นักการเมืองของไทยไม่ว่ากลุ่มใดพรรคใดต่างก็ร้องประสานเสียงคำว่า “ปรองดอง” จนทำให้คำนี้มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายเดิม
กล่าวคือ “ปรองดอง” หมายถึง การที่ผู้คนในสังคมหนึ่งสังคมใดมีความสามัคคีกันโดยยอมรับความเห็นต่างที่มีต่อกันได้ โดยมีเจตนารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกัน มองข้ามความเห็นต่างและมีเจตนาแน่วแน่ที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ซึ่งตรงข้ามกับความปรองดองที่นักการเมืองในปัจจุบันปฏิบัติ
เพราะนักการเมืองบางคนและกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม อ้างคำ “ปรองดอง” เพื่อประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่ฟังความรู้สึกของฝ่ายที่ไม่ใช่พรรคพวกหรือกลุ่มของตน
ดังจะเห็นได้จากกลุ่มที่อ้างว่า พวกตนมาจากการเลือกตั้งและอ้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ถือว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในหลักประชาธิปไตยนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงขบวนการเท่านั้น
เพราะหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐในประเทศกรีก ซึ่งขณะนั้นในรัฐนั้นๆ มีพลเมืองไม่มาก เพราะฉะนั้นประชาชนทุกคนร่วมกันประชุมในรูปของสภาประชาชนที่มีอำนาจในการปกครอง แต่ต่อมามีพลเมืองมากขึ้นจนไม่สามารถที่ทุกคนจะร่วมประชุมได้ จึงต้องเลือกตัวแทนมาร่วมประชุมจึงเกิดสังคมประชาธิปไตยแบบตัวแทนขึ้น
และเพื่อเป็นการถ่วงดุลในการปกครองประชาชนจึงมีสิทธิในการออกเสียงประชามติ ในกรณีที่สภาอันเป็นตัวแทนอาจมีความเห็นต่างกว่าประชาชนส่วนใหญ่
ซึ่งต่อมามีรูปแบบและรายละเอียดมากจนในที่สุดมาถึงปัจจุบันการปกครองระบอบนี้ยอมรับอำนาจอธิปไตยที่แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
สำหรับอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารนั้น บางสังคมแบ่งแยกกันเด็ดขาด ได้แก่ คณะผู้บริหารมาจากการเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ การเลือกผู้บริหารโดยตรง ส่วนอำนาจตุลาการนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นอำนาจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจอื่น
โดยเฉพาะประเทศไทยนับแต่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นต้นมา ยอมรับว่าอำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่เป็นอิสสระ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระที่ใช้ตรวจสอบพฤติกรรมของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อถ่วงดุลอีกด้วย
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีการถ่วงดุลของอำนาจดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปกครองประชาธิปไตยที่ว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
เมื่อกลับมาดูสถานการณ์ทั้งการเมืองและสังคมของไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า กำลังก้าวไปสู่การปกครองระบอบอื่นโดยอาศัยหลักการประชาธิปไตย เปรียบได้กับนิทานสุภาษิตที่ว่า การปกครองระบบพวกมากลากไป ส่งผลให้ชนชั้นในสังคมของไทยกลับมาอีก ได้แก่ ชนชั้นปกครองที่อาศัยเงินกับลัทธิประชานิยมเป็นเครื่องมือ กับประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครอง
สังคมเช่นนี้เรียกว่า “สังคมธนาธิปไตย” ส่งผลให้ประเทศไทยไม่ได้ปกครองโดยระบบนิติรัฐ
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6916
ปล.นี่แหล่ะครับ ระบอบการปกครองของประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน...เอิ๊ก ๆ ๆ
ลัทธิประชานิยม…. เป็นการปกครองระบอบธนาธิปไตยไม่ใช่ประชาธิปไตย
กล่าวคือ “ปรองดอง” หมายถึง การที่ผู้คนในสังคมหนึ่งสังคมใดมีความสามัคคีกันโดยยอมรับความเห็นต่างที่มีต่อกันได้ โดยมีเจตนารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกัน มองข้ามความเห็นต่างและมีเจตนาแน่วแน่ที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ซึ่งตรงข้ามกับความปรองดองที่นักการเมืองในปัจจุบันปฏิบัติ
เพราะนักการเมืองบางคนและกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม อ้างคำ “ปรองดอง” เพื่อประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่ฟังความรู้สึกของฝ่ายที่ไม่ใช่พรรคพวกหรือกลุ่มของตน
ดังจะเห็นได้จากกลุ่มที่อ้างว่า พวกตนมาจากการเลือกตั้งและอ้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ถือว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในหลักประชาธิปไตยนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงขบวนการเท่านั้น
เพราะหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐในประเทศกรีก ซึ่งขณะนั้นในรัฐนั้นๆ มีพลเมืองไม่มาก เพราะฉะนั้นประชาชนทุกคนร่วมกันประชุมในรูปของสภาประชาชนที่มีอำนาจในการปกครอง แต่ต่อมามีพลเมืองมากขึ้นจนไม่สามารถที่ทุกคนจะร่วมประชุมได้ จึงต้องเลือกตัวแทนมาร่วมประชุมจึงเกิดสังคมประชาธิปไตยแบบตัวแทนขึ้น
และเพื่อเป็นการถ่วงดุลในการปกครองประชาชนจึงมีสิทธิในการออกเสียงประชามติ ในกรณีที่สภาอันเป็นตัวแทนอาจมีความเห็นต่างกว่าประชาชนส่วนใหญ่
ซึ่งต่อมามีรูปแบบและรายละเอียดมากจนในที่สุดมาถึงปัจจุบันการปกครองระบอบนี้ยอมรับอำนาจอธิปไตยที่แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
สำหรับอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารนั้น บางสังคมแบ่งแยกกันเด็ดขาด ได้แก่ คณะผู้บริหารมาจากการเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ การเลือกผู้บริหารโดยตรง ส่วนอำนาจตุลาการนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นอำนาจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจอื่น
โดยเฉพาะประเทศไทยนับแต่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นต้นมา ยอมรับว่าอำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่เป็นอิสสระ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระที่ใช้ตรวจสอบพฤติกรรมของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อถ่วงดุลอีกด้วย
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีการถ่วงดุลของอำนาจดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปกครองประชาธิปไตยที่ว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
เมื่อกลับมาดูสถานการณ์ทั้งการเมืองและสังคมของไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า กำลังก้าวไปสู่การปกครองระบอบอื่นโดยอาศัยหลักการประชาธิปไตย เปรียบได้กับนิทานสุภาษิตที่ว่า การปกครองระบบพวกมากลากไป ส่งผลให้ชนชั้นในสังคมของไทยกลับมาอีก ได้แก่ ชนชั้นปกครองที่อาศัยเงินกับลัทธิประชานิยมเป็นเครื่องมือ กับประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครอง
สังคมเช่นนี้เรียกว่า “สังคมธนาธิปไตย” ส่งผลให้ประเทศไทยไม่ได้ปกครองโดยระบบนิติรัฐ
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6916
ปล.นี่แหล่ะครับ ระบอบการปกครองของประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน...เอิ๊ก ๆ ๆ