เสรีภาพภายใต้ความสุขของคนส่วนใหญ่ คือเสรีภาพจอมปลอม

กระทู้สนทนา


ปิดกั้นกันจัง การกระทำแบบนี้ไม่แตกต่างอะไรกับการเป็นเด็กที่เติบโตภายใต้ครอบครัวเผด็จการ ถูกสั่งสอนว่าการช่วยตัวเองเป็นเรื่องไม่ดี ถูกสั่งห้ามโน้นห้ามนี้ ไม่ได้ถูกเคารพในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล

ผมไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยที่ตั้งอยู่บนรากฐานของอรรถประโยชน์นิยม แม้ตัวเองจะจบทางศาสตร์ที่ใช้อรรถประโยชน์นิยมเป็นรากฐานก็เถอะ

สำนักอรรถประโยชน์นิยมก่อตั้งโดย Jeremy Bentham ซึ่งเป็นผู้ให้ต้นกำเนิดแนวคิด เดิมทีเขาบอกว่า เราแยกได้ว่าอรรถประโยชน์อะไรเหนือกว่าอะไร แม้จะไม่เข้าใจ เช่น ให้เลือกว่า ดูมวยปล้ำ กับ ฟังดนตรี classic ของชองแปง ผลการเลือกก็จะมีการเลือกแบ่งไปตาม "รสนิยม" ของแต่ละคน แต่เมื่อถามถึงว่าอะไรเหนือกว่าอะไร (หมายถึงอรรถประโยชน์ที่มีคุณค่าสูงส่ง) แม้กระทั่งคนที่เลือกชอบดูมวยปล้ำยังเลือกให้มวยปล้ำต่ำกว่าการฟังดนตรี classic (จะเอางานวิจัยอ้างอิงรบกวนถามนะ ขี้เกียจเปิดค้นแต่ถ้าจะเอาจะหาให้)

ขณะที่ John Stuart Mill (คนนี้ใครจบคณะเดียวกับผมต้องรู้จักแหละ แนะนำให้อ่านงานของเค้า) มาปรับปรุงว่า แต่ละคนจะเลือกอรรถประโยชน์โดยเป็นไปได้ไหมว่าจะก่อความเดือดร้อนกับคนกลุ่มอื่น หมายถึงก็เลือกภายใต้ข้อจำกัด

กลับมาที่ประชาธิปไตย หลายๆกฏหมายในบ้านเรา ก็ตั้งอยู่ภายใต้รากฐานของอรรถประโยชน์นิยม เช่น

ห้ามขายเหล้าในวันพระ ส้นเท้าเถอะอรรถประโยชน์นิยมแบบเผด็จการทางศาสนาชัดๆ โลกหลุดพ้นจากการครอบงำทางศาสนามาแค่ร้อยกว่าปีและให้คำตอบที่ศาสนาใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยปีให้ไม่ได้ ทำไมยังจะยัดเหยียดศาสนากลับเข้าไปในการปกครอง ประชาธิปไตยเรื่องอะไรเอาศาสนามาเป็นข้ออ้างในการห้ามอะไรสักอย่าง สุดท้ายมองได้อย่างเดียวมันกลับไปสู่รากฐานของอรรถประโยชน์นิยม คนส่วนมากในประเทศนี้นับถือศาสนาพุทธและการทำตัวเป็นชาวพุทธตอแหลทำให้พวกเค้ามีความสุขและมันมากกว่าคนต่อต้านโลกอย่างผม

การจำกัดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แห๊ม ประชาธิปไตยมากเสียจริง กระทั่งเวลาดื่มยังถูกกำหนดโดยรัฐ ไม่ทราบว่าอยู่ในประเทศเผด็จการหรือไร บางคนอาจจะทำงานเลิกตีสี เลิกแปดโมง นอนกลางวัน เข้างานอีกทีสองทุ่ม.... อืมรัฐรู้ตารางงานของประชากรทั้งหมดว่าทำงานตอนกลางวัน

แค่อยากจะดูเว็ปโป๊ (ไม่ต้องห่วงหรอกผมมีทีให้ดูแค่อยากเอามาบ่น) ก็ถูกจัดว่าไม่เหมาะสมโดยคนส่วนใหญ่ ข้ออ้างที่ดีมากคือ ไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งๆที่อาบอบนวดนาบเปิดให้เห็นกันเต็มตา เด็กวัยรุ่นรู้หมดโรงแรมสยามอยู่ตรงไหน มีอะไร เห็นปิดเว็ปโป๊แค่ redirect ง่ายๆก็คือการห้ามอ่าน ห้ามดู เหมือนเป็นเด็กเล็กในครอบครัวเผด็จการ พ่อแม่ดุมาก แต่สุดท้ายก็ยังช่วยตัวเองเป็น ? ได้อะไรขึ้นมา ถามกันจริงๆเถอะไม่เคยมี sex กันหรอ ? ไม่เคยดูกันหรอ ? เราทุกคนล้วนเคยดูกันทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมเราต้องปิดกั้นว่ามันไม่ดี ไม่งาม แทนที่จะปล่อยให้มันอยู่ในที่ของมันเฉยๆ มันต่างอะไรกับไปซื้อ FHM หรือนางแบบถ่ายชุดว่ายน้ำลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง สุดท้ายเราก็แค่วางอะไรที่คิดว่าไม่ดีไว้นอกกรอบให้มันเข้าถึงยากกว่าเดิม โดยหวังว่าลูกๆเราจะเข้าไม่ถึง แต่ไม่เคยถามกันเลยว่า แล้วทุกๆครั้งที่เราหยิบออกมา มันส่งผลอะไร การวางไว้ตรงกันเป็นอะไร

ปัญหาการทำแท้ง แห๊มตามกฏหมายแล้วการทำแท้งภายในประเทศไทยนี้ผิดกฏหมายมีข้อยกเว้นอยู่สองอย่างมั้ง คือเป็นอันตรายต่อมารดากับถูกข่มขืน แต่แปลกนะเมืองพุทธนี้ปากว่าตาขยิบ ทำแท้งเถื่อนบ้างทำแท้งแบบผิดกฏหมายแต่ถูกอนามัยในโรงพยาบาลบางแห่งก็ยังมีอยู่ ยังไม่นับยาทำแท้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ตให้ว่อน จริงๆแล้วเราควรเปิดการทำแท้งเสรี เพราะไม่ว่ายังไงในแต่ละปีก็ยังจะมีผู้หญิงทำแท้งเถื่อนอยู่ดี การทำแท้งเสรีแบบถูกกฏหมายนอกจากจะทำให้สุขอนามัยของคนทำแท้งดี ยังมีผลต่อประชากรในอนาคต คิดดูนะ แม่วัยรุ่นในประเทศนี้คลอดลูกทุกๆ 5 นาที(เข้าใจว่าตัวเลขจริงๆต่ำกว่านี้แต่ไม่แม่น)  เด็ก 15 มีลูก หมดอนาคตเรียบร้อย อย่าเถียงว่าอาจจะมีครอบครัวช่วยดูแล แต่นับดูนะ เอาต่ำๆจบ ปวชก็ อีก 5 ปี ระหว่างนั้นเหนื่อยบรรลัยแน่ เลี้ยงเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เอานมยัดในปากแล้วจะจบ เด็กแต่ละคนมีต้นทุนทางครอบครัวต่างกัน (ข้ามๆมันไปละกัน) ซึ่งจะทำให้มีคุณภาพต่างกัน กับเด็กที่แม่มีอายุ 15ปี คิดว่าต้นทุนจะสูง ?  มีสถิตินึงที่น่าสนใจคือ คู่ที่มีการศึกษาสูงจะแต่งงานช้า ขณะที่ประชากรในประเทศไทยค่าเฉลี่ยผู้หญิงแต่งงานอยู่ที่อายุ 19 ปี (สถิติเมื่อสักสองปีที่แล้ว) ปวดหัวบรรลัยทั้งๆที่ตามกฏหมายอนุญาติให้แต่งที่ 20 หรือ 17 ถ้าได้รับการยินยอม  

ถ้าเราเปิดการทำแท้งเสรีนอกจากตัวบุคคลจะได้เลือกที่จะเก็บเด็กให้มีชีวิตไหม (นอกจากการเลือกที่ว่าจะส่งให้สถานรับเลี้ยง) มันควรดีขึ้นเพราะการมีบุตรเมื่อพร้อมจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กให้เติบโตมามีคุณภาพและชีวิตที่ดีได้  ไม่งั้นก็วนเวียนอยู่แบบนี้ สก๊อยท้อง ทำแท้งไม่ได้ ออกลูก เลี้ยงทิ้งๆขว้างๆท้องอีก... เด็กที่โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างในกรณีของคนผิวสีช่วงก่อนหน้านี้ที่มีความแตกต่างระหว่างสีผิวมากๆ

ที่สำคัญคือ รัฐไม่ควรเข้าเ-ือกกับปัญหาที่แหลมคมทางศีลธรรมนี้ ไม่ต้องอ้างเมืองพุทธ ไม่ต้องยุ่ง ปล่อยให้ปักเจกเป็นผู้ตัดสินใจ....

การที่กระทำเช่นนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการเป็นเผด็จการ เมื่อเราไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นเลือกก็เท่ากับว่าเราไม่เคารพเค้าในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล เพราะถ้าเราเคารพกันจริงๆแล้ว เราควรให้เขาได้มีโอกาสเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ปิดปาก ปิดตา ปิดหู


Si le paradis vous est offert,  ถ้าบนสวรรค์น่ะจะมีพวกแก
Je peux bien vendre mon âme au diable  ,ฉันขอลงนรกไปคุยกับผองผีจะดีกว่า
Avec lui on peut s'arranger,  พวกมันคงพอจะพูดง่ายเข้าใจไม่อยาก
Puisque ici tout est négociable, mais vous n'aurez pas,  ในเมื่อชีวิตนี้ก็จะถูกเซ็งลี้อยู่แล้ว
Non vous n'aurez pas,  แต่อย่าลืมนะว่า นายเอาอะไรไปไม่ได้อย่างนึง
Ma liberté de penser.  คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด

มีคนแปลไว้ในนี้

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=boonchit&date=25-09-2007&group=4&gblog=14
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่