ครั้นที่ได้ยินคำนี้ อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ ก็ งง !! ทำไม ? งมงายอย่างไร แต่พอมาได้ศึกษา
ธรรมะ ศึกษาพุทธศาสนา ก็เข้าใจว่าทำไมถึงอย่า งมงายใน วิทยาศาสตร์ ก่อนอื่นเลยเราต้องเช้าใจ
ก่อนว่าเป้าหมาย หรือ วัตถุของการศึกษาในแต่ละศาสตร์นั้นไม่เหมือนกัน
ศาสตร์ แปลว่า ความรู้ที่มนุษย์ได้รับหรือประสบพบเจอมาแล้วได้เข้าสู่กระบวนการ วิเคราะห์ แยกแยะ
แล้ว จนเป็นระบบ
วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ในทางโลกที่อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆในโลกนี้อย่างมี้เหตุผลและเป็นระบบ ซึ่ง
การอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เป็นการอธิบายในรูปของ "อัตตา" พูดง่ายๆคือยิดติดในรูป รส กลิ่น เสียง อย่างนี้ในปัจจุบัน
ที่นักวิทยาศาสตร์ ทั่วโลกกำลังค้นหา "มวลที่เล็กที่สุดในโลก" หรือ "ฮิกโบซอล" เพื่อกำลังอธิบายว่าจักรวาล เกิดขึ้น ดำเนินไปได้อย่างไร
พุทธศาสนา หรือ พุทธศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ นิพพาน เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เรากำลังจะบอกว่า พุทธศาสตร์
ได้อธิบายปรากฎการณ์ของโลก ในรูปแบบ อนัตตา หรือ ไม่ได้ยิดติดกับ รูป รส กลิ่น หรือเสียง แต่พูดถึง จิต วิญาญาณ กายทิพ กายละเอียด
สุดแล้วแต่จะเรียกกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งสองศาสตร์นั้น จุดมุ่งหมายสำคัญของการศึกษาและพิสูจย์เป็นคนละเรื่องกัน ศาสตร์หนึ่งเน้น รูป พิสูจย์ได้ด้วยตา ประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่อีกศาสตร์ กลับมีสัมผัสที่หกเพิ่มขึ้นมาคือ จิตใจ
ถ้าจะบอกว่าพุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์นั้น ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ วิทยาศาสตร์ ยังห่างไกลกว่าพุทธศาสตร์มาก ถ้าในอนาคต วิทยาศาสตร์ สามารถสร้างเครื่องที่วัดพลังจิต ตรวจจับวิญญาณได้ ก็ค่อยว่ากันว่าใกล้เข้าถึงแล้ว ในปัจจุบัน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถสร้างได้เพียงอุปกรณ์ที่สั่งการด้วยสมองได้ แต่ยังไม่ลึกไปถึง จิตที่เรียกว่า กายทิพ หรือ วิญญาณ คงต้องรอต่อไป
แต่ถ้าบอกว่า พุทธศาสตร์ มีหลักการบางเรื่องที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์แล้วก็ละก็ ถูกต้องอยู่ เช่น หลักเรื่อง เหตุและผล อริยสัจ 4 หลักเรื่องการพิสูจย์ก่อนที่จะเชื่อ ไม่ได้บังคับว่าต้องเชื่อก่อนถึงจะเห็น คือ ลองมาปฏิบัติดูก่อนแล้วจะเห็นเอง
ดังนั้น จากคำกล่าวที่ว่า อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ ก็หมายถึง พุทธศาสนานั้นได้พัฒนาไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องบางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็แก้ไม่ได้ เช่น "ความทุกข์"
ความทุกข์ เป็นของที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ตามกฎไตรลักษณ์ ไม่มีใครที่ไม่เคยมีความทุกข์ และความทุกข์นี้แหละ ที่ร้ายแรงซะยิ่งกว่าโรคร้าย หรือ อาวุธนิวเคลียร์ เพราะมันทำให้มนุษย์ทำอะไรลงไปได้ก็ได้ โดยขาดสติยั้งคิด ที่เราๆท่านๆเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั่นเอง
ศาสนาพุทธ ได้บอกวิธีการจัดการกับความทุกข์ไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและกำจัดความทุกข์นั้นได้อย่างถาวร แต่วิทยาศาสตร์นั้นทำไม่ได้
สุดท้าย หากเรางมงายในวิทยาศาสตร์ เราเองที่จะเป็นทุกข์ และเป็นทาสของความทุกข์ ทุกข์อะไร ? ก็ทุกข์ที่ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ผิดหวัง ไม่สมหวัง ไม่ได้ดั่งใจ นั่นแหละท่านตกเป็นทาสของความทุกข์แล้ว
อย่างมงายในวิทยาศาสตร์
ธรรมะ ศึกษาพุทธศาสนา ก็เข้าใจว่าทำไมถึงอย่า งมงายใน วิทยาศาสตร์ ก่อนอื่นเลยเราต้องเช้าใจ
ก่อนว่าเป้าหมาย หรือ วัตถุของการศึกษาในแต่ละศาสตร์นั้นไม่เหมือนกัน
ศาสตร์ แปลว่า ความรู้ที่มนุษย์ได้รับหรือประสบพบเจอมาแล้วได้เข้าสู่กระบวนการ วิเคราะห์ แยกแยะ
แล้ว จนเป็นระบบ
วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ในทางโลกที่อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆในโลกนี้อย่างมี้เหตุผลและเป็นระบบ ซึ่ง
การอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เป็นการอธิบายในรูปของ "อัตตา" พูดง่ายๆคือยิดติดในรูป รส กลิ่น เสียง อย่างนี้ในปัจจุบัน
ที่นักวิทยาศาสตร์ ทั่วโลกกำลังค้นหา "มวลที่เล็กที่สุดในโลก" หรือ "ฮิกโบซอล" เพื่อกำลังอธิบายว่าจักรวาล เกิดขึ้น ดำเนินไปได้อย่างไร
พุทธศาสนา หรือ พุทธศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ นิพพาน เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เรากำลังจะบอกว่า พุทธศาสตร์
ได้อธิบายปรากฎการณ์ของโลก ในรูปแบบ อนัตตา หรือ ไม่ได้ยิดติดกับ รูป รส กลิ่น หรือเสียง แต่พูดถึง จิต วิญาญาณ กายทิพ กายละเอียด
สุดแล้วแต่จะเรียกกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งสองศาสตร์นั้น จุดมุ่งหมายสำคัญของการศึกษาและพิสูจย์เป็นคนละเรื่องกัน ศาสตร์หนึ่งเน้น รูป พิสูจย์ได้ด้วยตา ประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่อีกศาสตร์ กลับมีสัมผัสที่หกเพิ่มขึ้นมาคือ จิตใจ
ถ้าจะบอกว่าพุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์นั้น ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ วิทยาศาสตร์ ยังห่างไกลกว่าพุทธศาสตร์มาก ถ้าในอนาคต วิทยาศาสตร์ สามารถสร้างเครื่องที่วัดพลังจิต ตรวจจับวิญญาณได้ ก็ค่อยว่ากันว่าใกล้เข้าถึงแล้ว ในปัจจุบัน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถสร้างได้เพียงอุปกรณ์ที่สั่งการด้วยสมองได้ แต่ยังไม่ลึกไปถึง จิตที่เรียกว่า กายทิพ หรือ วิญญาณ คงต้องรอต่อไป
แต่ถ้าบอกว่า พุทธศาสตร์ มีหลักการบางเรื่องที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์แล้วก็ละก็ ถูกต้องอยู่ เช่น หลักเรื่อง เหตุและผล อริยสัจ 4 หลักเรื่องการพิสูจย์ก่อนที่จะเชื่อ ไม่ได้บังคับว่าต้องเชื่อก่อนถึงจะเห็น คือ ลองมาปฏิบัติดูก่อนแล้วจะเห็นเอง
ดังนั้น จากคำกล่าวที่ว่า อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ ก็หมายถึง พุทธศาสนานั้นได้พัฒนาไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องบางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็แก้ไม่ได้ เช่น "ความทุกข์"
ความทุกข์ เป็นของที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ตามกฎไตรลักษณ์ ไม่มีใครที่ไม่เคยมีความทุกข์ และความทุกข์นี้แหละ ที่ร้ายแรงซะยิ่งกว่าโรคร้าย หรือ อาวุธนิวเคลียร์ เพราะมันทำให้มนุษย์ทำอะไรลงไปได้ก็ได้ โดยขาดสติยั้งคิด ที่เราๆท่านๆเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั่นเอง
ศาสนาพุทธ ได้บอกวิธีการจัดการกับความทุกข์ไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและกำจัดความทุกข์นั้นได้อย่างถาวร แต่วิทยาศาสตร์นั้นทำไม่ได้
สุดท้าย หากเรางมงายในวิทยาศาสตร์ เราเองที่จะเป็นทุกข์ และเป็นทาสของความทุกข์ ทุกข์อะไร ? ก็ทุกข์ที่ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ผิดหวัง ไม่สมหวัง ไม่ได้ดั่งใจ นั่นแหละท่านตกเป็นทาสของความทุกข์แล้ว