เมื่อเกิดเรื่องที เราก็มักจะหันมามองที กับอุบัติเหตุรถตู้โดยสารที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแต่ละครั้งก็รุนแรงเหลือเกิน ทุกๆครั้ง เราก็ได้แต่สงสารหรือเห็นใจครอบครัวที่สูญเสีย ในขณะเดียวกันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็โล่งใจที่คนที่เรารักหรือแม้แต่ตัวเราเองยังโชคดีที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
เมื่อวานตอนเย็นขากลับเข้ากรุงเทพฯ เห็นสภาพของผู้เสียชีวิตที่ยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับตอนเกิดเหตุ และหน่วยกู้ภัยยังไม่มา หนึ่งในนั้น เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของหลานสาวชั้น ม. 3 ที่จำเป็นต้องอาศัยบริการขนส่งสาธารณะในการเข้า-ออกกรุงเทพฯ เพื่อเรียนพิเศษ ติวหนังสือ เป็นความจำเป็นสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง ไปจนถึงครอบครัวคนระดับล่าง ที่ต้องเอาชีวิตไปแขวนไว้กับดวง หรือกับสำนึกความระมัดระวังและรับผิดชอบของคนขับขี่รถตู้ที่บอกตามตรงว่า...มีระดับความรับผิดชอบและจิตสำนึกที่น้อยมาก
รถตู้...ทำไมต้องขับเร็ว ???
จริงอยู่ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่ป้องกันยาก เพราะรถพ่วงดันแถย้อนมาจากฝั่งตรงข้าม แต่ในความเป็นจริงที่เราๆทราบกันอยู่ก็คือ ความเร็วที่รถตู้เหล่านี้ใช้ มันก็ไม่เคยน้อยกว่า 120 กม./ ชม.
ยิ่งขับรถด้วยความเร็วมาก เมื่อเกิดเหตุ ความสูญเสียก็่่ยิ่งมาก
หลังจากกรณีแพรวา 9 ศพบนโทลล์เวย์ เราก็ยังคงเห็นรถตู้ มธ. สายเดิมๆ หรือสายอื่นๆ วิ่งกันด้วยความเร็ว 140 บนทางยกระดับแบบนั้น
เมื่อเกิดเหตุที เราก็หันมาดูกันที
เมื่อวัวหายที เราก็ล้อมคอกกันที
เรายังไม่เคยเห็นการกำกับดูแลที่เอาจริงเอาจังและเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการจับความเร็ว การยึดใบอนุญาต การเอาผิดกับเจ้าของกิจการ การตรวจสอบและกลั่นกรองผู้ที่จะมาขับรถกันอย่างเข้มงวด
คนขับรถสาธารณะของเรา ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ รถเมล์ รถแท็กซี่ กว่าร้อยละ 80 ที่ไม่ควรจะมาเป็นคนขับ เมื่อไหร่คนเหล่านี้ถึงจะถูกจัดการ ถูกเปลี่ยนอาชีพเสียที ?
คนขับรถพ่วงและรถบรรทุก วิธีการบรรทุก ความเร็วในการใช้บรรทุก ความสามารถในการตัดสินใจ ...ปล่อยครั้งที่ไม่มีความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงคนอื่นที่ขับร่วมเส้นทาง ไม่รู้สึกอะไรเวลาที่เกิดความสูญเสีย ?
หลังจากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ๆตัว เรามักจะเห็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงแก้วตาดวงใจของตัวเอง จะต้องบากบั่นขับรถส่วนตัวพาลูกไปส่งยังสถานที่เรียน และรอรับกลับบ้านด้วยตัวเอง ยอมเหนื่อย เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้นว่า ลูกน้อยหรือผู้เป็นที่รักจะปลอดภัย
เมื่อไหร่เราจึงสามารถไว้วางใจกับระบบเดินทางสาธารณะของเรา ?
แล้วมันต้องเริ่มที่ไหน ?
เมื่่อไหร่เราถึงจะมีคุณภาพชีวิตสาธารณะที่ปลอดภัยกว่านี้ ?
เมื่อวานตอนเย็นขากลับเข้ากรุงเทพฯ เห็นสภาพของผู้เสียชีวิตที่ยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับตอนเกิดเหตุ และหน่วยกู้ภัยยังไม่มา หนึ่งในนั้น เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของหลานสาวชั้น ม. 3 ที่จำเป็นต้องอาศัยบริการขนส่งสาธารณะในการเข้า-ออกกรุงเทพฯ เพื่อเรียนพิเศษ ติวหนังสือ เป็นความจำเป็นสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง ไปจนถึงครอบครัวคนระดับล่าง ที่ต้องเอาชีวิตไปแขวนไว้กับดวง หรือกับสำนึกความระมัดระวังและรับผิดชอบของคนขับขี่รถตู้ที่บอกตามตรงว่า...มีระดับความรับผิดชอบและจิตสำนึกที่น้อยมาก
รถตู้...ทำไมต้องขับเร็ว ???
จริงอยู่ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่ป้องกันยาก เพราะรถพ่วงดันแถย้อนมาจากฝั่งตรงข้าม แต่ในความเป็นจริงที่เราๆทราบกันอยู่ก็คือ ความเร็วที่รถตู้เหล่านี้ใช้ มันก็ไม่เคยน้อยกว่า 120 กม./ ชม.
ยิ่งขับรถด้วยความเร็วมาก เมื่อเกิดเหตุ ความสูญเสียก็่่ยิ่งมาก
หลังจากกรณีแพรวา 9 ศพบนโทลล์เวย์ เราก็ยังคงเห็นรถตู้ มธ. สายเดิมๆ หรือสายอื่นๆ วิ่งกันด้วยความเร็ว 140 บนทางยกระดับแบบนั้น
เมื่อเกิดเหตุที เราก็หันมาดูกันที
เมื่อวัวหายที เราก็ล้อมคอกกันที
เรายังไม่เคยเห็นการกำกับดูแลที่เอาจริงเอาจังและเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการจับความเร็ว การยึดใบอนุญาต การเอาผิดกับเจ้าของกิจการ การตรวจสอบและกลั่นกรองผู้ที่จะมาขับรถกันอย่างเข้มงวด
คนขับรถสาธารณะของเรา ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ รถเมล์ รถแท็กซี่ กว่าร้อยละ 80 ที่ไม่ควรจะมาเป็นคนขับ เมื่อไหร่คนเหล่านี้ถึงจะถูกจัดการ ถูกเปลี่ยนอาชีพเสียที ?
คนขับรถพ่วงและรถบรรทุก วิธีการบรรทุก ความเร็วในการใช้บรรทุก ความสามารถในการตัดสินใจ ...ปล่อยครั้งที่ไม่มีความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงคนอื่นที่ขับร่วมเส้นทาง ไม่รู้สึกอะไรเวลาที่เกิดความสูญเสีย ?
หลังจากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ๆตัว เรามักจะเห็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงแก้วตาดวงใจของตัวเอง จะต้องบากบั่นขับรถส่วนตัวพาลูกไปส่งยังสถานที่เรียน และรอรับกลับบ้านด้วยตัวเอง ยอมเหนื่อย เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้นว่า ลูกน้อยหรือผู้เป็นที่รักจะปลอดภัย
เมื่อไหร่เราจึงสามารถไว้วางใจกับระบบเดินทางสาธารณะของเรา ?
แล้วมันต้องเริ่มที่ไหน ?