อาชีพสาวแอร์หมวกแดงในดินแดนทะเลทราย

กระทู้สนทนา
ยกกระทู้นี้มาจากห้องชายคานะคะ เพราะเห็นว่ามีคนตามอ่านมากและน่าจะเป็นประโยชน์กับมนุษย์เงินเดือนที่อยากเปลี่ยนสายงาน และสนใจงานสาขานี้ว่าชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่เป็นอย่างไร เริ่มกันตั้งแต่เริ่มเทรนเลยค่ะ ถ้ากระทู้นี้ไม่เข้ากับบรรยากาศห้องรบกวนเตือนได้นะคะ มือใหม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ แหม่มหรือ โค้ชแหม่มจากเพจ skycoachmamนะคะ แหม่มพึ่งเริ่มมาเป็นสมาชิกในพันทิปได้ไม่นานค่ะ ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากเลย แต่อยากลองเขียนประสบการณ์มาแบ่งปันให้ชาวพันทิปและคนที่สนใจชีวิตแอร์ต่างแดนกันดูค่ะ คราวก่อนพึ่งเขียนแนะนำตัวไป พอแหม่มบออกว่าแหม่มเป็นแอร์มา13ปีแล้ว ก็มีน้องสงสัยว่าทำไมเป็นได้นานจัง ไม่ใช่สัญญา3-5ปีหรอ แหม่มขออธิบายว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับสายการบินที่ทำ และประวัติการทำงานของตัวเราด้วยนะคะ หากเรามีผลงานที่ดี สายการบินย่อมอยากให้เราทำนานๆถูกไหมคะ

ตัวแหม่มเองเคยบินที่ Japan Airline อยู่5ปี แต่ไม่ต่อสัญญาที่นั่น เลือกมาบินต่อให้ที่ สายการบินหมวกแดง ประจำอยู่ที่ดินแดนทะเลทรายค่ะ ใครรู้จักโรงแรมรูปเรือใบ หรือตึก Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ไหมคะ นั่นล่ะค่ะ เมืองดูไบ เมืองที่แหม่มอยู่เมืองนี้ แหม่มมาอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็ 8 ปีแล้วค่ะ 555 นานใช่ม้า เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงค่ะ แหม่มมีเรื่องราวเม้าท์มอยมากมาย ทั้งความเป็นอยู่ที่นี่และการทำงานในฐานะแอร์สาวไทยในประเทศมุสลิมค่ะ


สายการบินที่แหม่มทำอยู่ ตอนนั้นรับคนไทยน้อยมาก ทราบมาว่าจากคนสมัครเป็นพัน สุดท้ายผ่านมาแค่ 6 คนเอง แล้ว น้องที่ได้รอบเดียวกันอีกคนหนึ่งที่ต้องบินมาพร้อมกัน เกิดสละสิทธ์ค่ะ แหม่มก็เลยจะต้องบินไปคนเดียวและอยู่คนเดียวก่อนที่เพื่อนๆคนอื่นจะทยอยตามมาอาทิตย์ถัดๆไป ตอนจัดกระเป๋าขนอาหารแห้ง มาม่า ผงทำอาหารไทย น้ำพริกทั้งหลายไปตรึมค่ะ เพราะเขาบอกว่าเราอาจไม่ได้กลับมาเมืองไทยจนกว่าจะผ่านช่วงProbation 6 เดือน และแหม่มก็ไม่รู้เลยว่าที่นู่นจะเป็นยังงัย จะมีอะไรให้ทานบ้างไหม ไม่เคยไปอยู่ตะวันออกกลางด้วย เลยต้องขนไปกันตายก่อนค่ะ เห็นเขาไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องผลิตภัณฑ์สุกร ก็เลยขนหมูหยอง หมูแผ่นไปบ้างเล็กน้อย กันหาทานไม่ได้ ประมาณว่าเรื่องกินเรื่องใหญ่เรื่องตายเรื่องเล็ก  (คือ แหม่มครอบครัวคนจีน ชินทานข้าวต้มกับหมูหยอง หมูแผ่นตอนเช้าๆไงคะ อิอิ) แล้วก็ที่ขาดไม่ได้ก็คือเครื่องเล่น DVD MP3 ที่ตอนนั้นฮิตมาก พร้อมDVDละครไทยเพียบ กลัวไปแล้วเหงา อย่างน้อยก็มีหนังดู ( คือ พี่Steve Jobs ยังไม่ได้ประดิษฐ์Iphone Ipad ให้เราดูหนังละครออนไลน์ได้ค่ะ)สายการบินให้น้ำหนักมา 50 กิโล แหม่มขนไปเกินค่ะ ต้องไปเสียค่าปรับ กิโลละ 10USD เรทตอนนั้น 1USD = 40บาทค่ะ 40*10=400 ก็โดนไปหลายพันอยู่ร้องไห้

ตอนอยู่บนเครื่องบิน แหม่มนั่งริมหน้าต่าง ตอนที่ลูกเรือเสริฟอาหาร แหม่มก็คุยกับลูกเรือ แล้วจู่ๆเขาก็ถามว่าเราเป็นลูกเรือหรือเปล่า เหมือนหน้าผากเขียนไว้หรือไรก็ไม่ทราบ ก็เลยบอกเขาว่ายังไม่ได้เป็น เพิ่งจะมา กำลังจะเริ่มเทรนในอีก 2วัน  ลูกเรือก็ดีใจหายไปตามเพอร์เซอร์ หรือหัวหน้าบนเครื่องบินมารู้จักแหม่ม เพอร์เซอร์บอกว่า ไว้หลังจากทำเซอร์วิสเสร็จ จะมาพาไปเดินดูเครื่องบิน ให้เตรียมกล้องถ่ายรูปไว้ด้วย แหม่มดีใจตื่นเต้นมาก นั่งถ่างตารอเขามาเรียก ปรากฏจนถึงที่ดูไบก็ไม่มีใครมาค่ะ 555 นั่งคอยเก้อเบย จนทุกวันนี้เวลาแหม่มเจอลุกเรือใหม่ที่จะมาเทรน แหม่มมักจะพาเขาเดินดูเครื่องเพราะจำความรู้สึกตื่นเต้นของตัวเองวันนั้นได้ และอยากให้คนอื่นๆได้มีประสบการณ์ที่เต็มอิ่มแทนแหม่ม ไม่อยากให้เขาต้องรอเก้อ ชะเงิ้บเหมือนเรา 55

พอเครื่องมาถึงที่ดูไบทางสายการบินก็มีเจ้าหน้าที่จาก Marhaba service มาต้อนรับและพาเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และรับเอกสารทั้งหลายค่ะ ในสนามบินก็จะเห็นคนชาวอินเดีย ปากีสถานมากมายต่อแถวรอทำเอกสารเพื่อมาขายแรงงานที่นี่ โชคดีที่เรามีเจ้าหน้าที่ทำให้เลยไม่ต้องวุ่นวายหรือรอคิวนานค่ะ เท่าที่สังเกตุเห็น เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ซึ่งผู้ชายก็จะใส่ชุดคลุมสีขาวยาวถึงพื้น ส่วนผู้หญิงก็จะชุดคลุมสีดำค่ะ ส่วนเจ้าหน้าที่ทั่วไปก็เป็นคนอินเดียหรือฟิลิปปินส์ แหม่มมาทราบภายหลังว่า ประเทศนี้ประชากรเขาเองน้อยมากแค่ 10%เท่านั้น ที่เหลือคือExpatหรือคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะฉะนั้น คนท้องถิ่นก็มักจะทำงานให้รัฐบาลเพราะเป็นงานที่เงินดีและมีเกียรติค่ะ ชนชั้นใช้แรงงานที่นี่มักเป็นชาวอินเดียหรือปากีสถาน และคนที่ทำงานบริการมักมาจากเอเชีย ส่วนพวกที่ทำงานออฟฟิสเป็นผู้จัดการหรือทำตำแหน่งดีๆก็จะเป็นชาวยุโรปค่ะ เรียกว่าหลากหลายจริงๆ

พอผ่านพิธีการรวจคนเข้าเมือง แหม่มก็ไปรับกระเป๋าเดินทาง2ใบใหญ่แล้วก็ออกมารอที่หน้าสนามบินค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รอ ลูกเรือชาวสิงคโปร์ที่จะเดินทางมาไฟลท์ใกล้ๆกัน เพราะเราพักอยุ่ที่เดียวกัน รอสักพักเจ้าหน้าที่อีกคนก็พาผู้หญิงมา3คน ดีใจมากที่จะมีเพื่อนแล้ว ไม่นึกเลยว่าจากวันนั้น เพื่อนสาวชาวสิงคโปร์ทั้ง3 คนนั้นจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ร่วมชะตาชีวิต และผูกพันธ์กันมาจนวันนี้ กินนอนด้วยกัน นั่งเฝ้าปรับทุกข์สุขกัน ดูแลกันเวลาเจ็บป่วย ร้อนใจ ถึงขนาดว่าแต่งงานกันไป แหม่มก็บินไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ ลาออกไป ก็ยังคุยกันอยู่ เรียกได้ว่า ถึงสถานะสมรสจะเปลี่ยนแต่มิตรภาพไม่เคยเปลี่ยนเลย ส่วนนึงที่ทำให้เรารักกันมากอาจเป็นเพราะการไปอยู่ต่างแดนเราไกลจากครอบครัว จากคนรักนะคะ มันก็เห็นอกเห็นใจ พึ่งพาช่วยเหลือกัน ทำให้รักกันมากกว่าคนที่เพื่อนร่วมงานตามปกติน่ะค่ะ

อ้าว เวิ่นไปซะไกล ย้อนมาว่า พอสมาชิกครบองค์ เจ้าหน้าที่ก็พามาที่อาคารที่พัก ซึ่งเป็นตึกสูงเหมือนคอนโดบ้านเรานี่่ะค่ะ สายการบินให้เราอยู่รวมกัน โดยที่ตึกที่แหม่มได้อยู่ชื่อว่า Manazel รู้สึกจะเป็นภาษาอารบิกแปลว่า บ้าน นะคะ หนึ่งห้องเปิดเข้าไป เป็นเหมือนห้องคอนโดใหญ่ๆ มีห้องนั่งเล่นมีชุดโซฟา ชั้นวางทีวี โต้ะทานข้าวแบบ 6 ที่นั่ง โคมไฟ  ห้องซักรีดที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องปั่นแห้ง ห้องครัวแบบเปิด พร้อมเตาและชั้นวางของติดตั้งไว้แล้ว ห้องนอน3ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้าพร้อม เรียกได้ว่า พร้อมอาศัยมากๆ นอกจากนี้ยังมี starter kit ซึ่งมีของกิน หม้อไห จานชามช้อนถ้วย ผ้านวม ผ้าปุเตียง หมอน ให้อีกพร้อมสรรพ เขาบอกว่าทุกตึกที่สายการบินจัดให้ลูกเรือจะมี ยิมและสระว่ายน้ำให้ลูกเรือออกกำลังกาย ซึ่งในตึกที่แหม่มอยู่นอกจากยิม ยังมีสนามสควทซ และที่สระก็มีซาวน่ากับห้องสตรีมอีก เรียกได้ว่าโชคดีมากๆเลยค่ะ ที่ได้อยู่ตึกนี้ ไว้จะทยอยเอารูปมาลงให้ดูนะคะ

Ep2
มาแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้คอยนะคะ แหม่มพึ่งทำไฟลท์มาถึงดูไบ  เอ้าเล่าต่อเลยละกัน  ห้องที่ตึกManazel เป็นแบบ 3 ห้องนอน นั่นก็หมายความว่าแหม่มจะต้องมีรูมเมทอีก2คนใช้ห้องนั่งเล่นและห้องครัวด้วยกัน สายการบินก็ใจดีนะคะ เขาพยายามจัดให้คนชาติเดียวกันพักด้วยกัน คนสูบบุหรี่พักกับคนสูบบุหรี่ ประมาณนี้เพื่อนสาวชาวสิงคโปร์3คนที่ตึกพร้อมกัน  2 คนคือJanice กับ Lynn ได้อยู่ด้วยกัน แฟลทเมทอีกคนเป็นก็เป็นคนสิงคโปร์ที่มาเทรน2อาทิตย์ก่อนหน้าเรา ส่วนElicia สาวสิงคโปรอีกคน เขาสูบบุหรี่ก็เลยได้พักอยู่ห้องเดียวกับคนมาเลเซีย และคนสิงคโปร์ที่มาอยู่ก่อนหน้า และก็สูบบุหรี่เหมือนกัน ส่วนแหม่ม เจ้าหน้าที่พาไปดูห้องเป็นคนสุดท้าย ห้องที่แหม่มอยู่ยังไม่มีใครมา แหม่มเข้าพักคนเดียวในห้องก่อน โหห ฟังแล้วโดดเดี่ยวพิลึก มาก็มาคนเดียว มาถึงยังต้องอยู่คนเดียวอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะมีคนมาอยู่ด้วย แหม่มคงหน้าเสียมั้งคะ เจ้าหน้าที่ก็เลยปลอบว่า อีกอาทิตย์หนึ่งจะมีคนไทยที่สอบผ่านสัมภาษณ์รอบเดียวกันตามมาอยู่ด้วยอีก 2คน Lynn ก็น่ารักมากๆ บอกว่าไม่ต้องเศร้าหรอก ถึงเราไม่ได้เป็นแฟลทเมทกันแต่เราก็เป็น batchmate (เพื่อนร่วมชั้น)กันนะ  แล้วก็ยิ้มแบบจริงใจมวากทั้งที่พึ่งรู้จักกัน ประทับใจเพื่อนชื่อLynn ตั้งแต่นาทีนั้นเลยค่ะ

หลังจากนั้น พวกเรา4สาวก็แยกย้ายมวลร่างกายไปพักผ่อนห้องใครห้องมันค่ะ ตกเย็น Lynnก็มาเคาะที่ห้อง ชวนออกไปซื้อของ ซื้อซิมโทรศัพท์ และก็หาใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อทางบ้านกัน พวกเรา4 คน ก็เลยเริ่มเดินสำรวจภูมิภาคกัน เล่าสักนิดว่า ที่ดูไบ ย่านที่แหม่มอยู่เรียกว่า Bur Dubai ค่ะเป็นย่านที่อยู่อาศัย ก็จะไม่ค่อยมีตึกสูงๆเท่าไหร่ ตึกที่แหม่มอยู่จัดเป็นตึกคู่ที่เด่นมากของย่านนั้น ตอนที่พวกเรา4สาวไปเดินแรกๆก็มีรถที่ขับอยู่บนถนนบีบแตรใส่แล้วก็ขับชะลอมาเลียบๆมองๆ  เราก็ยังไม่รู้กันว่าอะไร ค่อยมารู้ทีหลังว่าที่เขาทำอย่างนั้นเพราะเขานึกว่าเราเป็นสาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาขายบริการค่ะ เพราะละแวกนั้นมีโรงแรมจิ้งหรีดที่สาวๆพวกนั้นทำงานกันอยู่ ก็เลยมาเทียบเคียงเพื่อดูตัวอะไรอย่างนี้ รู้แล้วดเลยค่ะ ขนาดแต่งตัวมิดชิดธรรมดานะนั่น

ส่วนย่านถนนสายธุรกิจที่มีตึกสูงๆมากมาย มีชื่อว่า Shiekh Zyed Roadค่ะ เทียบกับเมืองไทยก็คงเป็นสีลมประมาณนั้นค่ะ บ่องตงว่า แหม่มพึ่งมาทราบตอนอยู่ที่นี่ล่ะค่ะ ว่าคำว่า Shiekh ที่แปลว่าหัวหน้าเผ่าหรือเจ้าชายชาวอารบิก อ่านว่า เชค ค่ะไม่ใช่ ชีค อย่างที่เราๆท่านๆออกเสียงกัน ถนนนี้เขามีชื่อว่า เชคไซเอ็ดค่ะ มีลูกเรือหลายคนก็ได้พักตึกลูกเรือที่อยู่บนถนนสายนี้นะคะ ก็ไฮโซกันไปประมาณว่าได้อยู่คอนโดสีลม สาธรเลยว่างั้นไปไหนมาไหนก็จะสะกว่า และมีร้านค้า ร้านอาหารดีๆมากกว่าย่านฝั่งธน Bur Dubai ของแหม่มค่ะ

พวกเราออกไปสำรวจก็ได้เจอsupermarketสองแห่ง ที่หนึ่งเป็นของอินเดีย อีกที่เป็นของอังกฤษ เราก็ไม่รอช้า เข้าอันของอินเดียค่ะ เพราะของถูกกว่า 555 และที่นี่ก็มีผักหน้าตาเหมือนของบ้านเราเลย พวกเรายังไม่ได้มีรายได้ ค่าเทรนอะไรใช่มั้ยคะ ก็เลยซื้อกันมาแค่พวกของใช้ที่จำเป็นที่ไม่ได้รวมอยู่ใน Starter kit และก็ของสดเพื่อมาทำกับข้าวทานกัน เมนูวันนั้น พอจะทายได้ไหมคะว่าอะไร ไข่เจียวค่ะ ข้าวผัด และไข่เจียวเป็นเมนูกันตายที่ทำง่ายแต่เรียกน้ำลายได้ตลอดเวลา ยิ่งมาอยู่ต่างแดน ยิ่งอร่อยซึ้งค่ะ เพื่อนๆชาวสิงคโปร์ทำกับข้าวไม่เป็นกัน ก็เลยชื่นชอบฝีมือสาวไทยกันใหญ่ทั้งที่แหม่มก็ไม่ได้ทำเมนูยากอะไรเลย ได้หน้าไปซะงั้น หรือเขาชมเพื่อหลอกให้เราทำก็ไม่รู้หัวเราะ

พวกเรามีเวลาได้พักจัดข้าวของกันอีกวันนึงค่ะ ก่อนที่จะเริ่มเทรนกัน ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยนะคะ เพราะเป็นประเทศที่ปกครองโดยศาสนาอิสลาม วันทำงานเริ่มจากวันอาทิตย์ค่ะ วันหยุดสุดสัปดาห์คือวันศุกร์และ เสาร์ วันแรกที่พวกเราเริ่มเทรน บริษัทให้เราแต่งชุดสุภาพค่ะ  พอแต่งตัวเสร็จลงมาที่ล้อบบี้รอรถมารับที่ตึกตอนเช้า ก็เลยได้รู้จักเพื่อน Batchmateที่พักตึกเดียวกันเพิ่ม มีสามสาวจากนิวซีแลนด์ หนึ่งสาวไอริช และอีกหนึ่งสาวอังกฤษจากเมืองลิเวอร์พูลค่ะ ถึงแหม่มจะเรียนเอกอังกฤษที่ธรรมศาสตร์มา แต่พอเจอสำเนียงคนลิเวอรพูลเข้าไป ใบ้เลยค่ะ ฟังนางไม่ออกสักคำ ไม่ออกจริงๆค่ะ สารภาพ หันไปถามเพื่อนสิงคโปร์ว่าฟังออกไหม เขาก็บอกออกบ้างไม่ออกบ้าง แล้วก็ช่วยแปลอังกฤษเป็นอังกฤษให้แหม่มอีกต่อหนึ่ง เวลาแหม่มคุยกับสาวลิเวอร์พูล คนอื่นขำกันกลิ้ง เพราะนางก็ฟังแหม่มไม่ออก แหม่มก็ฟังนางไม่ออก สองคนพูดกันแต่ไม่มีใครเข้าใจกันเลย ฮากันอย่างเดียว และเพื่อนสาวคนนี้ นางไม่เคยไปเมืองนอกเลยค่ะ นางบอกว่านางคิดมาตลอดว่าพวกเราคนเอเชีย หัวดำ พูดภาษาเดียวกันทั่วโลก คือภาษาเอน ค่ะ เอากะนางสิ ฮามั้ยคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่