัสต์ของท่านได้อย่างชัดเจน

       นิสัย “ช่างคิด” ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่บ่มเพาะอยู่ในตัวท่านพุทธทาส จากเรื่องเล่าการเป็นเด็กวัดบางช่วงบางตอน สามารถบอกเล่าความมีวินัยในตัวท่านได้อย่างน่าทึ่ง
       
       
       “สุภาพบุรุษเด็กวัด ตื่นสายไม่ได้ ต้องตื่นก่อนไก่ลงคอน ถ้าไก่ลงจากคอนแล้วยังนอนอยู่ จะโดนเพื่อนเอาน้ำสาดและโดนแกล้งด้วย, สุภาพบุรุษเด็กวัดต้องอดกลั้นอดทน ไม่เป็นคนช่างฟ้อง ถ้าเพื่อนแกล้ง สุภาพบุรุษเด็กวัด ไม่ฟ้องอาจารย์, รู้จักจัดสำรับให้พระให้พร้อม รวมทั้งน้ำดื่มน้ำใช้ ระหว่างที่พระฉันอาหาร ไปไหนไม่ได้ ต้องคอยรับใช้ไม่ให้มีผิดพลาด,

       ถอยอาหารเมื่อพระฉันเสร็จ แบ่งให้หมาแมวกินก่อนคน, กินอาหารต้องไม่มูมมาม ต้องอย่าเคี้ยวเสียงดัง สั่งขี้มูก แคะขี้มูกไม่ได้, ล้างถ้วยจานชามเก็บให้เรียบร้อย เรียนหนังสือ อ่านหนังสือ สวดมนต์ทำวัดเช้า-เย็นได้ นี่ประโยชน์ของการเป็นเด็กวัด, นวดเฟ้นบีบนวดพระอาจารย์ จะได้ฟังเรื่องตลกๆ เรื่องตาเถร-ยายชี เป็นเรื่องตลก ไม่หยาบ, หัดมวยไว้ป้องกันตัว เมื่อจะต้องชกต่อยกับวัดอื่นเพื่อแสดงความเป็นนักสู้”


  
สมุดพกของเด็กชายเงื่อม




       บวกกับบันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “สมุดพกชั้นประถมศึกษาของเด็กชายเงื่อม” แห่งโรงเรียนวัดโพธาราม บันทึกด้วยแรงมือของอาจารย์ผู้ดูแล บอกเล่าอุปนิสัยการเล่าเรียนเอาไว้ว่า “ประพฤติเป็นคนอยู่ปกติไม่ค่อยได้ ท่าทางอยู่ข้างองอาจ ในเวลาทำการมักชักเพื่อนคุย มารยาทพอใช้ ทำการงานสะอาด” ทั้งยังเขียนสรุปรวบยอดในปลายปีว่า “1.มีความหมั่นดีทำการงานรวดเร็ว 2.ยังไม่เคยประพฤติรังแกเพื่อน และยังไม่เคยต้องบังคับให้มาเรียน 3.นิสัยจำอะไรแม่น และชอบทำสิ่งที่เป็นจริง 4.ปัญญาพออย่างธรรมดาคน”

หลายคนอาจเคยวาดภาพไว้ว่า ผู้ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก สร้างผลงานอันล้ำค่ามากมายประดับเอาไว้อย่าง “พุทธทาส อินทปัญโญ” จะต้องเป็นเติบโตมาบนเส้นทางสวยหรู เป็นเด็กหน้าห้อง หรือมีไอคิวระดับสูงสุดๆ แต่ตัวท่านเองเคยพูดถึงช่วงชีวิตวัยเรียนของท่าน ขณะเรียนโรงเรียนสารภีอุทิศ ชั้นมัธยมฯ เอาไว้ว่า

       “การเรียนหนังสือนั้น ผมไม่รู้สึกว่าเรียนเก่ง แต่สอบได้ไม่เคยตก แต่เรียนไม่ค่อยสนุกแรกๆ ไปคิดถึงบ้าน ยังไม่ทันหยุดตอนเที่ยงก็คิดถึงบ้าน เศร้า คิดถึงบ้านเหมือนอย่างกับเราไปเสียไกลจากพ่อแม่ เรียนมันไม่สนุก สอบซ้อม สอบไล่พอทำได้” และหลังจากจบชั้น ม.3 ท่านก็ต้องลาออกจากโรงเรียน เพราะโยมพ่อเสียชีวิตด้วยโรคลมปัจจุบัน ชีวิตในช่วงต่อมาจึงเป็นช่วงลองเรียนลองรู้นอกโรงเรียนด้วยตัวท่านเองทั้งสิ้น
       
       
--------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่