“บล.กสิกรไทย” ชี้ “การเมือง-คิวอี” กดดันหุ้นไทย Q3 ร่วงได้ถึง 100 จุด ลงไปตั้งหลักที่ระดับ 1,500 จุด แต่คาดว่า Q4 ดัชนีอาจเด้งกลับได้ ยอมรับ “บอนด์ช็อก” กระทบเม็ดเงินนอกแผ่ว เม็ดเงินเก่าไหลออก ส่วนเม็ดเงินใหม่ชะงักไม่ไหลเข้า ขณะที่กำไร บจ. ช่วงกลางปีมักอยู่ในภาวะซบเซา ส่วนภาวะหุ้นภาคเช้าปิดบวก 3 จุด แรงซื้อบิ๊กแคปพยุงดัชนี
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ยังมีความผันผวนจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 โดยเชื่อว่าจะไม่กระทบตลาดหุ้น หาก กนง. ตัดสินใจตามตลาดคาดการณ์ แต่ต้องติดตามมาตรการอื่นๆ ที่อาจจะออกมาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่จะร้อนแรงจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ จนเกิดภาวะฟองสบู่ในอนาคต
โดยเบื้องต้น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้หุ้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองที่จะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้น และเศรษฐกิจไทย ประกอบกับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 4 ต่ำกว่าไตรมาส 1 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 รวมทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 2-3 จะเป็นช่วงที่กำไรต่ำที่สุด
ดังนั้น จึงมีหลายปัจจัยที่กดดันตลาดอยู่ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มปรับลดลงประมาณร้อยละ 5-10 จากระดับ 1,600 จุดในปัจจุบัน หรือประมาณ 100 จุด โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,550 จุด และ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนระยะกลางสามารถเข้าสะสมหุ้นเพื่อลงทุนได้ แต่ บล.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีปลายปีที่ 1,700 จุด โดยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ และธนาคารพาณิชย์
สำหรับปัจจัยภายนอกมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะยุติมาตรการอัดฉีดเงิน (คิวอี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่ากำหนด ทำให้นักลงทุนกังวลว่ากะแสเงินทุนต่างชาติจะไหลออก และเม็ดเงินต่างชาติใหม่ที่จะเข้ามาจะชะลอตัวลงด้วย จึงได้มีการเทขายทำกำไรออกมา โดยเห็นได้ชัดจากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่คาดว่าแรงเทขายน่าจะชะลอตัวลง เพราะเชื่อว่าเฟดจะไม่เรียกเงินคืนทั้ง 100% ในทันที
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,623.01 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.44 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 28,176.35 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อในกลุ่มบิ๊กแคปพยุงดัชนี
เตือน “การเมือง-คิวอี” อาจกดดันหุ้นไทย Q3 ร่วงได้ถึง 100 จุด คาดลงไปตั้งหลักที่ระดับ 1,500 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ยังมีความผันผวนจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 โดยเชื่อว่าจะไม่กระทบตลาดหุ้น หาก กนง. ตัดสินใจตามตลาดคาดการณ์ แต่ต้องติดตามมาตรการอื่นๆ ที่อาจจะออกมาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่จะร้อนแรงจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ จนเกิดภาวะฟองสบู่ในอนาคต
โดยเบื้องต้น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้หุ้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองที่จะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้น และเศรษฐกิจไทย ประกอบกับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 4 ต่ำกว่าไตรมาส 1 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 รวมทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 2-3 จะเป็นช่วงที่กำไรต่ำที่สุด
ดังนั้น จึงมีหลายปัจจัยที่กดดันตลาดอยู่ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มปรับลดลงประมาณร้อยละ 5-10 จากระดับ 1,600 จุดในปัจจุบัน หรือประมาณ 100 จุด โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,550 จุด และ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนระยะกลางสามารถเข้าสะสมหุ้นเพื่อลงทุนได้ แต่ บล.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีปลายปีที่ 1,700 จุด โดยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ และธนาคารพาณิชย์
สำหรับปัจจัยภายนอกมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะยุติมาตรการอัดฉีดเงิน (คิวอี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่ากำหนด ทำให้นักลงทุนกังวลว่ากะแสเงินทุนต่างชาติจะไหลออก และเม็ดเงินต่างชาติใหม่ที่จะเข้ามาจะชะลอตัวลงด้วย จึงได้มีการเทขายทำกำไรออกมา โดยเห็นได้ชัดจากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่คาดว่าแรงเทขายน่าจะชะลอตัวลง เพราะเชื่อว่าเฟดจะไม่เรียกเงินคืนทั้ง 100% ในทันที
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,623.01 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.44 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 28,176.35 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อในกลุ่มบิ๊กแคปพยุงดัชนี